แม้ว่านางจะอ่อนแอมาก แต่อย่างน้อยก็สามารถกินอาหาร ดื่มโจ๊กได้บ้าง สติก็ยังชัดเจนมากฮ่องเต้หวู่ดีใจจนแทบคลั่ง ในที่สุดก็วางใจลงได้แล้ว กลับไปนอนต่อสักพักเมื่อเหล่าราชวงศ์องค์ชายเห็นว่าไทเฮาพ้นขีดอันตรายแล้ว รู้ว่าไม่มีอะไรน่าสนุกให้ดูอีก ก็พากันขอตัวลาหลี่หลงหลินช่วยพยุงหลินกุ้ยเฟยขึ้นไปบนเกี้ยว แล้วกลับไปที่ตำหนักฉางเล่อ“องค์ชาย!”“ครั้งนี้ เจ้ารักษาอาการประชวรของไทเฮาได้ ถือว่าสร้างความดีใหญ่หลวงนัก!”“ฮ่องเต้จะตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน!”หลินกุ้ยเฟยจับมือหลี่หลงหลินพร้อมกับยิ้มด้วยความรักความเมตตาหลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่! ท่านเองก็พักผ่อนเถอะ! อย่าลืมฆ่ายุงด้วย! ข้ามีงานอื่นต้องทำ พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมท่าน!”หลินกุ้ยเฟยโบกมือ “เจ้าทำงานเหนื่อยมานานแล้ว ก็ควรกลับไปพักผ่อนบ้าง!”หลี่หลงหลินเดินออกจากประตูตำหนักฉางเล่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป กลายเป็นสีหน้าถมึงทึงแทนซุนชิงไต้ที่ตามหลังหลีหลงหลิน เห็นสีหน้าเจตนาร้ายของเขา นางก็ถามอย่างสงสัย “องค์ชายเก้า ไทเฮากับหลินกุ้ยเฟยก็เกือบจะหายจากไข้มาลาเรียแล้ว! เจ้าควรจะดีใจมิใช่หรือ?”หลี่หลงหลินส่ายหัว
ซุนชิงไต้มีสีหน้าตะลึง ดวงตาคู่งามนั้นจ้องมองหลี่หลงหลินเว่ยซวินมาจริงๆ ด้วย!หรือว่าหลี่หลงหลินจะสามารถหยั่งรู้โชคชะตาได้ หรือว่าเขาเป็นเทพเซียนบนสวรรค์?ซุนชิงไต้ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วคิดอย่างจริงจังดูเหมือนว่านี่จะเป็นความเป็นไปได้ที่ไร้สาระถ้าเขาไม่ใช่เทพเซียน แล้วเขาจะทำผงปรุงรสไก่ที่อร่อยขนาดนี้ออกมาได้อย่างไรกระทั่งยังรู้จักต้นจินจีน่าที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้อีกเว่ยซวินก้าวไปข้างหน้า คว้าแขนของหลี่หลงหลินเอาไว้แน่น “องค์ชายเก้า โชคดีที่ท่านยังไม่ไป! ช่วยด้วย...”หลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่วยด้วย? ชีวิตใคร?”เว่ยซวินเอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้า “แน่นอนว่าเป็นชีวิตของข้า! องค์ชายเก้า ข้าพูดเรื่องดีๆ ของท่านต่อหน้าฝ่าบาทไปไม่น้อย! ท่านห้ามเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยเด็ดขาด!”นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกตั้งแต่หลี่หลงหลินให้ข้อเสนอกับฮ่องเต้หวู่ หลังจากก่อตั้งองครักษ์เสื้อแพรเว่ยซวินก็ได้รับประโยชน์มากมายแม้ว่าเว่ยซวินจะเป็นขันที แต่นิสัยเดิมก็ยังคงโลภมากแต่เขาเป็นคนฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชำนาญเรื่องการเลือกข้างไม่เช่นนั้น เขาก็คงยืนหยัดอยู่ในราชสำนักไม่ได้มาหลายสิบปีขนาดนี้
น้ำหอมดอกไม้ไล่ยุง จริงๆ แล้วมันคือของนำเข้าในยุคนี้ของต้าเซี่ย ไม่มีสิ่งนี้อยู่ไม่น่าแปลกใจที่หญิงคณิกาของสำนักการสังคีต และสนมวังหลังจะไม่เพียงแต่กินยาลูกกลอนหอมเท่านั้น แต่ยังอาบน้ำด้วยกลีบดอกไม้บ่อยๆ เพื่อให้น้ำหอมในร่างกายของตัวเองส่งกลิ่นหอมออกไปดึงดูดบุรุษ!ถ้าพูดเช่นนี้ ถ้าตนคิดค้นน้ำหอมดอกไม้ขึ้นมา ไม่เท่ากับว่าสามารถสร้างกำไรก้อนโตได้เลยหรือ?หลี่หลงหลินรู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ สำหรับเว่ยซวินแล้ว “เว่ยกงกง พวกยุงเหล่านี้ จะจัดการให้หมดโดยอาศัยแค่กำลังคนไม่ได้!”เว่ยซวินกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ใช่หรือไม่เล่า! ฝ่าบาทกำลังสร้างความลำบากใจให้ข้าอยู่ชัดๆ”หลี่หลงหลินกล่าวต่อ “แต่จุดประสงค์หลักของพวกเรา คือการป้องกันไข้มาลาเรีย ไม่ใช่การกำจัดยุง! ตราบใดที่ยุงไม่กัดคน เท่านั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”เว่ยซวินตกตะลึง “แล้วยุงที่ไหนไม่กัดคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้สูตรหนึ่งเรียกว่าน้ำหอมดอกไม้ ไม่เพียงแต่ไล่ยุงได้เท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมด้วย หากถูกยุงกัด ก็ยังสามารถยับยั้งอาการคันและสลายพิษได้!”“ไม่กล้าบอกว่าจะสามารถทำให้ยุงทั้งหมดไม่กัดได้ แต่อย่างน้อยมันก็ลดปร
หอเทียนเซียงหลี่หลงหลินสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ และมองดูซุนชิงไต้กำลังสวาปาม พลางตอบข้อสงสัยของนางด้วย“ง่ายมาก”“ข้าสงสัยว่าไข้มาลาเรียในวังนั้นอาจจะเป็นฝีมือของใคร!”ปากของซุนชิงไต้ยัดน่องไก่ไปเต็มคำ สีหน้าของนางดูตกใจ “จริงหรือ?”หลี่หลงหลินไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยาของซุนชิงไต้จากมุมมองของคนยุคโบราณ โรคระบาดถือเป็นภัยธรรมชาติแม้แต่หมอเทวดาอย่างซุนชิงไต้ก็นึกไม่ออกว่าจะมีคนสามารถควบคุมโรคระบาด หรือปฏิบัติการด้วยสงครามเชื้อโรคและสงครามไวรัสหลี่หลงหลินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “นี่เป็นเพียงการเดาของข้า! หวังว่าข้าจะเดาผิด! แต่... หากมีใครใช้ยุงจงใจแพร่เชื้อมาลาเรีย! ที่อยู่ของคนผู้นี้ก็ต้องมียุงน้อยที่สุด!”ซุนชิงไต้เข้าใจหลักการนี้แล้วผู้ที่แพร่กระจายโรคระบาดรู้ดีว่าไข้มาลาเรียนั้นน่ากลัวเพียงใด และแน่นอนว่าจะต้องฆ่ายุงล่วงหน้า และป้องกันอย่างดีแล้วซุนชิงไต้กลืนขาไก่ลงไป “หลังจากที่เจ้ารู้แล้ว แล้วขั้นตอนต่อไปล่ะ?”หลี่หลงหลินส่ายหัว “ตอนนี้ยังคิดไม่เสร็จ! เอาไว้ค่อยๆ ไปทีละขั้นตอนแล้วกัน! น่าจะเป็นฉินกุ้ยเฟย เพราะนางได้เปิดเผยความลับออกมาแล้ววันนี้! แต่ข้าก็ยังต้องการหลักฐานเพิ่ม
หลี่หลงหลินมีสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่มีทางล้อเล่นกับพี่สะใภ้สี่แบบนี้แน่! ตอนนี้มีทางเดียวคือ ต้องขอให้พี่สะใภ้สี่ออกโรงช่วยเหลือพี่สะใภ้สาม เร่งวิจัยและพัฒนาน้ำหอมดอกไม้ออกมาให้เร็วที่สุด!” “ไม่เพียงแต่จะทำให้เหล่าสนมในวังหลังพอใจเท่านั้น!” “แต่ยังสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อีกมากมายอีกด้วย!” แม้ว่าภายนอกหลิ่วหรูเยียนจะดูอ่อนโยน แต่ภายในใจนางเป็นหญิงสาวที่กังวลเรื่องบ้านเมืองและประชาชนมาก! ไม่อย่างนั้น นางคงไม่ชอบบทกวีชายแดน และรักไคร่ชอบพอแม่ทัพที่ฆ่าศัตรูเพื่อประเทศชาติหรอก “ตกลง!” “หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” หลิ่วหรูเยียนตอบตกลงทันที หลี่หลงหลินทิ้งสูตรน้ำหอมดอกไม้ไว้ให้หลิ่วหรูเยียนและซุนชิงไต้ได้ศึกษา เมื่อเขากลับไปที่ห้อง ก็นอนไม่หลับ ได้แต่พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง เพราะมัวคิดหาวิธีรับมือกับโรคมาลาเรียที่กำลังแพร่ระบาด จนกระทั่งฟ้าสางโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้ ก็มีคนมาเคาะประตูเบาๆ แล้วน้ำเสียงหวานก็ดังมาจากข้างนอก “องค์ชาย ท่านตื่นหรือยัง?” เสียงของพี่สะใภ้สี่หรือ? หลี่หลงหลินสะดุ้ง จากนั้นรีบลุกขึ้นแต่งตัว เปิดประตูออกไป ก็เห็นหลิ่วหรู
“กลัวตายหรือ?” ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกตัวขึ้นทันที ดวงตาจ้องมองหลี่หลงหลินด้วยความสับสน “ข้าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกว่ามีคนกลัวตายในบ้านตัวเอง!” หลี่หลงหลินเป็นองค์ชาย เติบโตในพระราชวังต้องห้ามมาตั้งแต่เด็ก พระราชวังก็คือบ้านของเขาจริงๆ หลี่หลงหลินยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ไม่รู้ถึงความโหดร้ายและอันตรายในวังหลัง!” เมื่อพูดจบ หลี่หลงหลินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้ซูเฟิ่งหลิงฟังอย่างละเอียด “อะไรนะ? ไทฮองไทเฮาและเสด็จแม่ของท่านป่วยเป็นโรคมาลาเรีย เกือบเอาชีวิตไม่รอด!” “อะไรนะ? ท่านตบหน้าฉินกุ้ยเฟยต่อหน้าธารกำนัล?” “อะไรนะ? ท่านสงสัยว่าฉินกุ้ยเฟยเป็นต้นเหตุ?” ซูเฟิ่งหลิงฝึกทหารม้าอยู่ที่เขาประจิมตลอด ไม่คิดว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในวัง พอได้ฟังแล้วก็ตกตะลึง หลี่หลงหลินพยักหน้า ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “สถานการณ์ซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด! เสด็จพ่ออนุญาตให้ข้าสืบสวนเรื่องนี้แล้ว! หากข้าสืบพบอะไรขึ้นมา ทั้งวังหลังและขุนนางคงต้องสั่นสะเทือน!” “ถ้าข้าเข้าวังคนเดียว อาจจะตายได้โดยที่ไม่รู้สาเหตุ!” ซูเฟิ่งหลิงตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ จึงรี
ซึ่งนี่ถือว่าหายากมากในบรรดาฮ่องเต้ในสมัยโบราณ! หลี่หลงหลินโค้งคำนับ “เสด็จพ่อ! ไม่ต้องให้คนอื่นพูด ลูกก็ยินดีที่จะมอบสูตรยาให้! เพียงแต่ว่า ยานี้มีชื่อว่าต้นจินจี้น่า เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ปลูกในต่างแดนเกรงว่าภายในอาณาจักรต้าเซี่ยจะมีน้อยมาก!” “และลูกบังเอิญพบว่าที่ตำหนักฉางเล่อมีต้นจินจี้น่าอยู่ต้นหนึ่ง!” ฮ่องเต้หวู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ต้นจินจี้น่า? ต่างแคว้นมีของวิเศษเช่นนี้ด้วยหรือ? โอ้ เราจำได้แล้ว! ต้นที่ตำหนักฉางเล่อเป็นของที่ทูตต่างแดนส่งมา มีเพียงต้นเดียวเท่านั้น!” หัวใจของหลี่หลงหลินจมดิ่งลง ต้นจินจี้น่า มีแค่ต้นเดียวในตำหนักฉางเล่อจริงๆ! แย่แล้ว! หลี่หลงหลินพูดขึ้นด้วยความหวังริบหรี่ “บางทีอาจจะมีต้นจินจี้น่าอยู่ในหมู่ประชาชน! ขอเสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการ ประกาศขอซื้อในราคาสูง! แม้จะมีเพียงต้นเดียวหรือสองต้น ก็สามารถช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนได้!” ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “อนุญาต!” หลี่หลงหลินพูดต่อ “เสด็จพ่อ แม้แต่ในวังก็ยังมีโรคมาลาเรียระบาด! ในหมู่ประชาชนเกรงว่าจะแพร่กระจายไปแล้วด้วย! ลูกขอให้เสด็จพ่อส่งคนไปทำความสะอาดคูน้ำ จัดการน้ำเสีย กำจัดยุงลาย!” “โด
จวนธรรมดาหลังหนึ่ง ราคาแค่สามถึงห้าหมื่นตำลึงเท่านั้น เช่นเดียวกับจวนของเชื้อพระวงศ์อย่างองค์ชายหก แต่ของตู้เหวินยวนนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีของต้าเซี่ย มีอำนาจล้นฟ้า ที่พักของเขาจึงหรูหราโอ่อ่า แกะสลักลวดลายอย่างวิจิตร มีศาลาและเรือนต่างๆ สวยงามมาก ไม่แพ้พระราชวังเลย อย่าว่าแต่หนึ่งล้านตำลึงเลย ต่อให้เพิ่มเป็นสามเท่าหรือห้าเท่า ตู้เหวินยวนก็ไม่มีทางขาย “องค์ชายเก้า!” ตู้เหวินยวนยิ้มแห้งๆ “จวนของข้า ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนั้น...” หลี่หลงหลินเยาะเย้ย “ไม่เป็นไร! เงินที่ขาด ข้าจะช่วยออกให้ใต้เท้าตู้เอง!” สีหน้าของตู้เหวินยวนเปลี่ยนไป “แบบนั้นก็เกรงใจแย่...” หลี่หลงหลินยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เพื่อประชาชน ข้าเสียเปรียบเล็กน้อยจะเป็นอะไรกันล่ะ!” ตู้เหวินยวนได้แต่ด่าในใจ เจ้าเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ข้าจะเสียหายหนักมาก! ฮ่องเต้หวู่ที่อยู่บนบัลลังก์มังกร เริ่มหมดความอดทน “ท่านตู้ แพ้ก็ต้องยอมรับ ทำไมถึงได้เรื่องมากนัก! ให้เวลาเจ้าสามวัน จะเอาเงินออกมา หรือยกจวนให้เจ้าเก้า!” “เรื่องนี้ก็เอาตามนัแหละ!” “เลิกเข้าเฝ้า!” ฮ่องเต้หวู่ไม่ให้โอกาสตู้เหวินยวน
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั