มีนับล้านคน!ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหลี่หลงหลินเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ สามารถใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ได้?น่าขันจริงเชียว!หลี่เทียนฉี่รีบหยิบหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยออกมา ถือไว้ด้วยสองมือ “นี่คือหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับล่าสุด เชิญท่านผ่านตา!”สีหน้าเสิ่นชิงโจวเปลี่ยนไป รีบรับไปอ่านอย่างละเอียดของสิ่งอื่นเขาสามารถไม่ใส่ใจได้เว้นแต่เพียงหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยเจ้าสิ่งใหม่นี้ ทำให้เสิ่นชิงโจวไม่มั่นใจ กระวนกระวายว้าวุ่น“นี่...ก็ไม่มีอันใดพิเศษนี่”เสิ่นชิงโจวอ่านหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สีหน้าแปลกใจเดิมทีคิดว่าหลี่หลงหลินจะเขียนเรื่องวันพิธีสักการะฟ้าดินออกมาเพื่อฉวยโอกาสปรักปรำสำนักปราชญ์สรุปว่าไม่เป็นเช่นนั้นหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับนี้ เทียบกันแล้วธรรมดามาก คล้ายรีบทำออกมา ไม่เขียนถึงพิธีสักการะฟ้าดินเลยแม้แต่น้อยหลี่เทียนฉี่รีบสืบเท้าขึ้นไป ชี้ตำแหน่งใจกลางหน้าหนังสือพิมพ์ “ท่านอาจารย์ ท่านดูที่นี่...”เสิ่นชิงโจวจ้องมอง ในที่สุดก็พบประกาศเกี่ยวกับจดหมายนิรนาม ทันใดนั้นสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก “รัชทายาท นี่
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค