สถานการณ์ตอนนี้ หากไม่มีการช่วยเหลือสนับสนุนจากด้านนอก หยุนเจิงส่งทหารบุกโจมตี โอกาสที่เป่ยหวนจะชนะแทบไม่มีเลย……“องค์ชาย เงื่อนไขของท่านทำให้พวกเขาลำบากใจเกินไปแล้วกระมัง?”“ไม่ว่าเช่นไรเป่ยหวนก็ไม่มีทางตอบรับเงื่อนไขท่านกระมัง?”ด้านนอก อวี๋ซื่อจงและเมี่ยวอินมองหยุนเจิงอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เงื่อนไขที่หยุนเจิงเสนอ นอกจากเป็นข้าราชบริพารแล้ว แต่ละข้อล้วนยากลำบากอย่าว่าแต่ตอนนี้เป่ยหวนยังไม่ใช่เวลาที่ถึงขั้นอับจนไร้หนทาง ต่อให้เป่ยหวนอับจนไร้หนทางจริง ก็ไม่มีทางตอบตกลงเงื่อนไขของหยุนเจิง!หากตอบตกลง ก็เท่ากับยกเป่ยหวนให้ต้าเฉียนโดยตรงแล้ว!“ตอนนี้ไม่ตกลง ต่อไปอยากตกลงก็ไม่มีโอกาสแล้ว!”หยุนเจิงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ถามอีกครั้ง “พวกเจ้าพักผ่อนเรียบร้อยหรือยัง?”“พักผ่อนเรียบร้อยนานแล้ว!” อวี๋ซื่อจงสองตาเป็นประกาย “องค์ชายตัดสินใจบุกโจมตีแล้ว?”บุกโจมตีก็ดีเลย!วันเวลาที่เฝ้าประจำการอยู่ที่นี่ เขาใกล้จะเบื่อจนเป็นบ้าแล้ว!“ควรบุกโจมตีได้แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า “ได้ยินว่า ฤดูฝนในทุ่งหญ้าใกล้มาถึงแล้วใช่หรือไม่?”ต้าเฉียนไม่มีการแบ่งปฏิทินจันทรคติและปฏิทินสุริยคติ
เที่ยงคืน ทหารต้าเฉียนสองคนลอบเข้าใกล้กระโจมฟางหยุนซื่อและกุ้ยโหยว เจตนาฆ่าฟางหยุนซื่อคนทรยศขายชาติแต่ว่า ทั้งสองคนทำอย่างอึกทึกครึมโครมกลับได้ผลลัพทธ์เล็กน้อย ทำไม่สำเร็จอวี๋ซื่อจงที่ได้ยินข่าวดุด่าทหารทั้งสองด้วยความโกรธ สั่งให้คนลากทหารทั้งสองไปโบยห้าสิบไม้ไม่นาน กายในค่ายก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา “ข้าว่า ไม้ของข้ายังไม่ได้ตกอยู่บนตัวพวกเจ้า? พวกเจ้าก็ร้องโหยหวนเกินไปแล้วกระมัง?” “ไร้สาระ ไม่ร้องโหยหวน อีกเดี๋ยวคงต้องถูกโบยจริงแล้ว!” “น้องชาย เอาน้ำให้ข้าหน่อย คอข้าใกล้จะแหบแห้งแล้ว...”มุมหนึ่งของค่าย ทหารสองคนที่ถูกโบยกำลังทำหน้าทะเล้นสนทนากับคนที่โบกพวกเขาด้านข้างพวกเขา ก็ถือถุงกระสอบที่บรรจุหญ้าเอาไว้อีกด้านหนึ่ง เกาเหอได้ข่าวรีบตามมาถึง “องค์ชายมีคำสั่ง คุ้มครองทูตทั้งสองคนให้ดี หากทูตทั้งสองมีอันตราย จะเอาหัวพวกเจ้า!”เกาเหอหน้าดำอึมครึมบอกกับอวี๋ซื่อจง“ขอรับ!”อวี่ซื่อจงรับคำสั่ง หน้าดำตะโกนร้อง “พาฟางหยุนซื่อไปที่ส่งที่กระโจมข้า! ข้าจะเฝ้าด้วยตัวเอง ดูว่าพวกเจ้ายังจะกล้าบุกเข้ากระโจมข้าฆ่าคนหรือไม่!”ไม่ปล่อยให้กุ้ยโหยวพวกเขาได้มีโอกาสพูดคุย อวี๋ซื่
หากตีทหารม้าของพวกเขาจนพิการ พวกเขาคิดจะทำศึกกับเป่ยหวนอีกครั้ง เช่นนั้นก็ยากแล้วบนทุ่งหญ้านำทหารราบไปสู้กับทหารม้า สิทธิ์ในการบุกก็จะตกอยู่ในมือคนอื่นเมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของหยุนเจิง รอยยิ้มบนใบหน้าเมี่ยวอินและเกาเหอค่อยๆ หายไปแม้หยุนเจิงจะระแวงเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีความเป็นไปได้หากเจียเหยามีความคิดเช่นนี้จริง พวกเขาเสี่ยงบุกโจมตี เป็นไปได้อย่างมากว่าจะติดกับดักสงครามใหญ่หนึ่งสนาม เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์รบครั้งต่อไปเจียเหยาสตรีผู้นี้ ไม่ใช่สตรีที่จะยอมจำนนง่ายดาย!หยุนเจิงครุ่นคิด จากนั้นก็มองอวี๋ซื่อจง “เจ้าคิดว่าพวกเราต่อไปควรสู้เช่นไร?”สู้ แน่นอนว่าต้องสู้!ต่อให้เจียเหยาเจ้าเลห์เพียงใด ก็จำเป็นต้องสู้!เพียงแต่ว่า วิธีสู้ไม่เหมือนกันเท่านั้นอวี๋ซื่อจงรู้ว่าหยุนเจิงกำลังเริ่มทดสอบเขาแล้ว จึงครุ่นคิดอยากตั้งใจเกาเหอก็ครุ่นคิดเช่นกันเขารู้จุดประสงค์ที่หยุนเจิงย้ายเขากลับมา เขาเป็นคนชุดแรกที่ติดตามหยุนเจิง เมื่อก่อนคิดเพียงแต่อยากนำทัพ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากการอยู่ข้างกายหยุนเจิงตอนนี้ หยุนเจิงให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาย่อมต้อ
กุ้ยโหยวไม่อาจตกลงรับเงื่อนไขของหยุนเจิง อีกครั้ง ไม่กล้าตอบรับด้วยต่อให้เขาตกลง เจียเหยาก็ไม่มีทางตกลง!แน่นอน หยุนเจิงรู้ว่ากุ้ยโหยวไม่มีทางตกลงเงื่อนไขของเขาหนึ่งวันเต็มๆ กุ้ยโหยวเสนออย่างพบหยุนเจิงอยู่หลายครั้ง แต่ถูกคนไล่ให้กลับไปกุ้ยโหยวไม่รู้ว่าพวกหยุนเจิงต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ทว่ารับรู้ได้ว่าบรรยากาศภายในค่ายไม่ถูกต้องทั้งค่ายเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดราวกับพายุกำลังจะมาราวกับ...สงครามใหญ่ใกล้เริ่มแล้ว!คิดไปคิดว่า หนังตากุ้ยโหยวก็กระตุกหรือไม่ กองทหารมณฑลทางเหนือจะเป็นฝ่ายบุกโจมตี?สงครามใหญ่ครั้งก่อน กองทหารมณฑลทางเหนือก็เจ็บสาหัสเช่นกันเหตุใดกองทหารมณฑลทางเหนือจึงได้บุกโจมตีรอบใหม่เร็วนัก?หรือว่า หยุนเจิงเดาแผนการขององค์หญิงออกแล้ว?กุ้ยโหยวยิ่งคิดยิ่งไม่สงบ ร้องตะโกนกับทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกกระโจมของต้าเฉียน “ข้าต้องการพบจิ้งเป่ยอ๋อง! รีบไปแจ้งเดี๋ยวนี้!”ทหารเมื่อได้ฟัง ก็หันหน้ากลับมามองสายตานั้น ราวกับวสายตาที่มองคนปัญญาอ่อนเผชิญกับสายตาของทหาร กุ้ยหยวนโกรธจนปวดตับอย่างควบคุมไม่อยู่ด้วยความโกรธ กุ้ยโหยวเดินออกไปข้างนอกโดยตรงแต่ว่า เดินไปได้ไม
อีกด้านหยุนเจิงเป็นผู้บัญชาการหลัก อวี๋ซื่อจงนำกองกำลังเก้าพันคน โยกย้ายทหารม้าห้าพันจากชายแดนกู้ เดินทางจากทะเลทรายตะวันตกที่อยู่ด้านตะวันออกของทะเลาทรายเหลืองเข้าประชิดดินแดนเป่ยหวน ส่งทหารราบหนึ่งหมื่นคุ้มกันขนส่งเสบียงแต่ว่า พวกเขาเพียงแค่แกล้งทำเป็นบุก จงใจลากเส้นทางเสบียงให้ยาวขึ้นพวกเขาจะไม่ข้ามทะเลทรายเหลือง ให้เจียเหยาส่งทหารข้ามทะเลทรายเหลือง ไปลอบโจมตีแน้วเส้นทางเสบียงของพวกเขาอีกอย่าง พวกเขาส่งคนลอบเข้าเป่ยหวนลับๆ ไปที่พื้นที่ชายแดนเหมิงกู่และเจินเกอเพื่อก่อความวุ่นวาย เพื่อสร้างความไม่ลงรอยให้กับสองแผ่นดินนี้ ทำให้ทั้งสองฝ่ายตึงเครียดเช่นนี้ ตอนที่พวกเขากำลังควบคุมกำลังหลักของเป่ยหวนในสนามรบ เหมิงกู่และเจินเกอก็จะฉวยโอกาสกัดเป่ยหวน สุดท้าย ส่งคนไปถ่ายทอดคำสั่งให้หลู่ซิ่ง ให้หลู่ซิ่งส่งทูตไปยังกุ่ยฟาง โน้มน้าวให้ทางกุ่ยฟางข้ามดินแดนเฉียนหรง ส่งทหารมาโจมตีเป่ยหวนพร้อมกันกับพวกเขา หากกำจัดเป่ยหวนสิ้นซากได้ ก็จะยกทุ่งหญ้าชิ่นหลินให้กุ่ยฟาง!แผนนี้ ส่วนใหญเป็นแผนที่พวกอวี๋ซื่อจงคิดออกมาหยุนเจิงทำแค่เสริมเพิ่มเติมบางส่วนเสบียง จริงครึ่งปลอมครึ่งอีกอย่าง ทหารราบท
“พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว พวกกู้โหยวจะจัดการเช่นไร? คุมขังไว้ตลอดหรือ?”เวลานี้ เมี่ยวอินถามอีกครั้งหยุนเจิงยิ้มมุมปาก ยิ้มร้าย “หลังพวกเราออกเดินทางแล้ว ให้คนพาพวกเขาส่งไปที่ชายแดนกู้ รอให้ทำศึกครั้งนี้เสร็จแล้ว ค่อยต้อนรับพวกเขา!”ถึงเช่นไร ก็ไม่ให้พวกเขาไปขอสันติที่เมืองจักรพรรดิ!หากอยากเจรจา ทำได้เพียงเจรจากับเขา!แน่นอน ต่อให้เจรจากับเขา ความจริงก็ไม่ได้มีผลมากมายในเมื่อเขาเองก็รู้ว่าเงื่อนไขของเขาโหดร้ายทารุณเกินไป เจียเหยาไม่มีทางตกลง“ใช่ๆ!”ชวีจื้อหัวเราะเสียงดัง “พวกเราห้ามให้คนเป่ยหวนบอกว่าท่านอ๋องเราตระหนี่ขี้เหนียว แม้แต่คนมาแล้วล้วนไม่ต้องรับ!”เมื่อได้ฟังคำของชวีจื้อ เมี่ยวอินหัวเราะอย่างควบคุมไม่อยู่ชวีจื้อช่างชั่วร้ายนัก!“แล้วฟางหยุนซื่อเล่า?”องี๋ซื่อจงถามด้วยรอยยิ้มร้าย “ส่งกลับไปหากุ้ยโหยวหรือไม่? ให้คนชั่วเช่นนั้นครอบครองกระโจมหนึ่งหลัง สิ้นเปลือง!”“ส่งกลับไปเถอะ! ถึงเช่นไรก็ไร้ประโยชน์แล้ว” หยุนเจิงเข้าใจความหมายของอวี๋ซื่อจง “กุ้ยโหยวทุบตีฟางหยุนซื่อเช่นไร พวกเราล้วนไม่ต้องสนใจ ดูละครอย่างสงบใจก็พอแล้ว!”ฟางหยุนซื่อออกมาเพียงลำพังตั้งนาน กุ้ยโ
แม้กระทั่งคิดเจรจากับหยุนเจิงล้วนไม่มีโอกาส!เขารู้ หยุนเจิงคิดจะทำศึกให้จบแล้วค่อยมาเจรจากับพวกเขา!หากหยุนเจิงชนะอีกครั้ง หยุนเจิงก็จะได้ครอบครองอำนาจโดยสิ้นเชิงขณะที่กุ้ยโหยวกระวนกระวายเดินหมุนไปรอบๆ ชวี้จื้อพาทหารกลุ่มหนึ่งมาถึง จากนั้นก็กล่าวยิ้มแย้มกับกุ้ยโหยว “ท่านทูตกุ้ย ขออภัยด้วยจริงๆ ท่านอ๋องยุ่งมาก ไม่มีเวลามาต้อนรับพวกท่าน! ท่านอ๋องกำชับไว้แล้ว เชิญท่านทูตกุ้ยย้ายไปชายแดนกู้ก่อน รอให้ท่านอ๋องทำธุระเสร็จแล้ว ค่อยมาต้อนรับท่านมูตให้ดี!”“ข้าไม่ไปชายแดนกู้!”กุ้ยโหยวตำหนิ “ข้าต้องการพบจิ้งเป่ยอ๋อง! เจ้าไปบอกเขา ข้าต้องการเจรจากับเขา! ขอแค่เขายอมเจรจา สิ่งใดก็ล้วนเจรจากันได้! รวมไปถึงเงื่อนไขที่เขาเสนอนั่นด้วย!”“ขออภัย ท่านอ๋องไม่อยู่ในค่ายแล้ว”ใบหน้าชวี้จื้อยังเปื้อนยิ้ม จากนั้นก็โบกมือให้ทหารข้างกาย “ส่งท่านทูตเป่ยหวนไปชายแดนกู้!”ทหารรับคำสั่งเข้าไปจับกุ้ยโหยวทันที“ข้าไม่ไปชายแดนกู้!”กุ้ยโหยวขัดขืนดิ้นรน “ปล่อยข้า! ข้าต้องการพบจิ้งเป่ยอ๋อง!”ทว่า ไม่ว่ากุ้ยโหยวดิ้นรนขัดขืนเช่นไร ล้วนไม่มีความหมายกลุ่มทหารดุร้ายเหมือนหมาป่าเหมือนเสือจับเขาลากไปโดยตรงฟางหย
ราชสำนักเป่ยหวนเจียเหยาได้รับรายงานจากสายลับแล้วกองทหารมณฑลทางเหนือเกิดผิดปกติ ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว กองทหารมณฑลทางเหนือคิดจะเดินทัพจากทางตะวันออกและตะวันตกสองทิศทางพร้อมกันกองทัพไม่ทราบจำนวนคนของสองเส้นทาง แต่คำนวนคร่าวๆ แล้ว กองทัพสองทางร่วมกันน่าจะมีประมาณห้าหกหมื่นคนหยุนเจิงอยากจะกินเป่ยหวนในคราวเดียว?บางที นี่อาจเป็นเล่ห์เหลี่ยมของหยุนเจิง?พ่ายแพ้หยุนเจิงตั้งหลายครั้ง เจียเหยาสูญเสียความมั่นใจแล้วตอนนี้ ทุกก้าวของหยุนเจิง นางล้วนต้องคิดซ้ำไปซ้ำมา กลัวจะตกหลุมพรางของหยุนเจิงนางรู้ว่านี่เป็นข้อห้ามของคนที่เป็นกุนซือ ทว่านางไม่อาจควบคุมตัวเองได้เป่ยหวนแพ้ไม่ได้แล้ว!แต่ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาส!ครั้งนี้กองทหารมณฑลทางเหนือบุกมาครั้งใหญ่ หากเอาชนะทัพศัตรูที่บุกมาได้ เป่ยหวนก็ได้โอกาสได้หายใจ อดทนจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวใบไม้ร่วงควรสู้เช่นไร?เจียเหยาตอนนี้คิดจะเอาชนะการบุกรุกของกองทหารมณฑลทางเหนืออีกครั้ง แล้วก็คิดจะใช้ความเสียหายน้อยที่สุด แล้วลดจำนวนการส่งทหารให้ได้มากที่สุดแต่น่าเสียดาย ข้อไหนล้วนไม่ง่ายเลยเจียเหยานวดดวงตาแห้งเหือดอย่างเหนื่อยล้า รู้สึกอย
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ