รุ่งเช้าเกี้ยวก็มาถึงตำหนักชิงหนิงขันทีวิ่งเหยาะๆ ไปข้างฮ่องเต้หวู่แล้วกระซิบ “ฝ่าบาท หลินกุ้ยเฟเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ตกใจ เงยหน้าขึ้นทันที “หลินกุ้ยเฟย? นางป่วยเป็นไข้มาราเรียไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางถึงมาที่ตำหนักชิงหนิง? ตามข้าไปดู!”องค์ชายและเหล่าสนมต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ฉินกุ้ยเฟยดูก็เอ่ยเสียงขุ่นเคือง “ฮึ เป็นไข้มาลาเรียหรือ แต่ยังวิ่งไปไหนมาไหนไปทั่ว ดูท่าคงจะแกล้งป่วย”องค์ชายสี่และพวก ก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันหลี่หลงหลินขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจพวกเขา แต่เดินตามฮ่องเต้หวู่ไปที่เกี้ยวม่านเปิดออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามแต่ซีดขาวของหลินกุ้ยเฟย“เสด็จแม่...”ดวงตาของหลี่หลงหลินแดงก่ำ เขารีบก้าวไปข้างหน้าช่วยพยุงหลินกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ เหตุใดท่านไม่พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ?”หลินกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย แม่ดื่มยาของเจ้าแล้ว ร่างกายก็ดีขึ้นมาก ไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?”ฮ่องเต้หวู่ส่ายหัว เอ่ยด้วยสีหน้ามืดมน “เสด็จแม่ยังไม่ฟื้น...”หลินกุ้ยเฟยปลอบใจนาง “ฝ่าบาท พระองค์ทำใจให้สบาย! ยาของเจ้าเก้ามีผลมหัศจรรย์! ในเมื่อรักษาหม่อมฉันได้ ก็ต้องรักษาไทเฮาได้เช่
แม้ว่านางจะอ่อนแอมาก แต่อย่างน้อยก็สามารถกินอาหาร ดื่มโจ๊กได้บ้าง สติก็ยังชัดเจนมากฮ่องเต้หวู่ดีใจจนแทบคลั่ง ในที่สุดก็วางใจลงได้แล้ว กลับไปนอนต่อสักพักเมื่อเหล่าราชวงศ์องค์ชายเห็นว่าไทเฮาพ้นขีดอันตรายแล้ว รู้ว่าไม่มีอะไรน่าสนุกให้ดูอีก ก็พากันขอตัวลาหลี่หลงหลินช่วยพยุงหลินกุ้ยเฟยขึ้นไปบนเกี้ยว แล้วกลับไปที่ตำหนักฉางเล่อ“องค์ชาย!”“ครั้งนี้ เจ้ารักษาอาการประชวรของไทเฮาได้ ถือว่าสร้างความดีใหญ่หลวงนัก!”“ฮ่องเต้จะตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน!”หลินกุ้ยเฟยจับมือหลี่หลงหลินพร้อมกับยิ้มด้วยความรักความเมตตาหลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่! ท่านเองก็พักผ่อนเถอะ! อย่าลืมฆ่ายุงด้วย! ข้ามีงานอื่นต้องทำ พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมท่าน!”หลินกุ้ยเฟยโบกมือ “เจ้าทำงานเหนื่อยมานานแล้ว ก็ควรกลับไปพักผ่อนบ้าง!”หลี่หลงหลินเดินออกจากประตูตำหนักฉางเล่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป กลายเป็นสีหน้าถมึงทึงแทนซุนชิงไต้ที่ตามหลังหลีหลงหลิน เห็นสีหน้าเจตนาร้ายของเขา นางก็ถามอย่างสงสัย “องค์ชายเก้า ไทเฮากับหลินกุ้ยเฟยก็เกือบจะหายจากไข้มาลาเรียแล้ว! เจ้าควรจะดีใจมิใช่หรือ?”หลี่หลงหลินส่ายหัว
ซุนชิงไต้มีสีหน้าตะลึง ดวงตาคู่งามนั้นจ้องมองหลี่หลงหลินเว่ยซวินมาจริงๆ ด้วย!หรือว่าหลี่หลงหลินจะสามารถหยั่งรู้โชคชะตาได้ หรือว่าเขาเป็นเทพเซียนบนสวรรค์?ซุนชิงไต้ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วคิดอย่างจริงจังดูเหมือนว่านี่จะเป็นความเป็นไปได้ที่ไร้สาระถ้าเขาไม่ใช่เทพเซียน แล้วเขาจะทำผงปรุงรสไก่ที่อร่อยขนาดนี้ออกมาได้อย่างไรกระทั่งยังรู้จักต้นจินจีน่าที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้อีกเว่ยซวินก้าวไปข้างหน้า คว้าแขนของหลี่หลงหลินเอาไว้แน่น “องค์ชายเก้า โชคดีที่ท่านยังไม่ไป! ช่วยด้วย...”หลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่วยด้วย? ชีวิตใคร?”เว่ยซวินเอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้า “แน่นอนว่าเป็นชีวิตของข้า! องค์ชายเก้า ข้าพูดเรื่องดีๆ ของท่านต่อหน้าฝ่าบาทไปไม่น้อย! ท่านห้ามเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยเด็ดขาด!”นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกตั้งแต่หลี่หลงหลินให้ข้อเสนอกับฮ่องเต้หวู่ หลังจากก่อตั้งองครักษ์เสื้อแพรเว่ยซวินก็ได้รับประโยชน์มากมายแม้ว่าเว่ยซวินจะเป็นขันที แต่นิสัยเดิมก็ยังคงโลภมากแต่เขาเป็นคนฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชำนาญเรื่องการเลือกข้างไม่เช่นนั้น เขาก็คงยืนหยัดอยู่ในราชสำนักไม่ได้มาหลายสิบปีขนาดนี้
น้ำหอมดอกไม้ไล่ยุง จริงๆ แล้วมันคือของนำเข้าในยุคนี้ของต้าเซี่ย ไม่มีสิ่งนี้อยู่ไม่น่าแปลกใจที่หญิงคณิกาของสำนักการสังคีต และสนมวังหลังจะไม่เพียงแต่กินยาลูกกลอนหอมเท่านั้น แต่ยังอาบน้ำด้วยกลีบดอกไม้บ่อยๆ เพื่อให้น้ำหอมในร่างกายของตัวเองส่งกลิ่นหอมออกไปดึงดูดบุรุษ!ถ้าพูดเช่นนี้ ถ้าตนคิดค้นน้ำหอมดอกไม้ขึ้นมา ไม่เท่ากับว่าสามารถสร้างกำไรก้อนโตได้เลยหรือ?หลี่หลงหลินรู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ สำหรับเว่ยซวินแล้ว “เว่ยกงกง พวกยุงเหล่านี้ จะจัดการให้หมดโดยอาศัยแค่กำลังคนไม่ได้!”เว่ยซวินกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ใช่หรือไม่เล่า! ฝ่าบาทกำลังสร้างความลำบากใจให้ข้าอยู่ชัดๆ”หลี่หลงหลินกล่าวต่อ “แต่จุดประสงค์หลักของพวกเรา คือการป้องกันไข้มาลาเรีย ไม่ใช่การกำจัดยุง! ตราบใดที่ยุงไม่กัดคน เท่านั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”เว่ยซวินตกตะลึง “แล้วยุงที่ไหนไม่กัดคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้สูตรหนึ่งเรียกว่าน้ำหอมดอกไม้ ไม่เพียงแต่ไล่ยุงได้เท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมด้วย หากถูกยุงกัด ก็ยังสามารถยับยั้งอาการคันและสลายพิษได้!”“ไม่กล้าบอกว่าจะสามารถทำให้ยุงทั้งหมดไม่กัดได้ แต่อย่างน้อยมันก็ลดปร
หอเทียนเซียงหลี่หลงหลินสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ และมองดูซุนชิงไต้กำลังสวาปาม พลางตอบข้อสงสัยของนางด้วย“ง่ายมาก”“ข้าสงสัยว่าไข้มาลาเรียในวังนั้นอาจจะเป็นฝีมือของใคร!”ปากของซุนชิงไต้ยัดน่องไก่ไปเต็มคำ สีหน้าของนางดูตกใจ “จริงหรือ?”หลี่หลงหลินไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยาของซุนชิงไต้จากมุมมองของคนยุคโบราณ โรคระบาดถือเป็นภัยธรรมชาติแม้แต่หมอเทวดาอย่างซุนชิงไต้ก็นึกไม่ออกว่าจะมีคนสามารถควบคุมโรคระบาด หรือปฏิบัติการด้วยสงครามเชื้อโรคและสงครามไวรัสหลี่หลงหลินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “นี่เป็นเพียงการเดาของข้า! หวังว่าข้าจะเดาผิด! แต่... หากมีใครใช้ยุงจงใจแพร่เชื้อมาลาเรีย! ที่อยู่ของคนผู้นี้ก็ต้องมียุงน้อยที่สุด!”ซุนชิงไต้เข้าใจหลักการนี้แล้วผู้ที่แพร่กระจายโรคระบาดรู้ดีว่าไข้มาลาเรียนั้นน่ากลัวเพียงใด และแน่นอนว่าจะต้องฆ่ายุงล่วงหน้า และป้องกันอย่างดีแล้วซุนชิงไต้กลืนขาไก่ลงไป “หลังจากที่เจ้ารู้แล้ว แล้วขั้นตอนต่อไปล่ะ?”หลี่หลงหลินส่ายหัว “ตอนนี้ยังคิดไม่เสร็จ! เอาไว้ค่อยๆ ไปทีละขั้นตอนแล้วกัน! น่าจะเป็นฉินกุ้ยเฟย เพราะนางได้เปิดเผยความลับออกมาแล้ววันนี้! แต่ข้าก็ยังต้องการหลักฐานเพิ่ม
หลี่หลงหลินมีสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่มีทางล้อเล่นกับพี่สะใภ้สี่แบบนี้แน่! ตอนนี้มีทางเดียวคือ ต้องขอให้พี่สะใภ้สี่ออกโรงช่วยเหลือพี่สะใภ้สาม เร่งวิจัยและพัฒนาน้ำหอมดอกไม้ออกมาให้เร็วที่สุด!” “ไม่เพียงแต่จะทำให้เหล่าสนมในวังหลังพอใจเท่านั้น!” “แต่ยังสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อีกมากมายอีกด้วย!” แม้ว่าภายนอกหลิ่วหรูเยียนจะดูอ่อนโยน แต่ภายในใจนางเป็นหญิงสาวที่กังวลเรื่องบ้านเมืองและประชาชนมาก! ไม่อย่างนั้น นางคงไม่ชอบบทกวีชายแดน และรักไคร่ชอบพอแม่ทัพที่ฆ่าศัตรูเพื่อประเทศชาติหรอก “ตกลง!” “หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” หลิ่วหรูเยียนตอบตกลงทันที หลี่หลงหลินทิ้งสูตรน้ำหอมดอกไม้ไว้ให้หลิ่วหรูเยียนและซุนชิงไต้ได้ศึกษา เมื่อเขากลับไปที่ห้อง ก็นอนไม่หลับ ได้แต่พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง เพราะมัวคิดหาวิธีรับมือกับโรคมาลาเรียที่กำลังแพร่ระบาด จนกระทั่งฟ้าสางโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้ ก็มีคนมาเคาะประตูเบาๆ แล้วน้ำเสียงหวานก็ดังมาจากข้างนอก “องค์ชาย ท่านตื่นหรือยัง?” เสียงของพี่สะใภ้สี่หรือ? หลี่หลงหลินสะดุ้ง จากนั้นรีบลุกขึ้นแต่งตัว เปิดประตูออกไป ก็เห็นหลิ่วหรู
“กลัวตายหรือ?” ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกตัวขึ้นทันที ดวงตาจ้องมองหลี่หลงหลินด้วยความสับสน “ข้าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกว่ามีคนกลัวตายในบ้านตัวเอง!” หลี่หลงหลินเป็นองค์ชาย เติบโตในพระราชวังต้องห้ามมาตั้งแต่เด็ก พระราชวังก็คือบ้านของเขาจริงๆ หลี่หลงหลินยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ไม่รู้ถึงความโหดร้ายและอันตรายในวังหลัง!” เมื่อพูดจบ หลี่หลงหลินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้ซูเฟิ่งหลิงฟังอย่างละเอียด “อะไรนะ? ไทฮองไทเฮาและเสด็จแม่ของท่านป่วยเป็นโรคมาลาเรีย เกือบเอาชีวิตไม่รอด!” “อะไรนะ? ท่านตบหน้าฉินกุ้ยเฟยต่อหน้าธารกำนัล?” “อะไรนะ? ท่านสงสัยว่าฉินกุ้ยเฟยเป็นต้นเหตุ?” ซูเฟิ่งหลิงฝึกทหารม้าอยู่ที่เขาประจิมตลอด ไม่คิดว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในวัง พอได้ฟังแล้วก็ตกตะลึง หลี่หลงหลินพยักหน้า ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “สถานการณ์ซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด! เสด็จพ่ออนุญาตให้ข้าสืบสวนเรื่องนี้แล้ว! หากข้าสืบพบอะไรขึ้นมา ทั้งวังหลังและขุนนางคงต้องสั่นสะเทือน!” “ถ้าข้าเข้าวังคนเดียว อาจจะตายได้โดยที่ไม่รู้สาเหตุ!” ซูเฟิ่งหลิงตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ จึงรี
ซึ่งนี่ถือว่าหายากมากในบรรดาฮ่องเต้ในสมัยโบราณ! หลี่หลงหลินโค้งคำนับ “เสด็จพ่อ! ไม่ต้องให้คนอื่นพูด ลูกก็ยินดีที่จะมอบสูตรยาให้! เพียงแต่ว่า ยานี้มีชื่อว่าต้นจินจี้น่า เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ปลูกในต่างแดนเกรงว่าภายในอาณาจักรต้าเซี่ยจะมีน้อยมาก!” “และลูกบังเอิญพบว่าที่ตำหนักฉางเล่อมีต้นจินจี้น่าอยู่ต้นหนึ่ง!” ฮ่องเต้หวู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ต้นจินจี้น่า? ต่างแคว้นมีของวิเศษเช่นนี้ด้วยหรือ? โอ้ เราจำได้แล้ว! ต้นที่ตำหนักฉางเล่อเป็นของที่ทูตต่างแดนส่งมา มีเพียงต้นเดียวเท่านั้น!” หัวใจของหลี่หลงหลินจมดิ่งลง ต้นจินจี้น่า มีแค่ต้นเดียวในตำหนักฉางเล่อจริงๆ! แย่แล้ว! หลี่หลงหลินพูดขึ้นด้วยความหวังริบหรี่ “บางทีอาจจะมีต้นจินจี้น่าอยู่ในหมู่ประชาชน! ขอเสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการ ประกาศขอซื้อในราคาสูง! แม้จะมีเพียงต้นเดียวหรือสองต้น ก็สามารถช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนได้!” ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “อนุญาต!” หลี่หลงหลินพูดต่อ “เสด็จพ่อ แม้แต่ในวังก็ยังมีโรคมาลาเรียระบาด! ในหมู่ประชาชนเกรงว่าจะแพร่กระจายไปแล้วด้วย! ลูกขอให้เสด็จพ่อส่งคนไปทำความสะอาดคูน้ำ จัดการน้ำเสีย กำจัดยุงลาย!” “โด
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั