หลังมอบหมายหลู่ซิงเสร็จแล้ว หยุนเจิงสั่งให้หลู่ซิ่งไปนักรบทูตสิบแปดมามองดูเงาหลังของหลู่ซิง หยุนเจิงแอบครุ่นคิดหลังจบเรื่องนี้ ควรมอบหลู่ซิ่งให้ฉินชีหู่ได้แล้วทว่า ชุดเกราะของม้าศึกกองทหารโลหิต เวลาเพียงเล็กน้อยคงยังทำไม่เสร็จการสร้างเกราะไม่ง่าย ช่างที่ทำชุดเกราะเป็นน้อยเกินไปแม้ว่าจะมีการจัดสรรกำลังคนอย่างเร่งด่วนก็ตาม แต่ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือใหม่นั้นมีมากโชคดีที่มีเหมืองแร่เหล็กอยู่ที่โม่หยาง ขอแค่การขยายโรงตีเหล็กที่นั้นสร้างเสร็จเรียบร้อย ก็สามารถจัดหาเหล็กได้มากขึ้นแต่ว่า ระยะห่างของเหมืองหินและเหมืองเหล็กห่างกันเกินไป!ทางนั้นไม่มีสะพานระยะการขนส่งและต้นทุน ตอนนี้ยังไม่ได้แก้ไข!ตอนนี้เขาไม่มีความคิดหรือกำลังคนมากนักในการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทำได้เพียงปล่อยไปก่อนขณะที่หยุนเจิงคิดเรื่อยเปื่อย คนทั้งหมดของนักรบทูตสิบแปดถูกพาเข้ามาแล้วอื้ม สิบแปดคน ไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียวทว่า เสื้อคลุมสีเขียวที่พวกเขาสวมอยู่ขาดรุ่งริ่งทั้งหมด ดูไปแล้วค่อนข้างจนตรอกยังมีอีกหลายคนดูแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บ“ตามข้ามา!”หยุนเจิงกวาดตามองทุกคน พาพวกเขากับเสิ่นลั่วเยี่ยนเดิ
นักรบภูตเก้ายิ้มร้าย “ชนเผ่าหลายแห่งยังมีเนื้อให้กินทุกวัน”ห๊า?เสิ่นลั่วเยี่ยนเบิกตาโต แทบนึกว่าตัวเองฟังผิดไปชนเผ่าหลายแห่งของเป่ยหวนยังสามารถมีเนื้อกินทุกวัน?ไม่นาน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เข้าใจแล้วมีเนื้อกินทุกวัน ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตที่ดีปศุสัตว์เหล่านั้น เป็นเสบียงอาหารของชนเผ่าเป่ยหวนเสบียงอาหารสุดท้ายกินหมดแล้ว ฤดูหนาวที่ยาวนานมาถึง เป่ยหวนก็ต้องมีคนหิวตายจำนวนมากตอนนี้ชนเผ่ามีเนื้อให้กินทุกวัน เมื่อฤดูหนาวมาถึง ก็จะเป็นชนเผ่าที่มีชีวิตยากลำบากที่สุด“จริงด้วย องค์ชาย ตอนที่พวกเรากลับมา เห็นชนเผ่าทางตะวันตกเริ่มอพยพอีกครั้ง ดูเหมือนกำลังเดินทางไปยังด้านหลังเขาอู๋เหลียน”เวลานี้ นักรบภูตเก้าได้เล่าสถานการณ์ที่สำคัญ“อพยพไปด้านหลัง?”หยุนเจิงประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเขากำลังพยายามลดแนวป้องกันลง!”เห็นได้ชัด เป่ยหวนหมดกำลังรักษากองทัพแล้วมีเพียงการลดแนวป้องกัน จึงสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกโจมตีเป่ยหวนเมื่อลดกำลังแล้วถอยไกลเกินไป พวกเขาคิดจะเดินทางโจมตีระยะไกล คนยังดีหน่อย แต่ม้าศึกไม่มีทางได้รับเสบียงจากทางเป่ยหวนหากโจมตีไปให้อาหารม้าไป ความเร็วในการโจมตีก็จะล่
หนึ่งวันให้หลัง ตอนที่อาสือน่าอ้อนวอนอีกครั้ง หยุนเจิงจึงฝืนตอบตกลงส่งทหารหยุนเจิงให้หลู่ซิ่งเป็นแม่ทัพหลัก ฮั่วกู้เป็นรองแม่ทัพ นำทหารม้าหนึ่งหมื่นเดินทางสู่เป่ยหมัวถัวฉินชีหู่และต่งกังบัญชาการกองทหารโลหิตเป็นแนวป้องกันเป่ยหวนทั้งสองข้างอีกอย่าง ยังมีทหารราบห้าร้อยคนรับผิดชอบคุ้มกันขนส่งเสบียงเดิมที เรื่องการคุ้มกันขนส่งเสบียงควรรับผิดชอบโดยทหารชาวนาแต่ทหารชาวนาของซั่วเป่ยกำลังยุ่งอยู่กับการทำนา มีเพียงต้องส่งทหารราบคุ้มกันแล้วก่อนออกเดินทาง หยุนเจิงกำชับฉินชีหู่อีกครั้ง ให้ฟังคำแนะนำของต่งกังหากพบการจู่โจมจากเป่ยหวน ถ้าสู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็นำกำลังเข้าประชิดกับกองกำลังหลู่ซิ่งต่อไป หยุนเจิงและกำลังคุยต่อหน้าอาสือน่าที่น่ารังเกียจหลังจากที่พวกเขาช่วยเป่ยหมัวถัวขับไล่กองทัพโฉวฉือแล้ว เป่ยหมัวลั่วต้องสวามิภักดิ์เป็นข้าราชบริพารของเขาหากเป่ยหมัวถัวกล้าผิดคำพูด เขาจะทำให้คนของเป่ยหมัวถัวทั้งหมดกลายเป็นทาส!เหมืองหินของเขากำลังขาดคน!อาสือน่าตอนนี้ทำได้เพียงขอหยุนเจิงให้ส่งทหารไปช่วยเหลือ ย่อมต้องรับปากเต็มคำ ทั้งยังรับประกัน จะนำคำพูดของหยุนเจิงไปให้หัวหน้าของเป่ยหม
เสิ่นลั่วเยี่ยนยังไม่วางใจ กำชับพวกเขาอีกรอบเดิมที นางคิดจะเป็นหัวหน้ากององครักษ์ให้กับหยุนเจิงด้วยตัวเอง ถือโอกาสเรียนวิธีนำทัพจับศึกจากหยุนเจิงทุกอย่างวางแผนเอาไว้แล้ว ปรากฏว่า แผนไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเมื่อก่อนเหตุใดหยุนเจิงยอมลำบากอดกลั้นไม่ยอมไปถึงขั้นสุดท้ายกับนาง“เอาล่ะ! เจ้าวางใจเถอะ!”หยุนเจิงหัวเราะ จากนั้นก็ดึงเสิ่นลั่วเยี่ยนไปด้านข้าง กระซิบ “หลังจากกลับไป เจ้าสามารถช่วยแม่ยายฝึกสายลับได้! แต่เจ้าต้องจำไว้ ให้เจ้าช่วยฝึกอบรม ไม่ใช่ให้เจ้าวิ่งไปรำดาบใช้ทวน! หากเจ้ากล้าทรมาน ดูว่าข้าจะฟาดก้นเจ้าเช่นไร!”“กล่าวสิ่งใดน่ะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิง จากนั้นกพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ไม่ต้องห่วงข้า ดูแลตัวเองให้ดี!”กล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่สนใจคนมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ จูบดูดดื่มกับหยุนเจิงหลังจากจูบลา หยุนเจิงรีบพาคนไปยังทะเลสาบไป๋หลางจนกระทั่งกลางดึก พวกหยุนเจิงจึงมาถึงยังเขตค่ายของกองกำลังอวี๋ซื่อจง“คาราวะองค์ชาย! คาราวะฮูหยินเมี่ยวอิน...”อวี๋ซื่อจงและชวีจื้อเดินขึ้นมาทำความเคารพ“เอาล่ะ เลิกพิธีรีตองได้แล้ว”หยุนเจิงโบกมือ จากนั้น
ต่อไป กุ้ยโหยวและฟางหยุนซื่อก็โต้เถียงกับหยุนเจิงอยู่นานหยุนเจิงรำคาญแล้ว ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งให้พวกเขาโดยตรงหากไม่ได้กินข้าวมื้อนี้ ก็แสดงว่าพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหากไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน คิดจะผ่านทางแนวสันแดนเป่ยหยวนไป ก็ต้องใช้ม้าศึกห้าพันตัวเป็นค่าผ่านทางเพราะว่า สะพานที่แนวสันดอกเป่ยหยวนเขาสั่งให้คนสร้างขึ้นมาใหม่ไม่รอการต้อนรับจากเขา ก็ต้องนำม้าศึกมาแลก!เลือกหนึ่งในสอง!กุ้ยโหยวถูกหยุนเจิงยั่วโมโหจนปวดตับ แต่ก็ทำสิ่งใดหยุนเจิงไม่ได้เขาไม่อยากเจรจาต่อรองกับหยุนเจิงเพราะเขารู้ดี หยุนเจิงไม่มีทางตอบตกลงการขอสันตินอกจาก เป่ยหวยจะจ่ายด้วยราคาที่น่าอนาถที่สุด!แต่ตอนนี้ หยุนเจิงไม่ปล่อยพวกเขาไปยังเมืองจักรพรรดิต้าเฉียน พวกเขาทำได้เพียงเจรจากับหยุนเจิงสุดท้ายองค์หญิงเจียเหยาก็ประเมินระดับความไร้ยางอายของหยุนเจิงต่ำไป!นางคิดไม่ถึงแน่นอน ในเมื่อส่งพวกเขาเป็นคณะทูตออกเดินทาง หยุนเจิงยังคงหาเหตุผลสร้างความลำบากให้พวกเขา ไม่ปล่อยให้พวกเขาไปขอสันติที่เมืองจักรพรรดิต้าเฉียนตอนนี้ มีเพียงต้องเจรจากับหยุนเจิงแล้ว!“ในเมื่อจิ้งเป่ยอ๋องไม่เปิดทาง เช่นนั้นพวกเราก็เ
สถานการณ์ตอนนี้ หากไม่มีการช่วยเหลือสนับสนุนจากด้านนอก หยุนเจิงส่งทหารบุกโจมตี โอกาสที่เป่ยหวนจะชนะแทบไม่มีเลย……“องค์ชาย เงื่อนไขของท่านทำให้พวกเขาลำบากใจเกินไปแล้วกระมัง?”“ไม่ว่าเช่นไรเป่ยหวนก็ไม่มีทางตอบรับเงื่อนไขท่านกระมัง?”ด้านนอก อวี๋ซื่อจงและเมี่ยวอินมองหยุนเจิงอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เงื่อนไขที่หยุนเจิงเสนอ นอกจากเป็นข้าราชบริพารแล้ว แต่ละข้อล้วนยากลำบากอย่าว่าแต่ตอนนี้เป่ยหวนยังไม่ใช่เวลาที่ถึงขั้นอับจนไร้หนทาง ต่อให้เป่ยหวนอับจนไร้หนทางจริง ก็ไม่มีทางตอบตกลงเงื่อนไขของหยุนเจิง!หากตอบตกลง ก็เท่ากับยกเป่ยหวนให้ต้าเฉียนโดยตรงแล้ว!“ตอนนี้ไม่ตกลง ต่อไปอยากตกลงก็ไม่มีโอกาสแล้ว!”หยุนเจิงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ถามอีกครั้ง “พวกเจ้าพักผ่อนเรียบร้อยหรือยัง?”“พักผ่อนเรียบร้อยนานแล้ว!” อวี๋ซื่อจงสองตาเป็นประกาย “องค์ชายตัดสินใจบุกโจมตีแล้ว?”บุกโจมตีก็ดีเลย!วันเวลาที่เฝ้าประจำการอยู่ที่นี่ เขาใกล้จะเบื่อจนเป็นบ้าแล้ว!“ควรบุกโจมตีได้แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า “ได้ยินว่า ฤดูฝนในทุ่งหญ้าใกล้มาถึงแล้วใช่หรือไม่?”ต้าเฉียนไม่มีการแบ่งปฏิทินจันทรคติและปฏิทินสุริยคติ
เที่ยงคืน ทหารต้าเฉียนสองคนลอบเข้าใกล้กระโจมฟางหยุนซื่อและกุ้ยโหยว เจตนาฆ่าฟางหยุนซื่อคนทรยศขายชาติแต่ว่า ทั้งสองคนทำอย่างอึกทึกครึมโครมกลับได้ผลลัพทธ์เล็กน้อย ทำไม่สำเร็จอวี๋ซื่อจงที่ได้ยินข่าวดุด่าทหารทั้งสองด้วยความโกรธ สั่งให้คนลากทหารทั้งสองไปโบยห้าสิบไม้ไม่นาน กายในค่ายก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา “ข้าว่า ไม้ของข้ายังไม่ได้ตกอยู่บนตัวพวกเจ้า? พวกเจ้าก็ร้องโหยหวนเกินไปแล้วกระมัง?” “ไร้สาระ ไม่ร้องโหยหวน อีกเดี๋ยวคงต้องถูกโบยจริงแล้ว!” “น้องชาย เอาน้ำให้ข้าหน่อย คอข้าใกล้จะแหบแห้งแล้ว...”มุมหนึ่งของค่าย ทหารสองคนที่ถูกโบยกำลังทำหน้าทะเล้นสนทนากับคนที่โบกพวกเขาด้านข้างพวกเขา ก็ถือถุงกระสอบที่บรรจุหญ้าเอาไว้อีกด้านหนึ่ง เกาเหอได้ข่าวรีบตามมาถึง “องค์ชายมีคำสั่ง คุ้มครองทูตทั้งสองคนให้ดี หากทูตทั้งสองมีอันตราย จะเอาหัวพวกเจ้า!”เกาเหอหน้าดำอึมครึมบอกกับอวี๋ซื่อจง“ขอรับ!”อวี่ซื่อจงรับคำสั่ง หน้าดำตะโกนร้อง “พาฟางหยุนซื่อไปที่ส่งที่กระโจมข้า! ข้าจะเฝ้าด้วยตัวเอง ดูว่าพวกเจ้ายังจะกล้าบุกเข้ากระโจมข้าฆ่าคนหรือไม่!”ไม่ปล่อยให้กุ้ยโหยวพวกเขาได้มีโอกาสพูดคุย อวี๋ซื่
หากตีทหารม้าของพวกเขาจนพิการ พวกเขาคิดจะทำศึกกับเป่ยหวนอีกครั้ง เช่นนั้นก็ยากแล้วบนทุ่งหญ้านำทหารราบไปสู้กับทหารม้า สิทธิ์ในการบุกก็จะตกอยู่ในมือคนอื่นเมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของหยุนเจิง รอยยิ้มบนใบหน้าเมี่ยวอินและเกาเหอค่อยๆ หายไปแม้หยุนเจิงจะระแวงเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีความเป็นไปได้หากเจียเหยามีความคิดเช่นนี้จริง พวกเขาเสี่ยงบุกโจมตี เป็นไปได้อย่างมากว่าจะติดกับดักสงครามใหญ่หนึ่งสนาม เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์รบครั้งต่อไปเจียเหยาสตรีผู้นี้ ไม่ใช่สตรีที่จะยอมจำนนง่ายดาย!หยุนเจิงครุ่นคิด จากนั้นก็มองอวี๋ซื่อจง “เจ้าคิดว่าพวกเราต่อไปควรสู้เช่นไร?”สู้ แน่นอนว่าต้องสู้!ต่อให้เจียเหยาเจ้าเลห์เพียงใด ก็จำเป็นต้องสู้!เพียงแต่ว่า วิธีสู้ไม่เหมือนกันเท่านั้นอวี๋ซื่อจงรู้ว่าหยุนเจิงกำลังเริ่มทดสอบเขาแล้ว จึงครุ่นคิดอยากตั้งใจเกาเหอก็ครุ่นคิดเช่นกันเขารู้จุดประสงค์ที่หยุนเจิงย้ายเขากลับมา เขาเป็นคนชุดแรกที่ติดตามหยุนเจิง เมื่อก่อนคิดเพียงแต่อยากนำทัพ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากการอยู่ข้างกายหยุนเจิงตอนนี้ หยุนเจิงให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาย่อมต้อ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ