เซวียหนานคงวิ่งหอบไปหาฉู่เนี่ยนซี ก่อนจะหยิบสมุนไพรที่เตรียมมาบนหลังแล้วมอบให้นาง“ขอโทษด้วย แต่ข้ารับไว้ไม่ได้!”เพียงมองแวบเดียว ฉู่เนี่ยนซีก็ตระหนักว่ามีสมุนไพรล้ำค่าอยู่ในนั้น นางจึงปฏิเสธไปทันทีเมื่อเห็นนางปฏิเสธ เซวียหนานคงจึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว "นี่เป็นสมุนไพรที่หุบเขาสมุนไพรไม่ต้องการแล้ว ท่านรับไปเถิด"ดวงตาของเซวียหนานเต็มไปด้วยความหวังให้ฉู่เนี่ยนซีรับมันไปใบหน้าที่สงบนิ่งของฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะขยายออก"ไม่ได้ หนานคง ข้าไม่ได้ลำบากอะไรเลย เจ้า..." พูดไปได้ครึ่งทาง ฉู่เนี่ยนซีก็ปิดปากและมองเซวียหนานคงผู้มีสายตาดื้อรั้นอย่างจนปัญญา"ก็ได้" ภายใต้การประท้วงเงียบ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็ยอมแพ้ เซวียหนานคงมีความสุข และฉู่เนี่ยนซีก็พูดต่อว่า "แต่ข้าขอซื้อยาเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นข้าก็จะไม่รับมันไว้"“ก็ได้! แต่ข้าขอแค่สามตำลึงเท่านั้น! มากกว่านั้นข้าก็ไม่เอา”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉู่เนี่ยนซีก็เกือบสูญเสียการควบคุมสีหน้า‘เจ้าหมอนี่ ในนั้นมียาล้ำค่าอยู่ตั้งเท่าไหร่ ซึ่งมันมีค่าเทียบเท่าเงินมากมายขนาดไหน’‘เจ้าเด็กฟุ่มเฟือย ไม่รู้ว่าหัวหน้าหุบเขาจะคิดอย่างไร’“หนานคง ถ้าจะบอกว่า
ส่วนการรักษาเฉินเกอนั้น หากอยู่ถึงดึกแล้วไม่ยอมกลับจวนก็คงไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างเช่นนั้นวันรุ่งขึ้นค่อยไปรักษาช่วงเย็น ๆ ก็แล้วกันฉู่เนี่ยนซีกลับมาที่ห้องด้วยความงัวเงียและผล็อยหลับไปไม่นานหลังจากที่นางหลับไป ร่างของเย่เฟยหลีก็ปรากฏขึ้นหลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ดวงจันทร์อันสุกสว่างหายไป แม้แต่ดวงดาวก็ไม่ปรากฏให้เห็น ราวกับฟากฟ้าที่ไร้ขอบเขตได้ถูกหมึกเข้มหกใส่จนเปื้อนไปหมดเย่เฟยหลีเพ่งมองไปยังห้องที่เทียนดับไปแล้ว ทั้งห้องนั้นตกอยู่ในความมืด และมีอารมณ์ที่ซับซ้อนเกลือกกลิ้งอยู่ในดวงตาของเขาเป็นเวลาเนิ่นนานที่ลมพัดโชย ใบไม้ขยับไปมาแผ่วเบา ราวกับว่าไม่เคยมีใครไป ณ ที่แห่งนั้นมาก่อนวันต่อมา ฉู่เนี่ยนซีที่นอนหลับเต็มอิ่มเป็นครั้งแรก ค่อย ๆ ตื่นขึ้นหลังตะวันโด่งไปแล้วทันทีที่ตื่นขึ้นมา ท้องไส้ก็เริ่มร้องประท้วงเมื่อเสี่ยวเถาที่รออยู่นอกประตู ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างใน นางก็รีบวิ่งไปตักน้ำมาให้ฉู่เนี่ยนซีล้างหน้าล้างตาหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อฉู่เนี่ยนซีตื่นขึ้นมา เสี่ยวเถาก็เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ฉู่เนี่ยนซี
หลังผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ไหวติงและไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย ซ่างกวานเยียนจึงขมวดคิ้ว“ท่านพี่หลี เหตุใดท่านถึงทำตัวห่างเหินกับเยียนเอ๋อร์เช่นนี้เล่าเพคะ?”พูดจบ ซ่างกวานเยียนก็ทำท่างอนอีกฝ่ายอย่างมีชั้นเชิง และจากนั้นนางก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไรบางอย่างขณะที่กำลังจะพูด อีกฝ่ายก็อุ้มนางขึ้นมา ภายใต้แสงจันทร์ และเนื่องด้วยรูปร่างที่สูงของอีกฝ่าย ซ่างกวานเยียนจึงเห็นเพียงโครงร่างของอีกฝ่ายที่สูงโปร่งราวกับกระบี่ยาวเขาวางนางลงบนเตียงอย่างหยาบ ๆ เล็กน้อย แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคลื่อนไหว ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง“ท่านพี่หลี ท่านรำคาญเยียนเอ๋อร์หรือเพคะ?”เมื่อไม่มีทางเลือก ซ่างกวานเยียนทำได้เพียงพูดเช่นนั้นออกไป ในขณะที่ขอบตาของนางค่อย ๆ แดงรื้นขึ้นมา พลางสะอื้นเบา ๆแต่ในใจของนางกลับคิดว่าเหตุใดยาในก้านหอมถึงยังไม่ออกฤทธิ์ขณะที่กำลังรู้สึกประหม่า จู่ ๆ ชายที่อยู่เหนือร่างก็โน้มตัวลงมาจูบน้ำตาบนใบหน้าของนางทีละนิดด้วยริมฝีปากอันอ่อนนุ่มเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอันร้อนแรงของชายคนนั้น ดวงตาแดงก่ำของซ่างกวานเยียนก็เปล่งประกายอย่างรวดเร็วบ่งบอกถึงความสำเร
“ถือนี่ไว้ อีกสักครู่ข้าจะปิดผนึกจุดฝังเข็มหลายจุดของเขา ให้ท่านกางฝ่ามือของเขาออกแล้วไปเอาแนบกับอำพันทะเล”เมื่อเป่ยถูรับอำพันทะเลมาก็มองดูมันอย่างเงียบ ๆ ด้วยสายตาที่ค่อนข้างคลุมเครือคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมอบอำพันทะเลให้นางจริง ๆไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของโรงพนันผู้นี้หรือไม่!ฉู่เนี่ยนซีทำท่าทางเฉยเมย หยิบขวดลายครามออกมาจากแขนเสื้อ พลางเปิดขวดแล้วค่อย ๆ เทสารน้ำผสมเข้าไปในปากของเฉินเกอ เฉินเกอที่กำลังชักค่อย ๆ สงบลงอีกทั้งอุณหภูมิภายในก็ลดลงไปด้วยแม้เป่ยถูจะประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ถามอะไรฉู่เนี่ยนซีขยับนิ้วของนางเล็กน้อยอย่างไม่ลังเล เข็มเงินก็ปิดผนึกอวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหกของเฉินเกอ และจุดฝังเข็มที่สำคัญบนร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วจากนั้นนางก็หยิบผงที่เตรียมไว้ออกมาป้อนใส่ปากของเฉินเกออีกครั้ง“เตรียมพร้อมแล้ว!”ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีฉายแววจริงจัง นางไม่ได้มองไปที่เป่ยถูแต่จ้องมองไปยังเฉินเกออย่างไม่วางตาพลางนับเวลา เสียงเย็นชาที่ดังออกมาจากปากของนาง มีแรงกระตุ้นที่ไม่อาจอธิบายได้ที่จะทำให้เชื่อใจและเชื่อฟังนางเป่ยถูหยิบมีดพกของเขาออกมาและส่งเส
ฉู่เนี่ยนซีมองท่าทางของเฉินเกอและเห็นว่าในดวงตาของเขาไม่มีความรังเกียจเลยแม้แต่นิด ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกประทับใจในตัวเขาขึ้นมาเล็กน้อย“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แค่กแค่ก…” ยังไม่ทันจะพูดจบ เฉินเกอก็เริ่มไออย่างรุนแรงเมื่อเห็นดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็รีบก้าวไปตรวจดูชีพจรของเขา“เขาเป็นอะไร?” เป่ยถูกังวลเล็กน้อย พลางมองไปยังฉู่เนี่ยนซีด้วยท่าทางที่เย็นชาและน่ากลัวชูเนี่ยนซีดึงมือกลับ หันกลับมาเทน้ำใส่แก้วแล้วป้อนเฉินเกอ ส่งสายตาให้เขาดื่มเข้าไป“เขาเป็นอะไร แค่เพิ่งตื่นขึ้นและมีอาการไอเพราะคอแห้งเท่านั้น” ฉู่เนี่ยนซียืดตัวขึ้น อารมณ์เย็นลงเล็กน้อย นางจ้องไปที่เป่ยถูแล้วพูดอีกครั้ง “แต่…ถ้าหากท่านมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นอีกล่ะก็ ข้าคงรับประกันไม่ได้!”พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีจึงหยิบยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากหีบห่อแล้วส่งให้เป่ยถู ราวกับว่าเมื่อครู่นี้นางไม่เคยพูดจาข่มขู่อะไร พร้อมกลับมาสงบสติอารมณ์อีกครั้ง“ยานี้ควรรับประทานวันละสามครั้ง” หลังจากฉู่เนี่ยนซีพูดเช่นนั้น นางก็เก็บข้าวของ บิดคอที่แข็งทื่อไปมา และชายตามองเป่ยถู “ข้าจะออกไปก่อน พรุ่งนี้อย่าลืมเอาของมาส่งของที่นี่”เป่ยถู
ผิวหนังที่เปลือยเปล่า ประกอบกับอากาศเย็นทำให้รู้สึกหนาวกายความเจ็บปวดตามร่างกายของนางและรอยแดงบนที่นอน ล้วนทำให้นางนึกถึงความเร่าร้อนเมื่อคืนนี้อีกครั้งซ่างกวานเยียนหน้าแดงเบา ๆ พลางเผยรอยยิ้ม บางทีวันนี้ท่านอ๋องอาจมีสิ่งที่ต้องทำ จึงออกไปแต่เช้า เพื่อไม่ให้เป็นการปลุกนาง เขาจึงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและระมัดระวังในตอนที่ออกไปเมื่อคิดดังนั้น สีหน้าของซ่างกวานเยียนก็ยิ่งมีความเขินอายมากขึ้น“พวกเจ้าเข้ามาได้!”สาวใช้ที่รออยู่ข้างนอกนานแล้วก็เปิดม่านเข้าไป ซ่างกวานเยียนปิดปากแล้วยิ้มเบา ๆ “ท่านอ๋องเสด็จออกไปเมื่อไหร่?”สาวใช้เหลือบมองรอยแดงบนร่างของซ่างกวานเยียน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข“ตอนบ่าวตื่นมาก็ไม่เห็นท่านอ๋องแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ายินดีด้วยนะเจ้าคะคุณหนู!”ซ่างกวานเยียนพยักหน้าเบา ๆ ให้กับสาวใช้ กำลังจะพูด แต่ด้วยการเคลื่อนไหวดังกล่าว ซ่างกวานเยียนก็ตัวแข็งทื่อทันที ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? ท่านรู้สึกไม่สบายใจตรงไหนเจ้าคะ?” เมื่อสาวใช้เห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็รีบถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวานเยียนสะดุดไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เตรียม
ซ่างกวานเยียนไม่ชอบได้ยินคำว่านางสนม ทันใดนั้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและอวดดีของนาง ก็เปลี่ยนมาจ้องมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ แต่เมื่อนางคิดถึงคืนแห่งความอ่อนโยนของเมื่อวาน ดวงตาที่โกรธแค้นของนางก็กลับกลายเป็นเย่อหยิ่งดังเดิม“เฮอะ! หรือว่าพี่หญิงอิจฉาเจ้าคะ? ตายแล้ว ท่านอ๋องยังไม่ได้ไปค้างแรมที่เรือนของพี่หญิงเลย ไม่ทราบว่าอยากให้ข้าไปช่วยท่านพี่ปัดฝุ่นที่หมอนสักหน่อยหรือไม่?”ขณะที่ซ่างกวานเยียนพูด ก็ดูเหมือนว่านางจะคิดอะไรออก สายตาอันโกรธเกรี้ยวของนางจ้องมองไปที่รอยแผลเป็นที่น่าขยะแขยงบนใบหน้าของฉู่เนี่ยนซี แววตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ พลางพูดอย่างประชดประชันว่า “อืม หากท่านอ๋องไปหาพี่หญิงก็คงทำได้แค่ปิดไฟ เพราะจะได้ไม่เสียสายตา!”พูดจบ นางก็ปิดปากแล้วยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเถาจึงนึกโกรธ ‘พระชายาไม่มีรอยแผลเป็นเสียหน่อย นางสวยกว่าเจ้าเป็นหมื่นเท่าเสียด้วยซ้ำ! ช่างไร้ยางอายนัก!’เมื่อรับรู้ถึงความโกรธของผู้คนที่อยู่รอบตัว ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง นางก้าวไปข้างหน้าและจ้องมองไปที่ซ่างกวานเยียนอย่างดูหมิ่นพลางกระซิบเบา ๆ “คืนก่อนที่เจ้าจะเข้าจวนม
เนื่องจากนางกำลังจะแต่งงานกับท่านอ๋องเหลียน คนที่ดูถูกนางจึงทำได้เพียงพูดคุยเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ ลับหลัง แต่ดวงตาของพวกเขายังคงมีแต่ความเหยียดหยาม นางสามารถทนกับสิ่งเหล่านี้ได้ แต่สำหรับฉู่เนี่ยนซีนั้นถือเป็นข้อยกเว้น!นางจ้องมองด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเป็นสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจขณะที่ฉู่หว่านเอ๋อร์กำลังจะพูด มหาเสนาบดีที่ดีใจมากเมื่อได้ยินว่าบุตรสาวของเขากลับมา เขาจึงวางงานในมือลงทันที แล้วรีบไปที่จวนเพื่อต้อนรับนาง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับฉู่หว่านเอ๋อร์ตรงหน้าประตูจวนเมื่อเห็นว่านางมีสายตาโกรธขึงในขณะที่บุตรสาวของเขาดูสงบ ก็เดาได้ว่าฉู่หว่านเอ๋อร์คงมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาอีกแล้วสีหน้าของเขาขรึมขึ้นพลางก้าวไปข้างหน้า“ซีเอ๋อร์ เหตุใดไม่แจ้งพ่อล่วงหน้าตอนที่กลับมาเล่า? หากรู้ก่อนหน้าคงขอให้แม่ทำน้ำแกงที่เจ้าชอบให้แล้ว!”เมื่อเผชิญหน้ากับบุตรสาวของเขา มหาเสนาบดีฉู่ก็ยิ้มกว้าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรัก เจือไปด้วยความกังวล “ดูสิ เจ้าผอมลงอีกแล้ว! จากนี้ต้องกินให้มากกว่านี้!”เมื่อได้ยินเสียงของมหาเสนาบดีฉู่ ความเยือกเย็นในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีก็หายไป และถูกแท
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย