ในที่สุดจักรพรรดิเหวินก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว พระองค์ทรงเตะต่อยลูกชายสี่คนต่อหน้าขุนนางโดยไม่สนพระทัยพิธีรีตรองหรือเกียรติยศใดทั้งนั้นทั้งสี่คนตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แม้ความเจ็บท่วมท้นแต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมาขุนนางมองฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจักรพรรดิเหวินจะโกรธได้ถึงเพียงนี้แต่ว่าก็เข้าใจได้ไม่ยากลูกชายคนที่หกเดินทางไปเป่ยกวน กษัตริย์และขุนนางล้วนขึ้นเขา!องค์ชายทั้งสี่คนยอมทำทุกอย่างเพื่อทำลายองค์ชายหกหยุนเจิงก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมา พยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้นี่เป็นผลลัพธ์ที่แม้แต่เขาก็ไม่คาดคิดจะว่าไปก็ต้องขอบคุณคนที่สมรู้ร่วมคิดกับเป่ยหวนทำร้ายเขา!หากไม่มีเรื่องเฮงซวยนี่ จักรพรรดิเหวินจะโกรธจัดจนทุบตีลูกชายสี่คนต่อหน้าขุนนางเช่นนี้ได้อย่างไรไม่ไว้หน้าองค์ชายสี่คนเลยสักนิด!“ฝ่าบาทระงับโทสะด้วย!”เมื่อเห็นจักรพรรดิเหวินโกรธจนใกล้หมดลมหายใจแล้ว มู่ซุ่นรีบวิ่งเข้าไปพยุงจักรพรรดิเหวิน กล่าวเตือนด้วยสีหน้าเป็นกังวล ““ฝ่าบาทระงับโทสะ! รักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”บรรดาขุนนางได้สติกลับมาก็พากันคุกเข่าหยุนเจิงเอือมระอา ทำได้เพียงคุกเข่าตามจักร
จักรพรรดิเหวินเก็บสายพระเนตรกลับมา จากนั้นก็ทอดมองหยุนลี่ที่นั่งคุกเข่าใหม่อีกครั้ง พระองค์ตวาดลั่น “ข้าถามเจ้า เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าเงินบำนาญของทหารพิการและเสียชีวิตในสงครามที่ซั่วเป่ยถูกยักยอก เหตุใดไม่รายงาน?”“ว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิเหวิน เซียวว่านโฉวพลันลุกมา ดวงตาทั้งสองวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ “ที่ฝ่าบาททรงตรัสมาทั้งหมด เป็นเรื่องจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“เรื่องนี้ค่อยว่ากันภายหลัง!”จักรพรรดิส่งสัญญาณให้เซียวว่านโฉวกลับไปที่ของตน จากนั้นทรงจ้องหยุนลี่ด้วยความเย็นชา “การประชุมขุนนางในวันนี้ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้งก็เพื่อรอเจ้ารายงานเรื่องนี้ เหตุใดเจ้าไม่รายงาน?”ที่แท้เป็นเรื่องนี้เอง!หยุนลี่ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ลูกรู้ว่าหากรายงานเรื่องนี้ เสร็จพ่อต้องทรงกริ้วมาก ลูกคิดว่ารอให้เรื่องขอเสบียงของเป่ยหวนผ่านไปก่อนค่อยรายงานเสด็จพ่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เป่ยหวนได้เห็นเรื่องน่าขบขันนี้”“ฝ่าบาท กระหม่อมทราบเรื่องนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”สวีสือฝู่ลนลานลุกขึ้นมาโค้งคำนับ “เมื่อวานตอนที่องค์ชายสามทราบเรื่องนี้ก็มาหากระหม่อม เป็นกระหม่อมที่แ
สิ้นเสียงหยุนเจิง ใบหน้าทุกคนกระตุกอย่างแรง หยุนลี่แทบจะลุกขึ้นมาอ้าปากก่นด่า“ฮ่าๆๆ”รอจนกระทั่งได้สติกลับมา ทุกคนอดไม่ได้หัวเราะลั่นออกมานึกไม่ถึงว่าองค์ชายหกจะซุกซนอย่างนี้!เตะจุดสำคัญของหยุนลี่ครั้งเดียวไม่พอ ยังอยากมีครั้งที่สอง?อีกทั้งยังขออนุญาตจากจักรพรรดิเหวินด้วย?นี่กำลังล้อเล่นอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร?เมื่อได้ยินทุกคนหัวเราะ หยุนเจิงกลับกล่าวสิ่งใดไม่ออกเขาเข้าใจดีว่าจักรพรรดิเหวินทรงคิดจะแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเขาและหยุนลี่จึงรับสั่งให้ตบหยุนลี่สักสองครั้ง ความหมายแฝงก็คือ ความแค้นของพวกเขา ให้สิ้นสุดเพียงเท่านี้!หากตบหน้าหยุนลี่สักสองครั้งจริง เกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนี้แล้ว“แค่กๆๆ”จักรพรรดิเหวินขบขันกับคำพูดของหยุนเจิง หลังจากทรงกระแอมเพื่อแก้เขินแล้ว พระองค์ส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ พี่สามเจ้าคงทนความทรมานจากเจ้าไม่ไหวหรอก”หลังจากทรงครุ่นคิดชั่วครู่ จักรพรรดิเหวินตรัสขึ้น “เอาอย่างนี้ ตอนเจ้าแต่งงาน ก็ให้พี่สามเจ้าเตรียมของขวัญให้เจ้า! หากของขวัญไม่สมบูรณ์มากพอ ข้าจะตบหน้าเขาสองครั้งแทนเจ้าเอง!”กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินถอนพระทัยยาวมองหยุนลี่หยุนลี่
จักรพรรดิเหวินเดาคำพูดช่วงหลังของหยุนเจิงออกจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอพระทัยนัก “เจ้าเนี่ยนะ ขอสิ่งใดไม่มีสิ่งนั้น หากเจ้าก่อกบฏได้สำเร็จจริงๆ ล่ะก็ แม้นข้าจะกลับคืนสู่สวรรค์แล้ว ก็จะคลานออกมาจากหลุมมาร่วมยินดีกับเจ้า!”“…”หยุนเจิงหมดคำพูดเขาพูดขนาดนี้แล้ว ตนก็ต้องก่อกบฏให้สำเร็จก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจน่ะสิ?จะให้เขาคลานออกมาจากหลุมมาร่วมยินดีให้กับตนก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อย“เอาเถอะ จัดการเองก็แล้วกัน!”จักรพรรดิเหวินจ้องเขาเขม็ง “ต่อหน้าขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งราชสำนักวันนี้ ข้าจะอนุญาตเจ้าเรื่องหนึ่ง! ต่อไปนอกจากข้าแล้ว หากผู้ใดกล้ากล่าวหาว่าเจ้าคิดก่อกบฏอีก เจ้าทุบมันได้เลย! ใครที่ไม่พอใจให้มาหาข้า!”ให้ตายยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?หยุนเจิงแม้ฝันยังไม่คิดว่าจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ เขาจึงเอ่ยขอบพระทัยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจให้ตายเถอะ!ต่อไปหากไม่ขอบขี้หน้าใคร ก็หาเรื่องให้เขากล่าวหาตนว่าคิดก่อบกฏจากนั้นค่อยทุบตีเขาให้สะใจ!นี่มันกระบี่อาญาสิทธิ์เชียวนะนั่น!หลังจากที่ได้ยินวาจาของจักรพรรดิเหวินแล้ว เหล่าขุนนางต่างก็หัวเราะขมขื่นอยู่ในใจต่อไปใครที่
ทันทีที่กลับถึงเรือน หยุนเจิงก็ได้รับข่าวดีทันใดตู้กุยหยวนมาหาพร้อมกับสหายพี่น้องอีกสองคนจั่วเริ่นและอวี๋ซื่อจงทั้งสองคนล้วนแต่เคยเป็นคนของกองทหารโลหิต และเป็นสองในสิบกว่าคนในกองทหารโลหิตที่ยังถือว่าครบองค์ประกอบอยู่ได้ยินว่าตู้กุยหยวนจะเดินทางไปยังซั่วเป่ยอีกครั้ง ทั้งสองจึงตัดสินใจตามมาด้วยสำหรับการเข้าร่วมของทั้งสองนั้น หยุนเจิงยินดีมากอยู่แล้วมารดามันเถอะ นี่ล้วนแต่เป็นกองทัพเดิมของตนเลยนะ!“ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่ต่อเถอะ!”หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยถามว่า “ใช่สิ ฝีมือของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? หรือว่าพวกเจ้าสองคนลองประลองกับเกาเหอและโจวมี่ดู?”“ตามใจองค์ชาย”ทั้งสองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเกาเหอและโจวมี่สบตากันแวบหนึ่ง แล้วยิ้มขมขื่นในใจภายใต้คำขอของหยุนเจิง ทั้งสี่คนจึงเริ่มการประลองง่ายๆ ขึ้นผลคือ เกาเหอและโจวมี่แพ้ราบคาบ“เยี่ยมจริงๆ!”หยุนเจิงพลางปรบมือพลางเอ่ยยิ้มแย้มว่า “วันนี้ข้าทำให้ราชครูของเป่ยหวนไม่พอใจ อวี้กั๋วกงยังเตือนข้าให้ระวังเป่ยหวนจะส่งคนมาลอบสังหารข้า เอาเช่นนี้ ต่อไปหากข้าออกไปไหน พวกเจ้าสองคนก็ไปพร้อมข้าแล้วกัน!”“พ่ะย่ะค่ะ!”ทั้งสอง
ต่อจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเกาเหอแล้วเขากำลังบังคับให้เกาเหอเลือกระหว่างเขากับจักรพรรดิเหวิน!หยุนเจิงยิ้มฮี่ๆ แล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “ต่อหน้าพ่อบ้านเมื่อครู่นี้ เจ้าแสดงได้ไม่เลวเลยนะ”“องค์ชายเองก็ไม่แย่นะเพคะ!” เยี่ยจื่อหัวเราะคิกคักแท้จริงแล้ว พวกเขาเจรจาเรื่องนี้กันตั้งนานแล้วขายของขวัญให้หมด เพื่อป้องกันการถูกสงสัยให้เยี่ยจื่อใช้เหตุผลที่เข้าใจความหมายของหยุนเจิงผิดมาเป็นฉากบังหน้าขายของขวัญให้หมด เช่นนี้จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติยิ่งกว่าถึงแม้ผู้อื่นจะสงสัยว่าเยี่ยจื่อจงใจขายของให้หมด ก็จะคิดเพียงว่าเยี่ยจื่อจงใจรังแกหยุนเจิง เพื่อแก้แค้นความไม่ยุติธรรมให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยนหยุนเจิงยิ้มแย้ม แล้วเอ่ยทอดถอนใจว่า “หากเสด็จพ่อพระราชทานเจ้าให้สมรสกับข้าก็คงดี”เทียบกับเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เหี้ยมหาญและโอหังแล้ว เขาชอบภรรยาที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างเยี่ยจื่อมากกว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว ใบหน้าของเยี่ยจื่อพลันแดงก่ำ แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “องค์ชายอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าเป็นหญิงหม้ายครองตัวโสดมาหลายปี หากคำพูดของท่านแพร่ออกไป ข้าก็ไม่ต้องเป็นคนแล้ว”“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ”หยุนเ
หลังสำรับเที่ยง เกาเหอใช้โอกาสที่พ่อบ้านออกไปทำธุระดึงตัวหยุนเจิงมาข้างๆ“องค์ชาย ประเดี๋ยวท่านบอกกับผู้อื่นว่าท่านซื้อร้านตีเหล็กนั่นมาเพื่อมอบให้กับผู้บัญชาการตู้นะพ่ะย่ะค่ะ”เกาเหอกวาดมองรอบๆ ทั่วสารทิศ แล้วเอ่ยจริงจังต่อหยุนเจิง“ทำไมล่ะ?”หยุนเจิงแสร้งทำเป็นไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ “แต่นั่นข้าซื้อมาใช้เองนะ”“องค์ชาย!”เกาเหอเป็นกังวล “ท่านซื้อร้านตีเหล็กเอง แต่กลับซื้อในนามของผู้บัญชาการตู้ หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูฝ่าบาทล่ะก็ ฝ่าบาทต้องทรงคิดว่าท่านมีใจคิดก่อกบฏเป็นแน่!”“เป็นไปไม่ได้”หยุนเจิงส่ายศีรษะหัวเราะ “เสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อคำพูดเช่นนี้แน่ ข้าจะคิดก่อกบฏได้อย่างไรกัน!”“องค์ชาย! หัวใจกษัตริย์คาดเดายาก!” เกาเหอพูดกล่อมสุดชีวิต“นั้นหรือ?”หยุนเจิงยกมุมปากขึ้น ในที่สุดก็เอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนของเสด็จพ่อที่มาสอดส่องข้าใช่ไหม?”เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง เปลือกตาของเกาเหอพลันกระตุกขึ้นมาหลังจากรวบรวมสติได้ เกาเหอถึงรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ“ไม่เพียงแต่เจ้า รวมถึงพ่อบ้านด้วยใช่ไหมล่ะ?”รอยยิ้มบนใบหน้าของหยุนเจิงดูเบ่งบานกว่าปกติ “แท้จริงแล้ว เรื่องคดียักยอกเงินบำนาญนั่น ข้าไ
“…”หยุนเจิงหมดคำจะพูดพลางมองจางฮว๋ายด้วยสีหน้ายิ้มและร้องไห้ในเวลาเดียวกันตาเฒ่านี่เป็นตาเฒ่ามีความรู้จริงๆ ด้วย!เพียงแค่เรื่องนี้ถึงกับอาหารไม่ย่อยเชียวหรือ?“เอาอย่างไร เราไปคุยกันที่ห้องหนังสือกันดีกว่า!”หยุนเจิงยิ้มแย้ม “รอให้เราคิดเลขเสร็จ ก็ถึงเวลากินข้าวแล้ว”“ไวเพียงนั้นเชียว?”จางฮว๋ายตะลึงงัน“ไม่ยากอยู่แล้ว”หยุนเจิงยิ้มๆ“ดีๆ เช่นนั้นเรารีบไปที่ห้องหนังสือกันดีกว่า!”จางฮว๋ายดีใจขีดสุด รีบลากตัวหยุนเจิงไปที่ห้องหนังสือทันทีเสมือนกลัวว่าหยุนเจิงจะหนีอย่างไรอย่างนั้นหยุนเจิงเห็นดังนั้น จึงแอบหัวเราะอยู่ในใจหากตาเฒ่าผู้นี้อยู่ในยุคปัจจุบันล่ะก็ คงเป็นศาสตราจารย์ที่หมกมุ่นอยู่กับความรู้วิชาการอย่างเดียวเป็นแน่ตาเฒ่าคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ความรู้ก็มีถมเถ เพียงแต่เป็นคนอวดรู้ไปหน่อยเขาเองก็เป็นหนึ่งในฝ่ายสันติด้วยเช่นกันเมื่อมาถึงห้องหนังสือ หยุนเจิงก็เริ่มสอนจางฮว๋ายคิดเลขทันทีหลักๆ แล้วสิ่งที่ค่อนข้างยาก ก็มีเพียงตารางสูตรคูณกับตัวทดเท่านั้นโชคดีที่ตาเฒ่าคนนี้ถึงแม้จะเป็นคนอวดรู้ แต่ก็มีวิธีการศึกษาหาความรู้ เขาใช้เวลาไปเพียงสามสิบนาที ก็เข้าใจประ
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา