จักรพรรดิเหวินเดาคำพูดช่วงหลังของหยุนเจิงออกจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอพระทัยนัก “เจ้าเนี่ยนะ ขอสิ่งใดไม่มีสิ่งนั้น หากเจ้าก่อกบฏได้สำเร็จจริงๆ ล่ะก็ แม้นข้าจะกลับคืนสู่สวรรค์แล้ว ก็จะคลานออกมาจากหลุมมาร่วมยินดีกับเจ้า!”“…”หยุนเจิงหมดคำพูดเขาพูดขนาดนี้แล้ว ตนก็ต้องก่อกบฏให้สำเร็จก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจน่ะสิ?จะให้เขาคลานออกมาจากหลุมมาร่วมยินดีให้กับตนก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อย“เอาเถอะ จัดการเองก็แล้วกัน!”จักรพรรดิเหวินจ้องเขาเขม็ง “ต่อหน้าขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งราชสำนักวันนี้ ข้าจะอนุญาตเจ้าเรื่องหนึ่ง! ต่อไปนอกจากข้าแล้ว หากผู้ใดกล้ากล่าวหาว่าเจ้าคิดก่อกบฏอีก เจ้าทุบมันได้เลย! ใครที่ไม่พอใจให้มาหาข้า!”ให้ตายยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?หยุนเจิงแม้ฝันยังไม่คิดว่าจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ เขาจึงเอ่ยขอบพระทัยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจให้ตายเถอะ!ต่อไปหากไม่ขอบขี้หน้าใคร ก็หาเรื่องให้เขากล่าวหาตนว่าคิดก่อบกฏจากนั้นค่อยทุบตีเขาให้สะใจ!นี่มันกระบี่อาญาสิทธิ์เชียวนะนั่น!หลังจากที่ได้ยินวาจาของจักรพรรดิเหวินแล้ว เหล่าขุนนางต่างก็หัวเราะขมขื่นอยู่ในใจต่อไปใครที่
ทันทีที่กลับถึงเรือน หยุนเจิงก็ได้รับข่าวดีทันใดตู้กุยหยวนมาหาพร้อมกับสหายพี่น้องอีกสองคนจั่วเริ่นและอวี๋ซื่อจงทั้งสองคนล้วนแต่เคยเป็นคนของกองทหารโลหิต และเป็นสองในสิบกว่าคนในกองทหารโลหิตที่ยังถือว่าครบองค์ประกอบอยู่ได้ยินว่าตู้กุยหยวนจะเดินทางไปยังซั่วเป่ยอีกครั้ง ทั้งสองจึงตัดสินใจตามมาด้วยสำหรับการเข้าร่วมของทั้งสองนั้น หยุนเจิงยินดีมากอยู่แล้วมารดามันเถอะ นี่ล้วนแต่เป็นกองทัพเดิมของตนเลยนะ!“ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่ต่อเถอะ!”หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยถามว่า “ใช่สิ ฝีมือของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? หรือว่าพวกเจ้าสองคนลองประลองกับเกาเหอและโจวมี่ดู?”“ตามใจองค์ชาย”ทั้งสองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเกาเหอและโจวมี่สบตากันแวบหนึ่ง แล้วยิ้มขมขื่นในใจภายใต้คำขอของหยุนเจิง ทั้งสี่คนจึงเริ่มการประลองง่ายๆ ขึ้นผลคือ เกาเหอและโจวมี่แพ้ราบคาบ“เยี่ยมจริงๆ!”หยุนเจิงพลางปรบมือพลางเอ่ยยิ้มแย้มว่า “วันนี้ข้าทำให้ราชครูของเป่ยหวนไม่พอใจ อวี้กั๋วกงยังเตือนข้าให้ระวังเป่ยหวนจะส่งคนมาลอบสังหารข้า เอาเช่นนี้ ต่อไปหากข้าออกไปไหน พวกเจ้าสองคนก็ไปพร้อมข้าแล้วกัน!”“พ่ะย่ะค่ะ!”ทั้งสอง
ต่อจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเกาเหอแล้วเขากำลังบังคับให้เกาเหอเลือกระหว่างเขากับจักรพรรดิเหวิน!หยุนเจิงยิ้มฮี่ๆ แล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “ต่อหน้าพ่อบ้านเมื่อครู่นี้ เจ้าแสดงได้ไม่เลวเลยนะ”“องค์ชายเองก็ไม่แย่นะเพคะ!” เยี่ยจื่อหัวเราะคิกคักแท้จริงแล้ว พวกเขาเจรจาเรื่องนี้กันตั้งนานแล้วขายของขวัญให้หมด เพื่อป้องกันการถูกสงสัยให้เยี่ยจื่อใช้เหตุผลที่เข้าใจความหมายของหยุนเจิงผิดมาเป็นฉากบังหน้าขายของขวัญให้หมด เช่นนี้จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติยิ่งกว่าถึงแม้ผู้อื่นจะสงสัยว่าเยี่ยจื่อจงใจขายของให้หมด ก็จะคิดเพียงว่าเยี่ยจื่อจงใจรังแกหยุนเจิง เพื่อแก้แค้นความไม่ยุติธรรมให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยนหยุนเจิงยิ้มแย้ม แล้วเอ่ยทอดถอนใจว่า “หากเสด็จพ่อพระราชทานเจ้าให้สมรสกับข้าก็คงดี”เทียบกับเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เหี้ยมหาญและโอหังแล้ว เขาชอบภรรยาที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างเยี่ยจื่อมากกว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว ใบหน้าของเยี่ยจื่อพลันแดงก่ำ แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “องค์ชายอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าเป็นหญิงหม้ายครองตัวโสดมาหลายปี หากคำพูดของท่านแพร่ออกไป ข้าก็ไม่ต้องเป็นคนแล้ว”“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ”หยุนเ
หลังสำรับเที่ยง เกาเหอใช้โอกาสที่พ่อบ้านออกไปทำธุระดึงตัวหยุนเจิงมาข้างๆ“องค์ชาย ประเดี๋ยวท่านบอกกับผู้อื่นว่าท่านซื้อร้านตีเหล็กนั่นมาเพื่อมอบให้กับผู้บัญชาการตู้นะพ่ะย่ะค่ะ”เกาเหอกวาดมองรอบๆ ทั่วสารทิศ แล้วเอ่ยจริงจังต่อหยุนเจิง“ทำไมล่ะ?”หยุนเจิงแสร้งทำเป็นไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ “แต่นั่นข้าซื้อมาใช้เองนะ”“องค์ชาย!”เกาเหอเป็นกังวล “ท่านซื้อร้านตีเหล็กเอง แต่กลับซื้อในนามของผู้บัญชาการตู้ หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูฝ่าบาทล่ะก็ ฝ่าบาทต้องทรงคิดว่าท่านมีใจคิดก่อกบฏเป็นแน่!”“เป็นไปไม่ได้”หยุนเจิงส่ายศีรษะหัวเราะ “เสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อคำพูดเช่นนี้แน่ ข้าจะคิดก่อกบฏได้อย่างไรกัน!”“องค์ชาย! หัวใจกษัตริย์คาดเดายาก!” เกาเหอพูดกล่อมสุดชีวิต“นั้นหรือ?”หยุนเจิงยกมุมปากขึ้น ในที่สุดก็เอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนของเสด็จพ่อที่มาสอดส่องข้าใช่ไหม?”เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง เปลือกตาของเกาเหอพลันกระตุกขึ้นมาหลังจากรวบรวมสติได้ เกาเหอถึงรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ“ไม่เพียงแต่เจ้า รวมถึงพ่อบ้านด้วยใช่ไหมล่ะ?”รอยยิ้มบนใบหน้าของหยุนเจิงดูเบ่งบานกว่าปกติ “แท้จริงแล้ว เรื่องคดียักยอกเงินบำนาญนั่น ข้าไ
“…”หยุนเจิงหมดคำจะพูดพลางมองจางฮว๋ายด้วยสีหน้ายิ้มและร้องไห้ในเวลาเดียวกันตาเฒ่านี่เป็นตาเฒ่ามีความรู้จริงๆ ด้วย!เพียงแค่เรื่องนี้ถึงกับอาหารไม่ย่อยเชียวหรือ?“เอาอย่างไร เราไปคุยกันที่ห้องหนังสือกันดีกว่า!”หยุนเจิงยิ้มแย้ม “รอให้เราคิดเลขเสร็จ ก็ถึงเวลากินข้าวแล้ว”“ไวเพียงนั้นเชียว?”จางฮว๋ายตะลึงงัน“ไม่ยากอยู่แล้ว”หยุนเจิงยิ้มๆ“ดีๆ เช่นนั้นเรารีบไปที่ห้องหนังสือกันดีกว่า!”จางฮว๋ายดีใจขีดสุด รีบลากตัวหยุนเจิงไปที่ห้องหนังสือทันทีเสมือนกลัวว่าหยุนเจิงจะหนีอย่างไรอย่างนั้นหยุนเจิงเห็นดังนั้น จึงแอบหัวเราะอยู่ในใจหากตาเฒ่าผู้นี้อยู่ในยุคปัจจุบันล่ะก็ คงเป็นศาสตราจารย์ที่หมกมุ่นอยู่กับความรู้วิชาการอย่างเดียวเป็นแน่ตาเฒ่าคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ความรู้ก็มีถมเถ เพียงแต่เป็นคนอวดรู้ไปหน่อยเขาเองก็เป็นหนึ่งในฝ่ายสันติด้วยเช่นกันเมื่อมาถึงห้องหนังสือ หยุนเจิงก็เริ่มสอนจางฮว๋ายคิดเลขทันทีหลักๆ แล้วสิ่งที่ค่อนข้างยาก ก็มีเพียงตารางสูตรคูณกับตัวทดเท่านั้นโชคดีที่ตาเฒ่าคนนี้ถึงแม้จะเป็นคนอวดรู้ แต่ก็มีวิธีการศึกษาหาความรู้ เขาใช้เวลาไปเพียงสามสิบนาที ก็เข้าใจประ
เสิ่นลั่วเยี่ยนมึนงงเรื่องบ้าอะไรกัน?ฝ่าบาททรงอนุญาตเองว่านอกจากฝ่าบาทแล้ว ใครที่กล่าวหาว่าเขาเป็นกบฏให้เขาทุบตีได้เลย?อะไรกัน?ไม่รอให้เสิ่นลั่วเยี่ยนได้สติ จางฮว๋ายก็หัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ส่วนเรื่องร้านตีเหล็ก องค์ชายเองก็ทูลฝ่าบาทในที่ว่าราชกิจวันนี้แล้ว พระชายาองค์ชายหกอย่าทำให้ตนเองกลัวเลย…”หา?เสิ่นลั่วเยี่ยนตะลึงแม้แต่เรื่องนี้ เขาก็บอกเสด็จพ่อเขาแล้วนั้นหรือ?เช่นนั้น ก็เป็นตนที่คิดมากไปจริงๆ น่ะสิ?“จางเก๋อเหล่า ท่านคงไม่ปดข้าหรอกกระมัง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองจางฮว๋ายอย่างสงสัย“นี่มันคำพูดอะไรกัน!”จางฮว๋ายราวกับถูกเหยียดหยาม “ข้าเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอด เคยพูดปดที่ไหนกัน? เรื่องนี้ผู้คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้เห็นกันหมด พระชายาองค์ชายหกส่งคนไปสืบดูก็รู้แล้ว”“ข้า…”อารมณ์ร้อนของเสิ่นลั่วเยี่ยนจางลง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อจางเก๋อเหล่า เพียงแต่ว่า…”“ช่างมันเถอะๆ!”หยุนเจิงโบกมือ “จางเก๋อเหล่า อย่าเพิ่งสนใจนางเลย ท่านคิดล่วงหน้าไปถึงยี่สิบวันแล้ว อย่าถูกนางรบกวนเลย เราไปคิดเลขต่อกันดีกว่า!”จางฮว๋ายได้สติพลันพยักหน้าหงึกๆ “จริงด้วย! อย่าขัดเวลาสำคัญของเราดีกว่า
แม้แต่เยี่ยจื่อที่รู้เรื่องอยู่บ้างแล้วได้ยินยังตะลึงงัน นับประสาอะไรกับเสิ่นลั่วเยี่ยนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแรกเริ่มยังมีเพียงเสิ่นลั่วเยี่ยนกับเยี่ยจื่อเท่านั้นที่ฟังอยู่ทว่าพอช่วงหลัง แม้แต่ตู้กุยหยวนคนเหล่านั้นยังวิ่งเข้ามาฟังด้วย เมื่อได้ยินว่าหยุนเจิงต่อกรกับราชครูแห่งแคว้นเป่ยหวนอย่างใจกล้า แล้วทำให้ต้าเฉียนชนะม้าศึกหมื่นตัวมาได้นั้น ฝูงชยต่างก็ปรบมือสะใจทั้งช่วงเวลาที่รับอาหารมีเพียงตาเฒ่าคนเดียวที่พูดอยู่หยุนเจิงอดถอนใจไม่ได้ ตาเฒ่าคนนี้ไม่ไปเป็นนักเล่าเรื่องเสียดายความสามารถแทนจริงๆหลังจากรับอาหารกันเสร็จ หยุนเจิงขอให้จางฮว๋ายอยู่ดื่มชารอ ส่วนเขาวิ่งไปที่ห้องหนังสือแล้วเขียนวิธีคิดเลขรวมถึงตารางสูตรคูณทั้งหมดมอบให้จางฮว๋ายวอนให้เขานำไปถวายแก่จักรพรรดิเหวินพรุ่งนี้เช่นนี้ เขาจะได้ไม่ต้องเข้าวังอีกขณะที่จางฮว๋ายเดินออกไปพร้อมกับหนังสือเลขของต้าเฉียนแล้ว ฝูงชนก็ยังตกอยู่ในภาวะตกตะลึงอยู่ไม่หาย“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องกินข้าวกันเลยใช่ไหม?”หยุนเจิงจ้องที่ตู้กุยหยวนและคนอื่นๆ “รีบไปกินข้าวของพวกเจ้าไป”เมื่อถูกหยุนเจิงเรียกดึงสติ ฝูงชนถึงได้รู้ตัวแล้วรีบวิ่งไปกิ
สำหรับหยุนเจิงแล้ว การไม่ไปร่วมว่าราชกิจด้วยคือเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งการนอนหลับจนตื่นขึ้นมาเองเป็นเรื่องที่ไม่เลวนักหลังรับอาหารเช้าเสร็จ หยุนเจิงก็รีบไปที่ร้านตีเหล็กทันทีตอนเที่ยงเขาไม่กลับไปกินข้าวที่จวน จึงขอให้คนซื้ออาหารแล้วกินร่วมกับคนอื่นในร้านตีเหล็ก จากนั้นค่อยชี้แนะทุกคนต่อไปเขาเคยดูรายการต่างประเทศที่ชื่อว่า “ศึกตีเหล็ก” และเป็นแฟนตัวยงของรายการ นอกจากนี้ เขายังศึกษาวิธีการตีเหล็กดามัสกัสเป็นเวลานานอีกด้วยอย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะรู้วิธี แต่การจะตีเหล็กดามัสกัสออกมาด้วยมือนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพียงแค่งานหลอมเหล็ก ก็เกินความสามารถมากแล้วพวกเขาตีแท่งเหล็กออกมา แล้วบิดเป็นลายหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จหยุนเจิงต้องวิเคราะห์สาเหตุและปรับปรุงวิธีการครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับร้านตีเหล็ก เกาเหอก็ขี่ม้ามาถึงเห็นท่าทีรีบร้อนของเกาเหอแล้ว หยุนเจิงก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น“องค์ชาย พระราชวังมีหมายส่งมา ฝ่าบาททรงเรียกองค์ชายให้เข้าวังโดยด่วน!”เกาเหอกระโดดลงจากหลังม้าแล้วพูดอย่างเร่งรีบแม่ง!มีเรื่องอะไรอีก?แถมยังเรียกตัวด่วนด้วย?คงไ
หยุนลี่พลันเข้าใจแจ่มแจ้ง มองจักรพรรดิเหวินด้วยความนับถือเต็มใบหน้าเสด็จพ่อช่างมีความคิดล้ำลึกยิ่งนัก!แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังทรงคำนึงถึง!“เสด็จพ่อทรงมีสายตากว้างไกล ลูกนับถือจนสุดหัวใจพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความจริงใจนี่หาใช่คำเยินยอไม่ แต่เป็นความนับถืออย่างแท้จริงเพียงเรื่องเดียว กลับมีจุดประสงค์มากมายถึงเพียงนี้“เจ้าสาม เจ้ายังอ่อนประสบการณ์เกินไป…”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้เจ้ายังต้องเรียนรู้จากเจ้าหกให้มาก! หากเจ้าหกมีเพียงกำลังทหารแข็งแกร่ง ข้าก็หาได้หวาดกลัวเขาไม่! แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตัวเจ้าหกลูกอกตัญญูผู้นี้คือสมองของเขา เขามักคิดการณ์ไกลอยู่เสมอ เขาอยู่ในจวนปี้ปัวมาสองสิบกว่าปี ข้าคิดว่าเขาคงใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้…”ในข้อนี้ หยุนลี่เองก็เห็นด้วยไม่มีใครรู้เท่ากับเขาว่าเจ้าหกมีความเจ้าเล่ห์เพียงใดไอ้สารเลวนี้ เมื่อก่อนในจวนปี้ปัวทำตัวขี้ขลาดแน่นอนว่าคงหมกมุ่นอยู่แต่การวางแผนเล่นงานผู้อื่น!ไม่เช่นนั้น ไอ้สารเลวนี้จะมีความเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้หรือ?“เสด็จพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความละอาย
"นี่..." หยุนลี่อ้าปากค้างไปชั่วขณะ แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เขารู้ดีว่าจักรพรรดิเหวินตรัสอย่างมีเหตุผล ตระกูลใหญ่และขุนนางไม่ได้สนใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ พวกเขาสนแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ตอนนี้หยุนเจิงมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง หากเขาก่อกบฏ เกรงว่าตระกูลใหญ่และขุนนางหลายคนจะเข้าข้างหยุนเจิง บางตระกูลที่มีความทะเยอทะยาน อาจถึงขั้นร่วมมือกันยกทัพก่อกบฏ แค่หยุนเจิงคนเดียวก็จัดการได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าหลังบ้านของเรายังมีปัญหาเพิ่มเติม ราชสำนักอาจไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้านเลยก็เป็นได้ หยุนลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันพูดว่า "ลูกจะเชื่อเสด็จพ่อ! เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ลูกจะทำทุกวิถีทางเพื่อลดอำนาจของพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง!" เอาเป็นว่าทำตามนี้! ถ้าไม่จัดการกับพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง เงินทองของตัวเองจะมาจากไหน? เพราะนั่นมันตั้งสี่แสนตำลึงเงินนะ! เงินที่ยึดมาได้จากพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง บางส่วนจะสามารถเข้ากระเป๋าของตัวเองได้ เพื่อชดเชยความเสียหาย ส่วนหนึ่งสามารถนำเข้าคลังหลวง เพื่อนำไปเตรียมการกองทัพและป้องกันหยุนเจิง! "ถูกต้องแล้ว!" จักรพรรดิเห
“เฮ้อ…” จักรพรรดิเหวินถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตบมือหยุนลี่เบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าไปคุยกับเจ้าหกมาเป็นอย่างไรบ้าง?" พอพูดถึงเรื่องนี้ ไฟโทสะที่หยุนลี่เพิ่งกดไว้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่โชคดีที่เขาเพิ่งพ่นเลือดไปสองครั้งและปลอบใจตัวเองมาพอสมควร เลยไม่ถึงกับพ่นเลือดออกมาอีก ถึงจะโกรธแค่ไหน แต่หยุนลี่ก็ยังเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับหยุนเจิงออกมา "ไอ้ลูกอกตัญญูช่างกล้าบ้าบิ่น!" พอจักรพรรดิเหวินได้ฟังเรื่องราวจากหยุนลี่ ก็โมโหจนหายใจแรง "เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว ขอให้รักษาพระวรกายไว้ก่อนเถิด..." หยุนลี่รีบยื่นมือไปช่วยประคองลมหายใจของจักรพรรดิเหวินให้สงบลง จักรพรรดิเหวินพ่นลมหายใจอย่างแรงอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เริ่มสงบลงได้ หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิเหวินก็หันไปมองหยุนลี่ด้วยสีหน้าเย็นชา "พรุ่งนี้เจ้าเด็กอกตัญญูยังต้องมาคารวะข้า เจ้าคิดว่าถ้าข้าให้คนซุ่มรอไว้ก่อน จะมีโอกาสจับมันได้ครั้งเดียวหรือไม่?" "ไม่ได้เด็ดขาด!" หยุนลี่รีบห้ามพระองค์จากความคิดบ้าคลั่งนั้น "เสด็จพ่อก็ทรงเห็นแล้วว่าเจ้าหกระวังตัวตลอดเวลา หากจับตัวมันไม่ได้ในการลงมือครั้งเดียว จะยิ่งทำให้มันโกรธแค้น ใน
เมื่อกลับถึงจวนพัก หยุนลี่ก็ระบายความโกรธด้วยการฟันหิมะอย่างบ้าคลั่ง น่าขายหน้า! ขายหน้าสิ้นดี! ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน เขารู้ว่าในการมาฟู่โจวครั้งนี้จะต้องถูกหยุนเจิงหลอก แต่ไม่คิดว่าจะโดนเล่นงานถึงขนาดนี้ ทั้งเงิน ทั้งข้าว ทั้งที่ดิน... ตัวเองยังสมควรเป็นองค์รัชทายาทอยู่อีกหรือ? เขากลายเป็นตัวตลกเต็มประตู! น่าชิงชัง! น่าชิงชังที่สุด! หยุนลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เลือดลมภายในร่างพลุ่งพล่านไม่หยุด "พรวด..." เมื่อความโกรธทำให้เลือดลมตีขึ้น หยุนลี่ก็ทนไม่ไหวและพ่นเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างของหยุนลี่เซไปมาจนเกือบล้มลงกับพื้น โชคดีที่ในจังหวะที่ร่างกำลังจะทรุดลง เขาปักดาบลงพื้น ใช้ดาบค้ำยันตัวเองไว้ พร้อมคุกเข่าข้างหนึ่ง "องค์รัชทายาทเพคะ!" เหล่าข้ารับใช้รีบร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ก่อนกรูเข้ามาหา "ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด..." หยุนลี่ตะโกนเสียงต่ำ ขณะที่ปาดคราบเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นสภาพอันน่าอับอายของตัวเอง เขาคือองค์รัชทายาทแห่งแผ่นดิน ต่อให้เป็นอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหยุนลี่ บรรด
เมื่อเจอคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธ ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยุนลี่ก็กัดฟันยอมรับ "ตกลง สี่ล้านตำลึง! เหมือนกับเรื่องเสบียง ให้ชำระภายในสิ้นปี!" เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หยุนลี่แทบกระอักเลือด เขาเคยคิดไว้ว่าจะพึ่งจางซูผู้เป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติเพื่อหาเงินได้อย่างมหาศาล ตอนนี้ เงินหาได้มาก็จริง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ให้คุ้ม เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มาจ้องตาเป็นมันแล้ว แถมยังต้องควักทุนสำรองออกมา และไปยืมเงินจากคนอื่นอีก! "ทีนี้มาพูดเรื่องช่างฝีมือกันเถอะ!" หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ "อย่ามาพูดเรื่องไปหาเอาจากกรมโยธาเลย แค่ช่างต่อเรือสองพันคนเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเรือรบสองพันลำ! ข้าอาจไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า" ไม่ยาก? ในใจหยุนลี่ด่าไม่หยุด นี่มันช่างต่อเรือที่มีการลงทะเบียนเอาไว้! ล้วนมีทะเบียนช่างฝีมืออยู่! ไม่ใช่พวกผู้อพยพสองพันคน! "หนึ่งพัน!" หยุนลี่พยายามระงับโทสะ "จะเคลื่อนย้ายคนที่มีทะเบียนช่างฝีมือเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย! การควบคุมช่างต่อเรืออาจไม่เข้มงวดเท่าช่างทำเกราะ แต่ถ้ามีทะเบียนติดตัว..."
ในห้องของหยุนเจิง เพิ่งจะจัดการความยุ่งเหยิงเรียบร้อย หยุนลี่ก็โผล่มาพอดี ในเวลานั้น หยุนเจิงเพิ่งจะตั้งตัวได้จากเรื่องวุ่นวายที่เกิดกับเจียเหยา "เจ้าหก เจ้าวางแผนได้ดีจริง!" หยุนลี่กำหมัดแน่น กัดฟันพูดว่า "ว่ามา เจ้าอยากได้อะไร?" หยุนลี่ไม่คิดจะอ้อมค้อมกับหยุนเจิง เจ้าสุนัขนี่วางแผนแบบนี้ก็เพื่อจะหาประโยชน์จากตนเองเท่านั้น หากมัวแต่เลี่ยงไปเลี่ยงมา คนที่ต้องเจ็บใจก็คือตัวเองอยู่ดี "พี่สาม ใจเด็ดดีจริง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง "เงินห้าล้านตำลึง กับช่างต่อเรืออีกสองพันคน!" "เจ้า..." หยุนลี่โกรธจนแทบระเบิด กัดฟันตะโกน "ทำไมเจ้าไม่ไปปล้นเอาเลยล่ะ?" เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! ยังแย่กว่าเดรัจฉานเสียอีก! เขารู้อยู่แล้วว่าหยุนเจิงต้องเรียกร้องมากแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ เงินห้าล้านตำลึง? ตนจะหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน? แม้จะมีจางซูผู้เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งโชคลาภช่วยหาเงิน แต่แม่เจ้า ก็ไม่ถึงขนาดนี้! ซั่วเป่ยก็ยกให้เขาไปแล้ว! เขายังมาอ้อมค้อมขอเงินและเสบียงจากราชสำนักอีก? ไม่สิ ต้องบอกว่าขอจากตนต่างหาก! เขาเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นปล่อยเจ้าหมอนี่ออกจากเมืองหล
เอาได้เท่าไรก็เท่านั้น หยุนเจิงหัวเราะเมื่อได้ยิน “เจ้าชอบว่าข้าว่าหน้าหนา แต่ดูเจ้าสิ ก็ไม่ได้บางไปกว่าข้าเลย!” เจียเหยาหัวเราะเบาๆ “ข้านี่แหละเรียนจากเจ้าไง?” “เช่นนั้นรบกวนเจ้าจ่ายค่าเล่าเรียนมาก่อนนะ” หยุนเจิงพูดพลางยื่นมือไปทางเจียเหยา เจียเหยาทำหน้างง ก่อนจะตบมือหยุนเจิงเบาๆ ทันทีที่มือของเจียเหยาสัมผัส ถูกลูกธนูหลายดอกยิงเข้ามาในห้องด้วยเสียง “ฟิ้ว ฟิ้ว” มีลูกธนูสองดอกที่ทะลุผ่านผ้าห่มด้านนอกมากระแทกบนโต๊ะ เกิดเสียง "ตึบ ตึบ" เจียเหยาตั้งใจจะพุ่งไปหยิบแส้ของนางที่ข้างเตียง แต่ถูกหยุนเจิงดึงตัวไว้ เจียเหยาเสียหลัก ล้มเข้าไปในอ้อมอกของหยุนเจิงทันที “ฟิ้ว ฟิ้ว…” ลูกธนูยังคงยิงเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง สองคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน เจียเหยาจ้องมองหยุนเจิงอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งสังเกตถึงสิ่งแปลกประหลาดก่อนจะถามด้วยใบหน้าแดงซ่าน “เจ้ายังพกของเล่นที่ทำไว้ให้ลูกติดตัวอยู่หรือ?” พูดจบ เจียเหยาก็คว้าสิ่งที่ดันตัวนางอยู่ พร้อมกระตุกมันออกมา นางอยากรู้ว่ามันคืออะไร ที่หยุนเจิงทำหล่นเมื่อคราวก่อน “อย่า…” หยุนเจิงพยายามห้าม แต
โต๊ะในห้องของเขาทั้งสองมีขนาดแค่นั้น ซ่อนตัวคนเดียวก็ดูกว้างขวางดี แต่พอซ่อนตัวสองคนหลังโต๊ะ ก็รู้สึกค่อนข้างแคบลง ในระยะนี้ หยุนเจิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเจียเหยาอย่างชัดเจน นางคงจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าใช่สบู่หอมหรือเปล่า หรือว่านางเหมือนเยี่ยจื่อ ที่ใส่กลีบดอกไม้จำนวนมากในอ่างอาบน้ำ หรือจะเป็นการอาบน้ำด้วยน้ำอบหอม? จู่ๆ ภาพเจียเหยาขณะอาบน้ำก็ผุดขึ้นมาในหัวของหยุนเจิง ทันใดนั้น หยุนเจิงรู้สึกเหมือนมีคนดึงตัวเขา จนถึงตอนนี้ หยุนเจิงถึงได้รู้สึกตัว หยุนเจิงหันศีรษะไป ก็เห็นเจียเหยาจ้องเขาด้วยสายตาสงสัย “อะไร? บนหน้าข้ามีดอกไม้หรือ?” หยุนเจิงถามด้วยสีหน้างงงวย “อะไร? ข้ากำลังอยากถามเจ้าว่ากำลังทำอะไรอยู่?” เจียเหยาหัวเราะเล็กน้อย “ข้าพูดกับเจ้านานแล้ว แต่เจ้าไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้ายังคิดว่าเจ้าถูกผีสิงเสียอีก!” “หา?” “เช่นนั้นหรือ?” หยุนเจิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ บ้าจริง! ยังไม่ทันถึงฤดูใบไม้ผลิเลย! เขานี่กำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่? หยุนเจิงรีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนพูดด้วยท่าทีจริงจัง “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดบางเรื่อง
เจียเหยาโกรธ “ข้าไม่ได้สงสัยว่าเจ้ามีสิ่งนั้นอยู่ในมือหรือไม่ ข้าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น!” “ข้าบอกให้เจ้าไป ก็ต้องไป!” หยุนเจิงจ้องเจียเหยาทีหนึ่ง “แม้ว่าเจ้าจะวิ่งกลับไป ถ้าสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี เจ้าก็ต้องวิ่งมาหาข้าอยู่ดี วิ่งไปวิ่งมานี่เจ้าไม่เหนื่อยหรือ? หรือเจ้าอยากทรมานตัวเองจนตายเพื่อแก้แค้นข้า?” “ข้า…” เจียเหยาอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ว่า คิดดูแล้วก็จริง หากสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี นางก็ต้องมาหาหยุนเจิงอยู่ดี คิดแบบนี้ การวิ่งไปมานั้นเหนื่อยมากจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไปดูเขาขยายช่องเขาหลางหยาก็น่าสนใจ “ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้า” เจียเหยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามด้วยสีหน้าล้อเลียน “เจ้ารู้สึกสงสารข้าหรือ?” “เจ้าอยากให้ข้าสงสารเจ้าหรือ?” หยุนเจิงถามกลับ “แน่นอน!” เจียเหยาตอบทันที “ถ้ามองในมุมของข้า ยิ่งเจ้าสงสารข้า ข้าและเป่ยหวนก็ยิ่งได้ประโยชน์” หยุนเจิงยักไหล่ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าสงสารเจ้าก็แล้วกัน อย่างไรเจ้าก็คิดอะไรก็ได้ที่ทำให้เจ้ามีความสุข” สงสารเจียเหยาหรือ? ก็มีอยู่เล็กน้อยแหล่ะ! ทว่าก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อรักษาอำนาจข่มขู่เจียเห