ทีแรกเหล่าบัณฑิตล้อมคุกหลวงและก่อความวุ่นวายจางอี้ไม่อาจต้านทานไหว จึงทำตามคำสั่งของเว่ยซวิน แม้ไม่ปล่อยบัณฑิตที่ถูกขังไว้ กลับส่งมอบศพของซ่งชิงหลวนออกมาเหล่าบัณฑิตก็รีบแบกโลงศพ เดินทางมายังหอบูชาฟ้าเทียนถาน ก่อความวุ่นวายที่พิธีสักการะฟ้าดินแรงกดดันทางฝั่งคุกหลวงลดลงจางอี้จึงพาเหล่าองครักษ์เสื้อแพรควบม้าอย่างไม่หยุดพัก มุ่งหน้ามายังหอบูชาฟ้าเทียนถาน เผชิญหน้ากับเหล่าบัณฑิตอีกครั้ง“เจ้าอีกแล้ว!”“ไอ้คนชั่วไม่ยอมเลิกรา!”“พวกเจ้าองครักษ์เสื้อแพรล้วนเป็นสุนัขรับใช้ประจบสอพลอเจ้านาย!”“หน่วยองครักษ์เสื้อแพรยอดเยี่ยมนักหรือ ฝ่าบาทนี่ท่านคิดใช้กำลังควบคุมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ดีดีดี! ราชสำนักต้าเซี่ยทำเยี่ยงนี้กับบัณฑิต!”“ฝ่าบาท ท่านใช้กำลังควบคุมพวกกระหม่อมเพื่อปกป้องรัชทายาท การกระทำนี้ต่างอันใดจากจักรพรรดิฉินเผาตำราฆ่าบัณฑิต?”“ดูท่าแล้วท่านก็มิต่างจากจักรพรรดิฉิน เป็นกษัตริย์ทรราช!”“มามามา ถือดาบปักลายของเจ้า มาบั่นคอของข้า! หากข้าขมวดคิ้ว คัมภีร์ปราชญ์ที่อ่านมาในชาตินี้ก็ไร้ความหมาย!”“มาเลย ตัดเลย ฆ่าเลย!”“พวกเจ้าองครักษ์เสื้อแพร ดาบทื่อเกินไป มือช้าเกินไป! มิสู้ให้กอ
หากเจ้าเก้าเองก็อับจนหนทาง เช่นนั้นฮ่องเต้หวู่ก็จะประกาศยุติพิธีสักการะฟ้าดิน หลบเลี่ยงไปก่อนชั่วคราวส่วนความตายของซ่งชิงหลวน พรุ่งนี้ค่อยตัดสินเพียงคำเดียวเท่านั้น ยื้อ!เพียงแต่คิดไม่ถึง หลี่หลงหลินถึงขั้นมีหนทางจริงๆหลี่หลงหลินยิ้มมีเลศนัย “เสด็จพ่อ วิธีการของลูกนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านจะต้องรับปากลูก ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ท่านจะลืมตาหนึ่งข้าง หลับตาหนึ่งข้าง ยังต้องแสดงละครให้ความร่วมมือลูกอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“แสดงละคร?”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วแน่นในวันปกติ ฮ่องเต้หวู่ทำเรื่องไร้สาระให้ความร่วมมือหลี่หลงหลินไม่น้อย เพื่อชิงไหวชิงพริบกับเหล่าขุนนาง จึงต้องเล่นละครตบตาครั้งแล้วครั้งเล่าทว่าสถานที่แห่งนี้คือหอบูชาฟ้าเทียนถาน!ได้ยินมาว่าที่นี่อยู่ใกล้สวรรค์ที่สุด เราในฐานะโอรสสวรรค์ ไม่ว่าพูดสิ่งใด ทำสิ่งใด สวรรค์ล้วนมองลงมา...หากแสดงละคร นั่นมิเท่ากับหลอกลวงเบื้องบนหรือ?“ไม่ได้...ไม่ได้...”“เราไม่สามารถหลอกสวรรค์ได้! อย่างน้อยก็ไม่ใช่ที่นี่!”ฮ่องเต้หวู่ส่ายหน้า ท่าทีหนักแน่นหลี่หลงหลินเอือมระอา ยักไหล่ “ในเมื่อเสด็จพ่อไม่ยอม เช่นนั้นก็ถือเสียว่
ฉินฮั่นหยางและขุนนางทั้งหมดไม่ยอมเลิกรา บีบบังคับฮ่องเต้หวู่อย่างต่อเนื่อง ต้องการให้เขาลงโทษหลี่หลงหลิน สีหน้าฮ่องเต้หวู่เยียบเย็น เปล่งเสียงเย็นชา “เราพูดครั้งสุดท้าย! พรุ่งนี้ค่อยตัดสินเรื่องนี้! พวกเจ้าอย่าได้บังคับเรา...”เพิ่งสิ้นเสียงเหล่าบัณฑิตก็พากันโห่ร้อง เสียงดังก้องอยู่ในหู “ฝ่าบาทโปรดลงโทษรัชทายาทด้วย! หาไม่แล้ว ท่านก็อย่าได้คิดออกจากที่นี่เป็นอันขาด!”ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงเหม่อไปเสียสติไปแล้ว!บัณฑิตเหล่านี้เสียสติไปแล้ว!เราถอยหนึ่งก้าว พวกเขาขยับเข้ามาหนึ่งก้าว ไล่ต้อนไปทุกก้าว!ยิ่งไปกว่านั้นยังจำกัดอิสระเราต่อหน้าทูตต่างแดนอีกด้วย!เราเป็นโอรสสวรรค์เชียวนะ!พวกเขาทำเกินไปแล้ว โอหังเกินไปแล้ว!แท้จริงแล้วเหล่าราษฎรในเหตุการณ์ก็ตกตะลึงพรึงเพริด แต่ละคนหันหน้ามองกันเดิมทีราษฎรยังสงสารซ่งชิงหลวนอย่างไรเสียก็ต้องเคารพผู้วายชนม์!ยิ่งไปกว่านั้นซ่งชิงหลวนก็เป็นผู้มีความรู้อย่างมากคนหนึ่ง สอนศิษย์ออกมาไม่น้อย ลูกศิษย์กระจายทั่วหล้าผู้มีความรู้เช่นนี้ตายไป ยิ่งไปกว่านั้นยังตายภายในคุก ฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์พวกเขาล้วนรู้สึกเสียดายทว่าการแสดง
หรือจะใช้กองทัพสกุลซู?คล้ายกับว่ามีเพียงวิธีนี้แล้วฮ่องเต้หวู่ร้อนใจแล้วแต่เขารับปากหลี่หลงหลินไปแล้ว จะเริ่มแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ นี่จึงหน้าแดงก่ำ พยายามขยิบตาให้เว่ยซวินโชคดีเว่ยซวินเป็นพยาธิในท้องของฮ่องเต้หวู่ เพียงสื่อสารกันผ่านทางสายตา ก็เข้าใจความคิดของเขาแล้ว รีบพูดกับหลี่หลงหลิน “องค์ชาย กองทัพสกุลซูเป็นผู้ยึดมั่นในคุณธรรม ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากราษฎรสูงมาก”“หากท่านใช้กองทัพสกุลซูกำราบบัณฑิต น่ากลัวว่านับตั้งแต่นี้ไป บนตัวกองทัพสกุลซูก็จะแปดเปื้อน!”“มีโทษมากกว่าประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ!”ซูเฟิ่งหลิงติดตามข้างกายหลี่หลงหลินอยู่ตลอด สายตากวาดมองรอบด้าน เงี่ยหูฟังทั้งแปดทิศ พยายามปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถได้ยินถ้อยคำนี้ของเว่ยซวิน สายตาซูเฟิ่งหลิงมองตรงมาจับจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ร่างอรชรสั่นเทา สบถด่า “ไอ้คนชั่ว ท่านให้ข้าเคลื่อนกองทัพออกจากภูเขาทิศประจิม ถึงขั้นวางแผนทำเช่นนี้!”“หากมือของกองทัพสกุลซูเปื้อนเลือดราษฎรผู้บริสุทธิ์!”“ข้าไม่มีวันปล่อยท่านไปแน่!”หลี่หลงหลินพูดไม่ออก “ใครบอกว่าข้าต้องการใช้กองทัพสกุลซูกำราบพวกบัณฑิตกันเล่า? เจ้าอย่าคิดเองเออเองได้หรือไม่
“ตาเฒ่า?”ฉินฮั่นหยางได้ยินคำเรียกขานนี้ มุมปากกระตุกริกอย่างสุดระงับคนของสำนักปราชญ์ให้ความสำคัญต่อหน้าตาอย่างที่สุดแม้ว่าฉินฮั่นหยางไม่ใช่ขุนนาง แต่เขามีความรู้เข้าขั้นสูง ศิษย์กระจายอยู่ทั่วหล้า คล้ายไม่ด้อยไปกว่าเสิ่นชิงโจวและซ่งชิงหลวนทั้งสองคนภายในราชสำนักมีศิษย์ของเขาไม่น้อยยามอยู่ต่อหน้าฉินฮั่นหยาง พวกเขาล้วนต้องเรียกตนอย่างเคารพนบนอบหนึ่งประโยคว่าท่านอาจารย์สำหรับราษฎรธรรมดา กลับเรียบขานเขาว่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิตาเฒ่า?คำเรียกขานขาดความเคารพนี้ ฉินฮั่นหยางไม่ได้ยินมานานหลายปีแล้วจากนั้น แม้ว่าฉินฮั่นหยางโมโห แต่กลับจนใจใครให้ตนเองเรียกหลี่หลงหลินว่าองค์ชายเก้า มิใช่รัชทายาทกันเล่าอีกฝ่ายก็ตอบโต้ด้วยวิธีการของเขากลับมาก็เท่านั้น!หากตนเองติดอยู่กับเรื่องเล็กน้อยนี้ ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบฉินฮั่นหยางจนใจ ได้แต่บีบจมูกยอมรับเขายิ้มเย็น พูดข้ออ้างที่เตรียมไว้อย่างดีแล้วออกมา “องค์ชาย เจ้าพูดว่าบัณฑิตซ่งมีความผิดสมควรได้รับโทษ ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด? จะต้องให้ความเคารพต่อผู้วายชนม์ด้วย! บัณฑิตซ่งตายไปแล้ว เจ้ายังคิดจะปรักปรำต่ออีก!”“มโนสำนึกของเจ้าอยู่ที
แต่เป็นเรื่องจริงที่ตีพิมพ์จดหมายลับต้นฉบับของซ่งชิงหลวนและตู้เหวินยวน!ครั้งที่แล้ว หลี่หลงหลินใช้วิธีนี้โค่นล้มขุนนางผู้ตรวจการราชสำนักครั้งนี้เขากลับใช้กลยุทธ์เดิมอีกครั้งเพื่อจัดการกับซ่งชิงหลวน!“ของปลอม!”“ทั้งหมดเป็นของปลอม!”ฉินฮั่นหยางเดือดดาลอย่างหนัก ฉีกหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือขว้างขึ้นไปบนอากาศ เหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมาชายชราคนนั้นงงงวยไปหมด ดวงตาแดงก่ำ “หนังสือพิมพ์...หนังสือพิมพ์ของข้า...”น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยถูกฉีกขาดชายชรานั่งยองๆ มองเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ ร่างกายของเขาโค้งงอ ดูน่าสงสารมากเขาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆ กับหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยแต่เพียงเพราะเขาเคยชินกับชีวิตที่ยากจนและเคยชินกับการประหยัดหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นของที่ใช้ประโยชน์ได้แต่ถูกฉินฮั่นหยางฉีกขาด เสียของเปล่าๆ ชายชรารู้สึกเสียดายฉินฮั่นหยางไม่รู้สึกเห็นใจแม้แต่น้อย ชี้ไปที่ชายชราและด่าว่า “ทุกคนดูสิ! อะไรที่เรียกว่าคนโง่ นี่ไงล่ะคนโง่! คนอื่นพูดอะไรเขาก็เชื่อไปหมด ตัวเขาเองไม่มีความสามารถในการแยกแยะเลยแม้แต่น้อย!”“ข่าวล
ไส้ศึกของรัชทายาท?สมองของชายชราว่างเปล่าเขาทำกรรมอะไรไว้?แค่ดูเหตุการณ์วุ่นวาย แล้วเข้าไปใกล้เกินไปหน่อยเท่านั้นเองหรือ?ทำไมแค่บัณฑิตฉินขยับปากพูด เขาก็กลายเป็นไส้ศึกไปได้?นี่ไม่ใช่คำพูดที่ดีเลยชายชรารีบโต้แย้ง “ท่านบัณฑิตฉิน ข้าน้อยไม่ใช่ ข้าน้อยไม่ใช่จริงๆ! ข้าน้อยกับรัชทายาทไม่รู้จักกันจริงๆ! และข้าน้อยก็ไม่รู้จักท่านบัณฑิตซ่ง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่เคยมีความแค้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำร้ายเขา...”“เหอะๆ”บนใบหน้าของฉินฮั่นหยางปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย “ในเมื่อไม่รู้จัก แล้วเจ้าจะคุกเข่าทำไม! ถ้านี่ไม่ใช่การสำนึกผิดแล้วจะเรียกว่าอะไรเล่า?”เสียงของเหล่าบัณฑิตดังขึ้น “เจ้าสำนึกผิดชัดๆ!”“เจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของรัชทายาท!”“สุนัขรับใช้! ไส้ศึก!”ชายชราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้เรียนหนังสือ พูดไม่เก่งเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคุกเข่าต่อหน้าฉินฮั่นหยาง น้ำมูกน้ำตาไหลอาบ “ท่านบัณฑิตฉิน ข้า...ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ได้โปรด ท่านเป็นผู้ใหญ่ ใจกว้าง อย่าถือสาข้าน้อยเลย ปล่อยข้าน้อยไปเถอะ!”ฉินฮั่นหยางยิ้มเล็กน้อย ปลาติดเบ็ดแล้วรัชทายาทจัดการยากแต
ชายชราอายุมากแล้ว กระดูกเปราะบาง ทนการทรมานแบบนี้ไม่ไหว ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด และยังคงร้องขอความเมตตาไม่หยุดภาพนี้ ชาวบ้านที่มามุงดูก็ทนไม่ได้พวกบัณฑิตเหล่านี้ ช่างกดขี่ข่มเหงเกินไปแล้ว!ไม่มีเหตุผลสักนิด!!ตำราของนักปราชญ์ พวกเขาร่ำเรียนเข้าไปในท้องหมากันหมดหรือยังไง?แม้จะไม่พอใจก็เถอะแต่สำนักปราชญ์มีอำนาจมาก ชาวบ้านโกรธแต่ไม่กล้าพูด สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้ายืนหยัดออกมาพูดแทนชายชรา บนหอสักการะฟ้า ซูเฟิ่งหลิงอยู่ข้างหลี่หลงหลิน เหมือนมดบนกระทะร้อน จิตใจร้อนรนทนไม่ไหวนานแล้วนางฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก มีจิตใจชอบช่วยเหลือผู้คน ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถือกระบี่ท่องยุทธภพ เห็นความอยุติธรรมก็ชักกระบี่ช่วยเหลือในตอนนี้ซูเฟิ่งหลิงมองดูชายชราอายุเกินห้าสิบปี ถูกฉินฮั่นหยางรังแกจิตใจที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นของนาง ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!เพียงแต่...ฮ่องเต้ก็อยู่ ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ก็อยู่ยังมีองครักษ์เสื้อแพร กองกำลังใหม่ของตระกูลซู...ในสถานการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ จะมีที่ไหนให้นางที่เป็นถึงพระชายารัชทายาทได้แสดงอำนาจ?ซูเฟิ่งหลิงได้แต่กัดฟัน อดทนแล้วอดทนอีก!
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั
มีนับล้านคน!ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหลี่หลงหลินเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ สามารถใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ได้?น่าขันจริงเชียว!หลี่เทียนฉี่รีบหยิบหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยออกมา ถือไว้ด้วยสองมือ “นี่คือหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับล่าสุด เชิญท่านผ่านตา!”สีหน้าเสิ่นชิงโจวเปลี่ยนไป รีบรับไปอ่านอย่างละเอียดของสิ่งอื่นเขาสามารถไม่ใส่ใจได้เว้นแต่เพียงหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยเจ้าสิ่งใหม่นี้ ทำให้เสิ่นชิงโจวไม่มั่นใจ กระวนกระวายว้าวุ่น“นี่...ก็ไม่มีอันใดพิเศษนี่”เสิ่นชิงโจวอ่านหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สีหน้าแปลกใจเดิมทีคิดว่าหลี่หลงหลินจะเขียนเรื่องวันพิธีสักการะฟ้าดินออกมาเพื่อฉวยโอกาสปรักปรำสำนักปราชญ์สรุปว่าไม่เป็นเช่นนั้นหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับนี้ เทียบกันแล้วธรรมดามาก คล้ายรีบทำออกมา ไม่เขียนถึงพิธีสักการะฟ้าดินเลยแม้แต่น้อยหลี่เทียนฉี่รีบสืบเท้าขึ้นไป ชี้ตำแหน่งใจกลางหน้าหนังสือพิมพ์ “ท่านอาจารย์ ท่านดูที่นี่...”เสิ่นชิงโจวจ้องมอง ในที่สุดก็พบประกาศเกี่ยวกับจดหมายนิรนาม ทันใดนั้นสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก “รัชทายาท นี่
สิบห้าค่ำเดือนอ้าย ก่อนวันเทศกาลโคมไฟ หลี่หลงหลินจะต้องจัดการสำนักปราชญ์พูดให้ถูกก็คือเหลืออีกเพียงสิบสี่วันเวลานั้นสั้นนัก ไม่อาจพลาดไปได้แม้เสี้ยวนาทีรุ่งเช้าวันต่อมาหลี่หลงหลินและกงซูหว่านมายังภูเขาทิศประจิม ให้เหล่าช่างฝีมือพิมพ์หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่เริ่มงานวันที่สองเดือนอ้าย เหล่าช่างฝีมือย่อมไม่พอใจทว่าหลี่หลงหลินลงมืออย่างใจกว้าง รับปากเพิ่มค่าทำงานล่วงเวลาให้เหล่าช่างฝีมือเหล่าช่างฝีมือยิ้มกว้างอย่างดีใจ ไม่บ่นอีกสองวันต่อมาหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่ก็ออกมาเหล่าเด็กขายหนังสือพิมพ์บุกฝ่าหิมะ ขายตามตรอกเล็กซอยน้อย การค้าขายดีมากการขายหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยกลายเป็นความคุ้นชินของราษฎรภายในเมืองหลวงแล้วยังมีคนฉลาดบางส่วน สบช่องทางการค้า ลอบรับซื้อหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยโดยเฉพาะฉบับแรกรวมถึงภาคผนวกฉบับใหม่ล่าสุด ไม่เพียงพิเศษ ยังผลิตเป็นจำนวนน้อย สามารถขายได้ในราคาสูงบนตลาดมืด“หา?”“นี่คืออันใด?”“รัชทายาทต้องการให้พวกเราเขียนจดหมายร้องเรียนนิรนามฟ้องร้องสำนักปราชญ์?”“นี่แปลกมาก!”เหล่าราษฎรเห็นโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ ดวง
“หลายปีมานี้สำนักปราชญ์ผูกขาดการสอบขุนนาง คนถูกสับเปลี่ยนข้อสอบเหมือนหนิงเซิงมีมากมายนับไม่ถ้วน”“เพียงน่าเสียดายสำนักปราชญ์ยิ่งใหญ่ ร่วมมือกับทางการทุจริต ต่อให้ภายในมือพวกเขามีหลักฐาน แต่ก็ไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้!”“สามารถใช้หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยประกาศออกไปได้ ให้คนเหล่านี้ล่วงรู้ว่าพวกเขาสามารถเขียนจดหมายถึงข้าโดยไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อให้ข้าร้องทุกข์แทนพวกเขาได้!”กงซูหว่านชะงักไป ใบหน้าเผยแววดีใจยังสามารถทำเช่นนี้ได้?อานุภาพของหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยมากกว่าที่ตนเองคิดไว้อย่างแท้จริง“แต่...”กงซูหว่านยังลังเลเล็กน้อย “องค์ชาย น่ากลัวว่าไม่ได้! วิธีที่ท่านพูด แม้ว่ามีเหตุผลที่แน่นอน แต่พลังอำนาจของสำนักปราชญ์กลับยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าคนเหล่านี้จะกล้าเขียนจดหมายร้องเรียนและมอบหลักฐานให้พวกเรา...”ลั่วอวี้จู๋คิดไปไกลยิ่งกว่านั้น “หากเปิดให้มีการร้องเรียน น่ากลัวว่าหายนะที่ตามมาจะไม่มีที่สิ้นสุด! หากมีคนตั้งใจก่อกวน สร้างหลักฐานเท็จ กล่าวหาคนดี นั่นจะทำเช่นไร?”ในยุคสมัยโบราณ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ปรักปรำคนดี โทษการกล่าวหาเท็จรุนแรงมากนักหากมั่นใจแล้วว่ากล่าวหาเท็
“แต่...”กงซูหว่านหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำใจให้สงบลง “ท่านวางแผนโจมตีสำนักปราชญ์ น่ากลัวว่าไม่ง่ายถึงเพียงนั้น! ประวัติศาสตร์นับพันปี ฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ขั้วอำนาจเปลี่ยนผัน ธงใหญ่บนกำแพงเมืองเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มีเพียงสำนักปราชญ์ไม่เคยล้มลง”“รากฐานของสำนักปราชญ์หยั่งลึกเกินกว่าที่ท่านคิดไว้มากนัก!”“ท่านฆ่าบัณฑิตทรงคุณวุฒินั้นง่าย ก็แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น ขอเพียงยอมรับเสียงก่นด่าก็พอ!”“แต่ หากท่านต้องการตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์ นั่นยากมากเหลือเกิน”สำนักโม่ถูกสำนักปราชญ์ทำลายกงซูหว่านเป็นคนรุ่นหลังของสำนักโม่ โกรธแค้นสำนักปราชญ์ลึกถึงกระดูก ใคร่ครวญอยู่ทุกขณะจิต จะใช้วิธีการใดทำลายสำนักปราชญ์สรุปคือไม่ได้อะไรสำนักปราชญ์แข็งแกร่งเกินไปต่อให้เป็นสำนักโม่ ก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดต่อให้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ต้องการใช้กำลังเพียงคนเดียวล้มสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากนี่จะเป็นไปได้จริงหรือ?หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “พี่สะใภ้รอง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคน ไม่ลองดู จะรู้ได้เยี่ยงไร? ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือข้ายั