ราชสำนักเป่ยหวนเจียเหยาหัวใจหนักอึ้งเดินออกจากกระโจมมาถึงด้านนอก มองออกไปที่ไกลๆ ก็จะสามารถเห็นคนกำลังใช้แรงงานอยู่บนที่ดินบริเวณโดยรอบราชสำนักหลายปีมานี้ ชนเผ่ามากมายด้านหลังเป่ยหวนล้วนได้เปลี่ยนจากการอาศัยอยู่ริมน้ำมาเป็นการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่า ตอนที่แม่น้ำและทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ ทุกชนเผ่าจะส่งคนออกไปเลี้ยงสัตว์กินหญ้าก่อนฤดูหนาวจะมา คนเลี้ยงสัตว์ที่ส่งออกไปก็จะต้อนฝูงปศุสัตว์กลับมาส่วนคนที่เหลืออยู่ในชนเผ่า ต่างเรียนรู้การเพาะปลูกเนื่องจากเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำเกษตรในเป่ยหวนนั้นสั้นมาก ทุกปีสามารถปลูกธัญพืชได้เพียงฤดูกาลเดียวอีกทั้ง ประเภทของธัญพืชก็มีจำกัดอย่างมากแต่ธัญพืชของฤดูกาลนี้ กลับเป็นชะตาชีวิตของชนเผ่าเป่ยหวนมากมายก่อนหน้านี้ก็เพราะเสบียงอาหารไม่เพียงพอ พวกเขาจึงไม่สามารถจัดตั้งกองทัพได้ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกดังกล่าว เจียเหยาไม่อยากเจออีกแล้วตอนนี้ ทางราชสำนักนอกจากองครักษ์จำนวนน้อยและคนรับใช้ ทุกคนล้วนถูกเจียเหยาสั่งไปใช้แรงงานก่อนหน้าวันนี้ เจียเหยาเองก็ลงแปลงนาใช้แรงงานเช่นกันต่อให้สามารถเก็บเกี่ยวธัญพืชได้เพิ่มเพียงหนึ่งถัง ก็ล้วนเป็นประ
ตอนนี้พวกเขาคิดล่าถอย แต่กองทหารศัตรูก็เต็มกำลังกลัวก็แต่พวกเขาล่าถอยแล้ว ทัพศัตรูยังไล่ตามและสู้อย่างดุเดือดหากเป็นเช่นนั้น พื้นที่การอพยพของพวกเขาก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ“ข้าเข้าใจ”เจียเหยายิ้มฝืนกล่าว “ตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องล่าถอยแล้ว! หลังจากพวกเราล่าถอย ต่อให้ทัพศัตรูคิดบุกมา แนวการรบจะถูกดึงให้ยาวขึ้นเช่นกัน พวกเขาส่งทหารมาหนึ่งครั้ง แม้ว่าจะเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดก็ตาม ไปมาหนึ่งรอบอย่างน้อยต้องใช้เวลาสี่ห้าสิบวัน แค่พวกเราทำให้เขาพลาดหนึ่งครั้ง ก็สามารถยื้อเวลาได้มากขึ้น”“มันก็จริง”ปู้ตูพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวว่า “แต่ว่า พวกเราถอยครั้งนี้ พวกเราก็ไม่มีพื้นที่มากมายไว้เลี้ยงสัตว์แล้ว ถึงเวลานั้น ปศุสัตว์จำนวนมากก็จะหิวตาย!”ไม่มีสถานที่เลี้ยงสัตว์มากพอ ปศุสัตว์ต้องหิวตายแน่นอนพวกเขาล้วนไม่มีอาหารกินแล้ว ยังคิดหวังใช้ธัญพืชเลี้ยงปศุสัตว์ได้หรือ?“ปศุสัตว์ของพวกเราไม่มีโอกาสได้หิวตาย!”เจียเหยากล่าวเรียบๆ “พวกเราต้องทนจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวใบไม้ร่วง จำเป็นต้องฆ่าปศุสัตว์จำนวนมาก!”หิวตาย?คิดมากไปแล้ว!ปศุสัตว์มากมาย จึงจะมีปศุสัตว์ที่หิวตาย!ปศุสัตว์ถูกคนกิ
ขอ...ขอสันติ?เมื่อได้ฟังคำของเจียเหยา กุ้ยโหยวและฟางหยุนซื่อตกตะลึงเห็นสีหน้าของทั้งสองคน เจียเหยาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าในใจพวกเขายังคิดว่าเป่ยหวนตอนนี้ยังเป็นเหมือนเป่ยหวนเมื่อก่อนหรือ?ยังจะคิดขอสันติ?ตอนนี้หากขอสันติสำเร็จจริง ต่อให้ต้องยกดินแดนและกลายเป็นข้าราชบริพารก็ตาม นางล้วนดีใจจนแทบบ้า!ถึงเช่นไรพวกเขาก็ต้องถอยแล้วถอยอีกสถานที่เหล่านั้น จะทำร้ายเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น!ขอแค่รักษาพื้นที่อยู่อาศัยของพวกเขาไว้อย่างเพียงพอ ให้พวกเขาได้พักหายใจก็พอ“องค์หญิง พวกเราต้องร้องขอสันติจริงหรือ?”กุ้ยโหยวไม่ยอม “พวกเราสามารถเรียกระดมทัพสองสามแสนคน...”“พอแล้ว! คำพูดเช่นนี้ เจ้าเชื่อหรือ?”เจียเหยาตัดบทฟางหยุนซื่ออย่างไร้เรี่ยวแรง “พวกเราสามารถระดมทัพสองสามแสนคนได้จริง แต่หากก่อนเข้าฤดูหนาวเอาชนะกองทหารมณฑลทางเหนือไม่ได้ โลกนี้ก็จะไร้ชื่อเป่ยหวนอีกต่อไป...”ระดมกองทัพสู้สุดชีวิต ใครบ้างทำไม่เป็น?ไม่มีเสบียงอาหาร ก็ต้องฆ่าปศุสัตว์ทิ้งให้เรียบเพื่อเติมเต็มเสบียงกองทัพ!ไม่มีเกราะ ใช้หนังวัวหุ้มสองชั้นสวมสักหน่อยก็ยังพอได้ไม่มีอาวุธที่เพียงพอล่ะ?ง่ายมาก!หลอมเครื่องมือกา
เจียเหยากล่าวเสียงเฉียบ “ขอแค่ต้าเฉียนยินดีพักรบ เป่ยหวนเรายกดินแดนเป็นข้าราชบริพานก็ได้ทั้งนั้น ไม่ถวายเครื่องราชบรรณาการได้ ก็พยายามไม่ถวายเครื่องราชบรรณาการ หากต้องส่งเครื่องราชบรรณาการจริง เป่ยหวนข้าจะส่งหนังแกะสามหมื่นพับและม้าศึกหนึ่งพันตัวเป็นเครื่องบรรณาการให้ต้าเฉียนทุกปี...”กุ้ยโหยวตัวสั่น จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรงยกดินแดน เป็นข้าราชบริพาน เครื่องราชบรรณาการ...เป่ยหวย เดินมาถึงขั้นนี้แล้วจริงหรือ?อารมณ์ของกุ้ยโหยวหนักหน่วงเป็นพิเศษผ่านไปชั่วครู่ กุ้ยโหยวถามอีกครั้ง “องค์หญิง หากข้อเสนอเหล่านี้ยังไม่อาจเติมเต็มความละโมบของต้าเฉียน จะทำเช่นไร?”“เพิ่มข้อเสนอแต่งงานเชื่อสัมพันธ์อีกข้อ!”เจียเหยากำหมัดแน่น กัดฟันกล่าว “หากเวลาจำเป็น บอกกับจักรพรรดิต้าเฉียน ข้าสามารถใช้ฐานะองค์หญิงเจี้ยนกั๋วแต่งเข้าราชวงศ์ต้าเฉียน กลายเป็น...นางสนมของเขา!”สิ้นเสียงเจียเหยา ฟางหยุนซื่อพลันเงยหน้าขึ้น มองเจียเหยาด้วยความตกใจจนตัวแข็ง……ชายแดนเว่ยหยุนเจิงพบกับอาสือน่าทูตที่เป่ยหมัวถัวส่งมาขอความช่วยเหลือแล้วอาสือน่าดูไปแล้วก็เหมือนชาวเป่ยหวน ทำเอาหยุนเจิงส่งสัยว่าคนผู้นี
เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง เกออาซูหนังตากระตุก“ข้าน้อยโง่เหล่า ไม่รู้จิ้งเป่ยอ๋องหมายถึงสิ่งใด?”อาสือน่าระมัดระวัง ถามด้วยความร้อนตัว“ยังไม่บอกความจริงใช่ไหม?”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “คนที่พวกเจ้าส่งไปเป่ยหวนเพื่อขอความช่วยเหลือ ถูกคนของข้าจับกลับมาแล้ว! เจ้าอยากพบพวกเขาหรือไม่?”เมื่อได้อาสือน่าได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีคนที่ส่งไปขอความช่วยเหลือจากเป่ยหวน ถูก...ถูกจับแล้ว?นั่นก็เท่ากับว่า เป่ยหวนทางนั้น พวกเขาก็ไม่มีความหวังแล้ว?แต่ว่า ได้ยินว่าจิ้งเป่ยอ๋องผู้นี้มากเล่ห์เจ้าแผนการเขาคงไม่หลอกเขากระมัง?อีกอย่าง ต้าเฉียนไม่มีกองทหารรักษาการณ์อยู่ทางนั้น เหตุใดจึงสามารถจับคนของพวกเขาได้?หยุนเจิงต้องกำลังหลอกเขา!ใช่ เป็นเช่นนี้แน่นอน!อาสือน่าแอบขบคิดในใจ จากนั้นก็รีบก้มโค้งตัว “ขอให้จิ้งเป่ยอ๋องพิจารณา พวกเราไม่มีทางส่งคนไปขอความช่วยเหลือที่เป่ยหวน อาจจะมีคนแอบอ้างเป็นคนของเรา...”“ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม?”หยุนเจิงกระแอมไอ จากนั้นก็ส่งสายตาให้หลู่ซิ่งหลู่ซิ่งความใจความหมาย เดินออกไปจากห้องทันทีไม่นาน หลู่ซิ่งก็พาคนที่ถูกมัดมือทั้งสอข้างเดินเข้
ขอแค่เตรียมตัวเล็กน้อย ก็สามารถส่งทหารได้ตลอดเวลารอจนตู๋กูเช่อออกไป เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงเอ่ยถาม “คนหนึ่งหมื่นน้อยไปหรือไม่?”“ไม่น้อยแล้ว”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “โฉวฉือส่งทหารทั้งหมดสองหมื่นไปตีเป่ยหมัวถัว อีกทั่งส่วนมากเป็นทหารราบ หลายคนไม่มีแม้กระทั่งเกราะ พวกเราส่งทหารม้าไปหนึ่งหมื่น นับว่าให้เกียรติพวกเราแล้ว...”โฉวฉือและเป่ยหมัวถัว ต่างเป็นสถานที่เล็กนิดเดียวกำลังทหารสองหมื่นสำหรับโฉวฉือ นับว่าเป็นทหารของแคว้นแล้วทหารม้าหนึ่งหมื่นไปกดดัน ขอแค่คนโฉวฉือไม่โง่ ก็ควรล่าถอยอย่างว่าง่ายตอนนี้พวกเขาคิดเพียงเรื่องจัดการเป่ยหวน ไม่มีเวลาไปสู้กับโฉวฉือจุดประสงค์ที่ส่งทหารหนึ่งหมื่นคนออกไป ก็แค่ขู่ให้โฉวฉือล่าถอยเท่านั้นขอแค่กองทัพของโฉวฉือยอมล่าถอย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปสู้กับโฉวฉือครั้งนี้ พวกเขามีบทบาทเป็นตัวกลางเท่านั้นสำหรับแคว้นเล็กอย่างโฉวฉือ ใช้กลยุทธ์อ่อนโยนเพื่อปราบพวกเขาให้ได้มากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตพวกเขา“ข้าไม่กังวลโฉวฉือด้านนั้น”เสิ่นลั่วเยี่ยนส่ายหน้าเบาๆ “ข้ากังวลว่าเป่ยหวนจะเข้ามาแทรกหลังได้รับข่าว ส่งทหารมาลอบจู่โจมคนที่พวกเราส่งไป”“ไม่เลว!”
หลังมอบหมายหลู่ซิงเสร็จแล้ว หยุนเจิงสั่งให้หลู่ซิ่งไปนักรบทูตสิบแปดมามองดูเงาหลังของหลู่ซิง หยุนเจิงแอบครุ่นคิดหลังจบเรื่องนี้ ควรมอบหลู่ซิ่งให้ฉินชีหู่ได้แล้วทว่า ชุดเกราะของม้าศึกกองทหารโลหิต เวลาเพียงเล็กน้อยคงยังทำไม่เสร็จการสร้างเกราะไม่ง่าย ช่างที่ทำชุดเกราะเป็นน้อยเกินไปแม้ว่าจะมีการจัดสรรกำลังคนอย่างเร่งด่วนก็ตาม แต่ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือใหม่นั้นมีมากโชคดีที่มีเหมืองแร่เหล็กอยู่ที่โม่หยาง ขอแค่การขยายโรงตีเหล็กที่นั้นสร้างเสร็จเรียบร้อย ก็สามารถจัดหาเหล็กได้มากขึ้นแต่ว่า ระยะห่างของเหมืองหินและเหมืองเหล็กห่างกันเกินไป!ทางนั้นไม่มีสะพานระยะการขนส่งและต้นทุน ตอนนี้ยังไม่ได้แก้ไข!ตอนนี้เขาไม่มีความคิดหรือกำลังคนมากนักในการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทำได้เพียงปล่อยไปก่อนขณะที่หยุนเจิงคิดเรื่อยเปื่อย คนทั้งหมดของนักรบทูตสิบแปดถูกพาเข้ามาแล้วอื้ม สิบแปดคน ไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียวทว่า เสื้อคลุมสีเขียวที่พวกเขาสวมอยู่ขาดรุ่งริ่งทั้งหมด ดูไปแล้วค่อนข้างจนตรอกยังมีอีกหลายคนดูแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บ“ตามข้ามา!”หยุนเจิงกวาดตามองทุกคน พาพวกเขากับเสิ่นลั่วเยี่ยนเดิ
นักรบภูตเก้ายิ้มร้าย “ชนเผ่าหลายแห่งยังมีเนื้อให้กินทุกวัน”ห๊า?เสิ่นลั่วเยี่ยนเบิกตาโต แทบนึกว่าตัวเองฟังผิดไปชนเผ่าหลายแห่งของเป่ยหวนยังสามารถมีเนื้อกินทุกวัน?ไม่นาน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เข้าใจแล้วมีเนื้อกินทุกวัน ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตที่ดีปศุสัตว์เหล่านั้น เป็นเสบียงอาหารของชนเผ่าเป่ยหวนเสบียงอาหารสุดท้ายกินหมดแล้ว ฤดูหนาวที่ยาวนานมาถึง เป่ยหวนก็ต้องมีคนหิวตายจำนวนมากตอนนี้ชนเผ่ามีเนื้อให้กินทุกวัน เมื่อฤดูหนาวมาถึง ก็จะเป็นชนเผ่าที่มีชีวิตยากลำบากที่สุด“จริงด้วย องค์ชาย ตอนที่พวกเรากลับมา เห็นชนเผ่าทางตะวันตกเริ่มอพยพอีกครั้ง ดูเหมือนกำลังเดินทางไปยังด้านหลังเขาอู๋เหลียน”เวลานี้ นักรบภูตเก้าได้เล่าสถานการณ์ที่สำคัญ“อพยพไปด้านหลัง?”หยุนเจิงประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเขากำลังพยายามลดแนวป้องกันลง!”เห็นได้ชัด เป่ยหวนหมดกำลังรักษากองทัพแล้วมีเพียงการลดแนวป้องกัน จึงสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกโจมตีเป่ยหวนเมื่อลดกำลังแล้วถอยไกลเกินไป พวกเขาคิดจะเดินทางโจมตีระยะไกล คนยังดีหน่อย แต่ม้าศึกไม่มีทางได้รับเสบียงจากทางเป่ยหวนหากโจมตีไปให้อาหารม้าไป ความเร็วในการโจมตีก็จะล่
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ