“ดีเลย!”เมี่ยวอินหัวเราะ “เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าขี่เมฆหลากสีมารับข้าแต่งงาน!”“คำไหนคำนั้น!”หยุนเจิงก้มหน้าจูบริมฝีปากเมี่ยวอินเบาๆ……กลับถึงติ้งเป่ย หยุนเจิงพาทุกคนไปตรวจสอบสถานการณ์การเจริญเติมโตของมันเทศเป็นอันดับแรกหลายวันที่จักรพรรดิเหวินเสด็จมา พวกเขาล่าช้าไปมากตอนนี้ ต้นกล้ามันเทศงอกขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อนแล้วต้นกล้ามันเทศจำนวนมากโตได้ครึ่งเมตรแล้วชาติก่อนหยุนเจิงไม่เคยปลูกมันเทศด้วยตัวเองมาก่อน เคยแต่ดูคนอื่นปลูกโดยรูปธรรมแล้วโตเท่าใดจึงสามารถปักชำได้ หยุนเจิงไม่แน่ใจเช่นกัน ถึงเช่นไรก็คิดว่าโตขนาดนี้แล้วน่าจะเหมาะสมกับการปักชำแล้วฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายังอยู่ที่ติ้งเป่ย เขาต้องรีบทำเรื่องนี้หยุนเจิงเรียกระดมทหารชาวนาหนึ่งพันคน หลังจากอธิบายวิธีตัดต้นกล้าแล้ว ทุกคนก็พากันทำงานพวกหยุนเจิงอยู่บนที่ดินขนาดหนึ่งหมู่ กำลังปักชำด้วยตัวเองเวลานี้ ทุกคนสามารถร่วมเพาะปลูกร่วมกัน เป็นความสุขชนิดหนึ่ง “เจ้าสิ่งนี้ต้องปลูกห่างกันเท่าใด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนถามหยุนเจิงอย่างไม่เข้าใจ “คือว่า...”หยุนเจิงครุ่นคิด ตอบกลับ “ถึงเช่นไรพื้นที่มีร่องเพียงเท่านี้ พวกเราทุกคนปลู
“ข้ากำลังจะบอกเจ้าเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงยิ้มมองจางซู “กองทหารแนวหน้าจะเป็นต้องหมุนเวียน ข้าสามารถอยู่ที่ซั่วเป่ยได้สองสามวันชั่วคราว เจ้าเตรียมตัวลำบากได้เลย ข้าดูก่อนว่าสามารถทำของที่สามารถขายได้กำไรออกมาได้หรือไม่!”ลำบาก? เมื่อได้ฟังหยุนเจิงบอกว่าต้องลำบาก จางซูเหมือนลูกโป่งลมรั่วทันทีเขากลัวต้องลำบาก!เมื่อก่อนไม่มีการค้าให้ทำมากนัก เขาอยู่ที่โรงฝีมือทดลองสิ่งของที่หยุนเจิงกล่าวถึงกันคนเหล่านั้น ทดลองทำเศษทองแดงและเหล็กไร้ประโยชน์ออกมามากมาย น้ำหนักตัวลดลงไปหลายชั่งได้พักผ่อนไม่กี่วัน ก็ต้องเริ่มลำบากอีกแล้ว?เห็นท่าทางยิ้มฝืนของจางซู เยี่ยจื่อหลุดหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่“ดูท่าทางเจ้าสิ!”หยุนเจิงยิ้มจ้องจางซู “ไม่ใช่เจ้ากับข้าลำบากด้วยกันหรือ? ถ้าไม่ใช่เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ หมุนเวียนพักผ่อน เจ้าคิดจะลำบากพร้อมข้าล้วนไม่มีโอกาส!”จางซูกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืน “พูดราวกับท่านเป็นสาวงาม...”“ข้า...”หยุนเจิงหน้าดำอึมครึม“หึหึ...ล้อเล่น”จางซูหัวเราะแห้ง กล่าวอย่างไร้กังวล “ลำบากก็ลำบากเถอะ ขอแค่ทำงานได้ก็พอ! ข้าก็แค่ถูกกระบอกปืนไฟในโรงฝีมือทำให้กลัวแล้ว...”
จางซูพยักหน้า ถามด้วยความประหลาดใจ “องค์ชาย ท่านคิดทำสิ่งใดเพื่อหาเงิน? หลังทำออกมาแล้ว ทำเงินได้มากกว่าสุราของพวกเราหรือไม่?” “น่าจะได้พอๆ กับสุรา!” หยุนเจิงกล่าว “ถึงเช่นไรมีของสองชิ้น มีหนึ่งชิ้น ข้ารับประกันว่าทำออกมาได้ แต่อีกชิ้น น่าจะทำออกมาได้ยาก ข้าสามารถสอนเจ้าได้ ต่อไปเจ้าค่อยๆ ทำ! ขอแค่ทำออกมาได้ เกรงว่าจะทำเงินได้มากกว่าเหล้าอีก...”“จริงหรือ?”จางซูดวงตาเป็นประกายทันที“จริงแท้แน่นอน!”หยุนเจิงหัวเราะหึๆ “เจ้าก็รอนับเงินได้เลย!”เกลือละเอียด ทำง่ายกระจก ทำยาก!หากอุณหภูมิไม่ถึง เช่นนั้นก็เลิกพูดไปได้เลยแต่ว่า กระจกเป็นสิ่งที่ค่อยๆ ทำได้!เกลือละเอียดสามารถทำได้แน่นอนส่วนเรื่องการกำหนดราคา แล้วแต่จางซู!ถึงเช่นไรของในมือจางซู ไม่มีทางราคาถูก“ได้ ได้!”มีคำพูดนี้ของหยุนเจิง จางซูยินดีมีความสุข เขาตั้งปณิธานว่าจะเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของต้าเฉียน!ต้องรีบหาเงินจึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง!“จริงด้วย พวกเราทำของออกมาขาย ต้องซื้อของบางอย่างกลับมาด้วย!” หยุนเจิงกำชับ “ยาสมุนไพรที่พวกเราขาดแคลนตอนนี้ กลับไปข้าจะสั่งคนให้เตรียมสำเนาให้เจ้า! ต่อไปพวกเรายังต้
รายงานด่วนจากชายแดนเว่ย?หยุนเจิงขมวดคิ้ว หรือว่าเป่ยหวนลอบโจมตีชายแดนเว่ยแล้ว?เป่ยหวนตอนนี้กล้าบุกโจมตีระยะไกล?หยุนเจิงรับจดหมายจากหลู่ซิงมาอย่างรวดเร็วเมื่อได้อ่าน หัวคิ้วของหยุนเจิงผ่อนคลายทันที ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาหลายส่วนนี่เป็นรายงานที่ตู๋กูเช่อส่งมาจากชายแดนเว่ยโฉวฉือโจมตีเป่ยหมัวถัว หัวหน้าเป่ยหมัวถัวส่งทูตมาขอความช่วยเหลือจากต้าเฉียนขอแค่ต้าเฉียนส่งทหารไปสนับสนุน เป่ยหมัวถัวยินดีเป็นข้าทาสต้าเฉียน กลายเป็นข้าราชบริพารของต้าเฉียนปัจจุบัน ทูตของเป่ยหมัวถัวมาถึงชายแดนเว่ยแล้วตู๋กูเช่อขอคำแนะนำจากหยุนเจิง จำเป็นต้องส่งทหารไปสนับสนุนหรือไม่“เอาล่ะ เจ้าไปทำงาน! ข้ามีเรื่องต้องไปทำเช่นกัน”หยุนเจิงเก็บจดหมาย หันหน้ามองจางซู“ก็ได้!”จางซูพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “องค์ชายรอนับเงินเถอะ!”“ดี!”หยุนเจิงพยักหน้ายิ้ม พาหลู่ซิ่งออกจากโรงฝีมือไประหว่างทางกลับ หยุนเจิงนำจดหมายฉบับนั้นส่งให้หลู่ซิงอ่านรอให้หลู่ซิงอ่านจบ จึงได้ถามว่า “เจ้ามีความเห็นเช่นไร?”หลู่ซิงครุ่นคิดเงียบๆ จากนั้นก็ถามกลับ “เป่ยหมัวถัวอยู่ห่างจากพวกเราค่อนข้างไกล ต่อให้พวกเราส่งทหา
“อูฐผอมแห้งใหญ่กว่าม้า เป่ยหวนแม้จะอาการร่อแร่ แต่ไม่ใช่ไม่มีกำลังโต้กลับ”หยุนเจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ทันทีที่เป่ยหมัวถัวลงมือกับเป่ยหวน แคว้นเล็กๆ เหล่านั้นไม่ได้ผสมโรงตีเป่ยหวนด้วย แต่เกรงว่าก็ต้องมีความคิดเช่นนี้ไม่มากก็น้อย! ตราบใดที่เป่ยหวนประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หรือประสบปัญหา พวกเขาก็จะผสมโรงตามด้วย...”เรื่องนี้ไม่สำคัญว่าแคว้นเหล่านั้นผสมโรงกับเป่ยหมัวถัวตีเป่ยหวนหรือไม่แต่สำคัญว่าต้องปลุกปั่นความคิดของแคว้นเล็กเหล่านี้ ให้พวกเขาคว้าโอกาสกัดเป่ยหวนสักทีเป่ยหมัวถัวตีเป่ยหวน แย่งปศุสัตว์ของเป่ยหวน ฆ่าชาวเป่ยหวน หากเป่ยหวนไม่สนใจ ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาที่ว่าเป่ยหวนจะกล่ำกลืนลงไปได้หรือไม่ ขอแค่เป่ยหวนกล้าไม่สนใจ แคว้นเล็กอื่นๆ ก็จะรีบดำเนินการตามเหมาะสมทันทีที่เป่ยหวนต้องโจมตีเป่ยหมัวถัว โอกาสของพวกเขาก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?เป่ยหมัวถัวก็คือเหยื่อล่อที่พวกเขาโยนไปให้เป่ยหวนไม่สนว่าเป่ยหวนจะสนใจเป่ยหมัวถัวหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้วล้วนแต่ได้ประโยชน์!เพื่อได้ฟังคำอธิบายของหยุนเจิง หลู่ซิงก็เข้าใจแล้วด้านใน นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องวกไปวนมาเช่นนี้ด้วย?“องค์ชายเป็นค
ตอนกลางคืน หยุนเจิงบอกกับทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไปชายแดนเว่ยหยุนเจิงและเยี่ยจื่อบ่าวสาวข้าวใหม่ปลามัน เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคนแยกจากกันไม่ได้เดิมทีหยุนเจิงวางแผนที่จะรอให้การเปลี่ยนแปลงแนวป้องกันของหน่วยงานต่างๆ เสร็จสิ้นก่อนจะเข้าสู่แนวหน้า แต่มีเรื่องตรงหน้า เขาไม่อาจหมกมุ่นกับความอบอุ่นได้อีกต่อไปเยี่ยจื่อแม้จะตัดใจจากหยุนเจิงไม่ลง ทว่าก็ตัดสินใจสนับสนุนส่งเสริมหยุนเจิงในทุกเรื่องหลังอาหารค่ำ หยุนเจิงพาผู้หญิงทั้งสามคนของเขานั่งสนทนาเรื่อยเปื่อยในเรือนเยี่ยจื่อต้องการช่วยหยุนเจิงควบคุมดูแลเรื่องด้านหลัง ไม่อาจตามไปสนามรบแนวหน้าได้ ทำได้เพียงกำชับให้ทั้งสามคนต้องระวังให้มาก กำชับเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินปกป้องหยุนเจิงให้ดีถึงแม้ นางรู้อยู่แล้วว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินจะปกป้องหยุนเจิงสุดชีวิต ทว่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะกำชับเสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้ารับประกัน “พี่สะใภ้ ท่านวางใจเถอะ พวกเราต้อง...” “ยังเรียกพี่สะใภ้อีก!”เยี่ยจื่อจ้องเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยความโกรธและเขินอาย “เจ้าควรเรียกข้าว่าน้องสาว...”แม้ว่า การเรียกนี้ค่อนข้างขัดหูแต่เสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นพระชายาเอก นางเป็น
มองดูท่าทางเขินอายของเยี่ยจื่อ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังคืนนี้ ไม่มีใครมารบกวนหยุนเจิงและเยี่ยจื่อเยี่ยจือไม่รู้ว่าการไปครั้งนี้ของหยุนเจิงจะใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะกลับติ้งเป่ย เธอไม่สนใจความเขินอายของสตรีในเรือน มอบความร้อนแรงทั้งหมดให้กับหยุนเจิงอีกทั้ง พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ใยจะต้องเขินอายอีกเล่า?ตอนนี้ ทั้งสองตกหลุมรักกันหลายต่อหลายครั้งหยุนเจิงเหมือนคนอึดตายยาก พัวพันกับเยี่ยจื่อครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งหมดเรี่ยวแรง ทั้งสองคนก็ยังโอบกอดกันและกันแนบแน่น……เช้าวันที่สอง พวกหยุนเจิงออกเดินทางหยุนเจิงไม่ยอมให้ทุกคนส่ง พาคณะเดินทางออกจากติ้งเป่ยโดยตรงระหว่างทาง หยุนเจิงปรึกษาเรื่องต่อไปกับต่งกังและหลู่ซิ่งต่อพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนรับผิดชอบยืนฟังอยู่ด้านข้าง ไม่พูดสอดแทรกเจียเหยาประกาศตนเป็นองค์หญิงเจี้ยนกั๋ว ไม่ใช่เรื่องดีรอจนทุกหน่วยปรับเปลี่ยนแนวป้องกันเสร็จสิ้น หยุนเจิงกำลังจัดเตรียมกองทัพใหม่หลังศึกดุเดือดคราวก่อน นอกจากทหารชาวนาและผู้บาดเจ็บแล้ว กองทหารมณฑลทางเหนือยังมีคนเกือบหนึ่งแสนหกหมื่นคนประชากรซั่วเป่ยไม่เพียงพอ ทหารที่พวก
ราชสำนักเป่ยหวนเจียเหยาหัวใจหนักอึ้งเดินออกจากกระโจมมาถึงด้านนอก มองออกไปที่ไกลๆ ก็จะสามารถเห็นคนกำลังใช้แรงงานอยู่บนที่ดินบริเวณโดยรอบราชสำนักหลายปีมานี้ ชนเผ่ามากมายด้านหลังเป่ยหวนล้วนได้เปลี่ยนจากการอาศัยอยู่ริมน้ำมาเป็นการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่า ตอนที่แม่น้ำและทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ ทุกชนเผ่าจะส่งคนออกไปเลี้ยงสัตว์กินหญ้าก่อนฤดูหนาวจะมา คนเลี้ยงสัตว์ที่ส่งออกไปก็จะต้อนฝูงปศุสัตว์กลับมาส่วนคนที่เหลืออยู่ในชนเผ่า ต่างเรียนรู้การเพาะปลูกเนื่องจากเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำเกษตรในเป่ยหวนนั้นสั้นมาก ทุกปีสามารถปลูกธัญพืชได้เพียงฤดูกาลเดียวอีกทั้ง ประเภทของธัญพืชก็มีจำกัดอย่างมากแต่ธัญพืชของฤดูกาลนี้ กลับเป็นชะตาชีวิตของชนเผ่าเป่ยหวนมากมายก่อนหน้านี้ก็เพราะเสบียงอาหารไม่เพียงพอ พวกเขาจึงไม่สามารถจัดตั้งกองทัพได้ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกดังกล่าว เจียเหยาไม่อยากเจออีกแล้วตอนนี้ ทางราชสำนักนอกจากองครักษ์จำนวนน้อยและคนรับใช้ ทุกคนล้วนถูกเจียเหยาสั่งไปใช้แรงงานก่อนหน้าวันนี้ เจียเหยาเองก็ลงแปลงนาใช้แรงงานเช่นกันต่อให้สามารถเก็บเกี่ยวธัญพืชได้เพิ่มเพียงหนึ่งถัง ก็ล้วนเป็นประ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ