เสิ่นลั่วเยี่ยนมึนงงเรื่องบ้าอะไรกัน?ฝ่าบาททรงอนุญาตเองว่านอกจากฝ่าบาทแล้ว ใครที่กล่าวหาว่าเขาเป็นกบฏให้เขาทุบตีได้เลย?อะไรกัน?ไม่รอให้เสิ่นลั่วเยี่ยนได้สติ จางฮว๋ายก็หัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ส่วนเรื่องร้านตีเหล็ก องค์ชายเองก็ทูลฝ่าบาทในที่ว่าราชกิจวันนี้แล้ว พระชายาองค์ชายหกอย่าทำให้ตนเองกลัวเลย…”หา?เสิ่นลั่วเยี่ยนตะลึงแม้แต่เรื่องนี้ เขาก็บอกเสด็จพ่อเขาแล้วนั้นหรือ?เช่นนั้น ก็เป็นตนที่คิดมากไปจริงๆ น่ะสิ?“จางเก๋อเหล่า ท่านคงไม่ปดข้าหรอกกระมัง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองจางฮว๋ายอย่างสงสัย“นี่มันคำพูดอะไรกัน!”จางฮว๋ายราวกับถูกเหยียดหยาม “ข้าเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอด เคยพูดปดที่ไหนกัน? เรื่องนี้ผู้คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้เห็นกันหมด พระชายาองค์ชายหกส่งคนไปสืบดูก็รู้แล้ว”“ข้า…”อารมณ์ร้อนของเสิ่นลั่วเยี่ยนจางลง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อจางเก๋อเหล่า เพียงแต่ว่า…”“ช่างมันเถอะๆ!”หยุนเจิงโบกมือ “จางเก๋อเหล่า อย่าเพิ่งสนใจนางเลย ท่านคิดล่วงหน้าไปถึงยี่สิบวันแล้ว อย่าถูกนางรบกวนเลย เราไปคิดเลขต่อกันดีกว่า!”จางฮว๋ายได้สติพลันพยักหน้าหงึกๆ “จริงด้วย! อย่าขัดเวลาสำคัญของเราดีกว่า
แม้แต่เยี่ยจื่อที่รู้เรื่องอยู่บ้างแล้วได้ยินยังตะลึงงัน นับประสาอะไรกับเสิ่นลั่วเยี่ยนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแรกเริ่มยังมีเพียงเสิ่นลั่วเยี่ยนกับเยี่ยจื่อเท่านั้นที่ฟังอยู่ทว่าพอช่วงหลัง แม้แต่ตู้กุยหยวนคนเหล่านั้นยังวิ่งเข้ามาฟังด้วย เมื่อได้ยินว่าหยุนเจิงต่อกรกับราชครูแห่งแคว้นเป่ยหวนอย่างใจกล้า แล้วทำให้ต้าเฉียนชนะม้าศึกหมื่นตัวมาได้นั้น ฝูงชยต่างก็ปรบมือสะใจทั้งช่วงเวลาที่รับอาหารมีเพียงตาเฒ่าคนเดียวที่พูดอยู่หยุนเจิงอดถอนใจไม่ได้ ตาเฒ่าคนนี้ไม่ไปเป็นนักเล่าเรื่องเสียดายความสามารถแทนจริงๆหลังจากรับอาหารกันเสร็จ หยุนเจิงขอให้จางฮว๋ายอยู่ดื่มชารอ ส่วนเขาวิ่งไปที่ห้องหนังสือแล้วเขียนวิธีคิดเลขรวมถึงตารางสูตรคูณทั้งหมดมอบให้จางฮว๋ายวอนให้เขานำไปถวายแก่จักรพรรดิเหวินพรุ่งนี้เช่นนี้ เขาจะได้ไม่ต้องเข้าวังอีกขณะที่จางฮว๋ายเดินออกไปพร้อมกับหนังสือเลขของต้าเฉียนแล้ว ฝูงชนก็ยังตกอยู่ในภาวะตกตะลึงอยู่ไม่หาย“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องกินข้าวกันเลยใช่ไหม?”หยุนเจิงจ้องที่ตู้กุยหยวนและคนอื่นๆ “รีบไปกินข้าวของพวกเจ้าไป”เมื่อถูกหยุนเจิงเรียกดึงสติ ฝูงชนถึงได้รู้ตัวแล้วรีบวิ่งไปกิ
สำหรับหยุนเจิงแล้ว การไม่ไปร่วมว่าราชกิจด้วยคือเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งการนอนหลับจนตื่นขึ้นมาเองเป็นเรื่องที่ไม่เลวนักหลังรับอาหารเช้าเสร็จ หยุนเจิงก็รีบไปที่ร้านตีเหล็กทันทีตอนเที่ยงเขาไม่กลับไปกินข้าวที่จวน จึงขอให้คนซื้ออาหารแล้วกินร่วมกับคนอื่นในร้านตีเหล็ก จากนั้นค่อยชี้แนะทุกคนต่อไปเขาเคยดูรายการต่างประเทศที่ชื่อว่า “ศึกตีเหล็ก” และเป็นแฟนตัวยงของรายการ นอกจากนี้ เขายังศึกษาวิธีการตีเหล็กดามัสกัสเป็นเวลานานอีกด้วยอย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะรู้วิธี แต่การจะตีเหล็กดามัสกัสออกมาด้วยมือนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพียงแค่งานหลอมเหล็ก ก็เกินความสามารถมากแล้วพวกเขาตีแท่งเหล็กออกมา แล้วบิดเป็นลายหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จหยุนเจิงต้องวิเคราะห์สาเหตุและปรับปรุงวิธีการครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับร้านตีเหล็ก เกาเหอก็ขี่ม้ามาถึงเห็นท่าทีรีบร้อนของเกาเหอแล้ว หยุนเจิงก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น“องค์ชาย พระราชวังมีหมายส่งมา ฝ่าบาททรงเรียกองค์ชายให้เข้าวังโดยด่วน!”เกาเหอกระโดดลงจากหลังม้าแล้วพูดอย่างเร่งรีบแม่ง!มีเรื่องอะไรอีก?แถมยังเรียกตัวด่วนด้วย?คงไ
เมื่อฟังคำพูดของจางฮว๋ายแล้ว หยุนเจิงพลันอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งขึ้นอย่างลับๆดูซิดู!นี่แหละอาจารย์ของจักรพรรดิ!ดูวาทศิลป์ของคนอื่นว่าเลิศล้ำแค่ไหนด้วยความช่วยเหลือของจางฮว๋าย สีหน้าของจักรพรรดิเหวินจึงดีขึ้นเล็กน้อย“อืม ที่เก๋อเหล่าพูดก็มีเหตุผล”จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามหยุนเจิงว่า “ในหนังสือที่เจ้าอ่าน มีวิธีการคิดเลขเพียงเท่านี้หรือ?”ได้!เข้าใจแล้ว!นี่สินะประเด็นสำคัญ!เมื่อครู่นี้บุรุษผู้นี้จงใจสร้างปัญหาสินะ!เขาแค่อยากจะหาอะไรมาทำให้ตนหวาดกลัว เมื่อเขาถามเรื่องนี้อีกครั้ง ตนก็จะตอบเขาทั้งหมด เพื่อทำให้เขาพอใจ!นี่มันทักษะโดยเฉพาะของจักรพรรดิจริงๆ!ไอ้คนดีไม่จริง!หยุนเจิงแอบสบถอยู่ในใจแล้วตอบว่า "ยังมีอีก! แต่ทว่ามันค่อนข้างซับซ้อนและลูกเองก็ไม่เข้าใจมันดีนัก จึงไม่ได้เขียนลงไป...""ไม่เป็นไร"จักรพรรดิเหวินโบกมือ “เจ้าเขียนมาให้หมด ข้าจะสั่งให้คนมาศึกษาเอง ในเมื่อจะป่าวประกาศให้รู้กันทั่วแคว้น ก็ต้องทำให้เป็นรูปเป็นร่าง! รอให้เขียนเสร็จแล้ว ข้าจะยกความดีความชอบให้เจ้า!”ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิเหวินจึงขอให้ใครสักคนส่งสมบัติทั้งสี่ของการศึกษามาให
"หา?"หยุนเจิงตะลึงงันนั่นห่านหิมะหรือ?แต่หน้าตาไม่ต่างจากห่านธรรมดาเลยนะ!เขาคิดว่าเป็นห่านที่ยังไม่โตเต็มวัยเสียอีก!"ฮ่าๆ…"จางฮว๋ายทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหัวเราะและปลอบจักรพรรดิเหวิน "ฝ่าบาท องค์ชายหกอาศัยอยู่แต่ในวังนานเกินไป จึงไม่รู้จักห่าน เข้าใจผิดว่าห่านหิมะเป็นห่านธรรมดาก็ไม่แปลก”มุมปากของจักรพรรดิเหวินกระตุกเล็กน้อย แล้วจ้องมองหยุนเจิงด้วยความหงุดหงิด แล้วจึงนั่งลงด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งน่าขัน จากนั้นจึงสั่งการขันทีที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ว่า “ไป ไปดึงขนห่าน…เอ้ยไม่ใช่ ไปดึงขนห่านหิมะที่ยาวที่สุดมาสองสามเส้น!”กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินเองก็กริ้วจนหลุดหัวเราะออกมาตนก็ถูกเด็กสามหาวนี่ทำเพี้ยนไปด้วยแล้ว“ว่างๆ ก็ออกไปเดินเล่นบ้างนะ!”จักรพรรดิเหวินเงยหน้าขึ้นมองหยุนเจิงอีกครั้ง “วันนี้เข้าใจผิดว่าห่านหิมะเป็นห่านธรรมดาต่อหน้าข้ากับจางเก๋อเหล่ายังพอว่า แต่ถ้าหากเจ้าไปพูดต่อหน้าขุนนางพลเรือนและทหารล่ะก็ ข้าละอายใจแทนเจ้าจริงๆ!”หยุนเจิงหัวเราะแห้ง แล้วตอบตกลงอย่างรวดเร็วว่า "ต่อไป…ลูกจะออกไปเดินเล่นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"มารดามันเถอะ!มองห่านหิมะเป็นห่านธรรมดา น่าอายอ
ไม่ได้พูดว่าจะชดเชยอะไรให้กับหยุนเจิงแต่อย่างไร ทำเอาหยุนเจิงแอบรู้สึกน้อยใจไปครู่หนึ่งด้วยแรงสนับสนุนจากขนห่านหิมะ ทำให้หยุนเจิงเขียนได้เร็วมากขึ้นในเวลาอันสั้น หยุนเจิงเขียนเสร็จเขาไม่ได้เขียนอะไรมากมายเขียนไปราวหนึ่งหน้ากระดาษพร้อมคำอธิบายประกอบ ดังนั้นจึงไม่เขียนอะไรเพิ่มต่อไปแม้นจะเขียนไปมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางศึกษาออกมาได้หรอกเท่านี้ ก็อาจจะมากพอสำหรับให้พวกเขาศึกษาเป็นเวลาหลายปีแล้วจักรพรรดิเหวินไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ จึงมอบให้กับจางฮว๋าย และสั่งให้คนในสำนักศึกษาเหวินฮว๋าทำการศึกษาสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่พวกเขาศึกษาอย่างละเอียดแล้วค่อยเขียนเป็นหนังสือ“สิ่งเหล่านี้ลึกลับมาก!”จางฮว๋ายเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความสนใจของนักวิชาการเฒ่าผู้นี้ “องค์ชายหก ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะถามเรื่องอะไร ต่อจากนี้หากข้ามีเรื่องต้องรบกวนองค์ชายหก ขอองค์ชายหกโปรดให้คำแนะนำแก่ข้าด้วย”"จางเก๋อเหล่าพูดเกินไปแล้ว"หยุนเจิงรีบโบกมือ “จริงๆ แล้วข้าเองก็ยังไม่เข้าใจหลายๆ อย่าง แต่หากเรื่องใดที่ข้ารู้ ข้าจะบอกทุกอย่างแน่นอน”“ขอบพระทัยองค์ชายหก” จางฮว๋ายยืนขึ้นด้วยรอยยิ้
บุรุษผู้นี้มาทำอะไรที่จวนของตนกัน?มิน่าล่ะ ทำไมผู้คนถึงมาล้อมอยู่หน้าประตูไม่ยอมให้เขาเข้าไป!นี่คือ ราชครูแห่งเป่ยหวน!หากปล่อยให้เขาเข้าไป จะทำให้ผู้อื่นไปพูดกันได้ไม่ใช่หรือ?เมื่อมองไปที่ปานปู้แล้ว ดวงตาของตู้กุยหยวนและจั่วเริ่นทั้งสามคนแทบจะลุกเป็นไฟหากไม่ใช่เพราะตระหนักว่าปานปู้มาที่ต้าเฉียนในฐานะคณะทูตล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงสับปานปู้เป็นชิ้นๆ แล้วเมื่อห้าปีก่อน หากไม่ใช่เพราะความแยบยลของปานปู้ ต้าเฉียนก็คงไม่สูญเสียหนักเพียงนี้กองทหารโลหิตเองก็คงไม่กระจัดกระจายไปอย่างสิ้นเชิงด้วย!ทั้งสามคนจ้องไปที่ปานปู้้ตาเขม็ง อยากจะสับหัวปานปู้เพื่อล้างแค้นให้พี่น้องของตนแต่เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ปานปู้และผู้ติดตามนั่นกลับดูสงบไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดราวกับว่า ไม่มองตู้กุยหยวนและคนอื่นๆ ไว้ในสายตาด้วยซ้ำพวกเขามั่นใจว่าคนเหล่านี้ไม่กล้าแตะต้องพวกเขาดังนั้น ปานปู้จึงกล้ามาพร้อมกับผู้ติดตามเพียงคนเดียว“องค์ชายหก ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”ปานปู้มองดูหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “หากท่านยังไม่กลับมาอีก เกรงว่าคนในจวนท่านคงได้สับข้าเป็นชิ้นๆ แน่”"ราชครูพูดเล่นแล้ว"หยุนเจิงค่อยๆ เดิ
"แค่นี้น่ะหรือ?"หยุนเจิงส่ายศีรษะแล้วยิ้ม “แต่ในสายตาของข้า ราชครูต่างหากที่ชนะ ข้าแพ้!”“โอ๋?”ปานปู้ไม่เข้าใจ “เหตุใดองค์ชายหกจึงพูดเช่นนี้ องค์ชายกำลังดูถูกข้าหรือ?”หยุนเจิงส่ายศีรษะ ถอนหายใจ "ตามที่เราได้เดิมพันไว้ ของที่เป่ยหวนควรจะให้แก่ต้าเฉียน ทว่าสุดท้ายกลับให้ต้าเฉียนใช้เสบียงจำนวนสามล้านชุดไปแลก! หากนี่ไม่ถือว่าข้าแพ้ แล้วคืออะไรกัน?”ปานปู้สะดุ้งเล็กน้อย ทว่าก็เข้าใจความหมายของหยุนเจิงเขาไม่พอใจกับข้อตกลงระหว่างเป่ยหวนกับต้าเฉียน!“องค์ชายหกผิดแล้ว!”ปานปู้ยิ้มแล้วพูดด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งว่า “แม้นจะไม่ใช่เพราะการเดิมพันทั้งสองครั้งขององค์ชายหก เป่ยหวนของข้าไม่ลงของอะไรด้วยก็ตาม ต้าเฉียนก็ต้องมอบเสบียงจำนวนสามล้านชุดให้กับเป่ยหวนอยู่ดี!”คำพูดของปานปู้ทำให้ทุกคนคันฟันความหมายปานปู้เข้าใจง่ายมาก เป่ยหวนต้องการเสบียง ต้าเฉียนไม่กล้าไม่ให้!หากไม่ใช่เพราะสถานะตัวตนของพวกเขาไม่เหมาะที่จะขัดจังหวะล่ะก็ ตอนนี้พวกเขาคงกระโดดไปทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของปานปู้แล้ว“อาจจะ!”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองปานปู้ “ราชครูอยากจะเดิมพันอะไรล่ะ?”“ในเมื่อองค์ชายหกเก่งเ
หยุนลี่พลันเข้าใจแจ่มแจ้ง มองจักรพรรดิเหวินด้วยความนับถือเต็มใบหน้าเสด็จพ่อช่างมีความคิดล้ำลึกยิ่งนัก!แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังทรงคำนึงถึง!“เสด็จพ่อทรงมีสายตากว้างไกล ลูกนับถือจนสุดหัวใจพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความจริงใจนี่หาใช่คำเยินยอไม่ แต่เป็นความนับถืออย่างแท้จริงเพียงเรื่องเดียว กลับมีจุดประสงค์มากมายถึงเพียงนี้“เจ้าสาม เจ้ายังอ่อนประสบการณ์เกินไป…”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้เจ้ายังต้องเรียนรู้จากเจ้าหกให้มาก! หากเจ้าหกมีเพียงกำลังทหารแข็งแกร่ง ข้าก็หาได้หวาดกลัวเขาไม่! แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตัวเจ้าหกลูกอกตัญญูผู้นี้คือสมองของเขา เขามักคิดการณ์ไกลอยู่เสมอ เขาอยู่ในจวนปี้ปัวมาสองสิบกว่าปี ข้าคิดว่าเขาคงใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้…”ในข้อนี้ หยุนลี่เองก็เห็นด้วยไม่มีใครรู้เท่ากับเขาว่าเจ้าหกมีความเจ้าเล่ห์เพียงใดไอ้สารเลวนี้ เมื่อก่อนในจวนปี้ปัวทำตัวขี้ขลาดแน่นอนว่าคงหมกมุ่นอยู่แต่การวางแผนเล่นงานผู้อื่น!ไม่เช่นนั้น ไอ้สารเลวนี้จะมีความเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้หรือ?“เสด็จพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความละอาย
"นี่..." หยุนลี่อ้าปากค้างไปชั่วขณะ แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เขารู้ดีว่าจักรพรรดิเหวินตรัสอย่างมีเหตุผล ตระกูลใหญ่และขุนนางไม่ได้สนใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ พวกเขาสนแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ตอนนี้หยุนเจิงมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง หากเขาก่อกบฏ เกรงว่าตระกูลใหญ่และขุนนางหลายคนจะเข้าข้างหยุนเจิง บางตระกูลที่มีความทะเยอทะยาน อาจถึงขั้นร่วมมือกันยกทัพก่อกบฏ แค่หยุนเจิงคนเดียวก็จัดการได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าหลังบ้านของเรายังมีปัญหาเพิ่มเติม ราชสำนักอาจไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้านเลยก็เป็นได้ หยุนลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันพูดว่า "ลูกจะเชื่อเสด็จพ่อ! เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ลูกจะทำทุกวิถีทางเพื่อลดอำนาจของพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง!" เอาเป็นว่าทำตามนี้! ถ้าไม่จัดการกับพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง เงินทองของตัวเองจะมาจากไหน? เพราะนั่นมันตั้งสี่แสนตำลึงเงินนะ! เงินที่ยึดมาได้จากพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง บางส่วนจะสามารถเข้ากระเป๋าของตัวเองได้ เพื่อชดเชยความเสียหาย ส่วนหนึ่งสามารถนำเข้าคลังหลวง เพื่อนำไปเตรียมการกองทัพและป้องกันหยุนเจิง! "ถูกต้องแล้ว!" จักรพรรดิเห
“เฮ้อ…” จักรพรรดิเหวินถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตบมือหยุนลี่เบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าไปคุยกับเจ้าหกมาเป็นอย่างไรบ้าง?" พอพูดถึงเรื่องนี้ ไฟโทสะที่หยุนลี่เพิ่งกดไว้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่โชคดีที่เขาเพิ่งพ่นเลือดไปสองครั้งและปลอบใจตัวเองมาพอสมควร เลยไม่ถึงกับพ่นเลือดออกมาอีก ถึงจะโกรธแค่ไหน แต่หยุนลี่ก็ยังเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับหยุนเจิงออกมา "ไอ้ลูกอกตัญญูช่างกล้าบ้าบิ่น!" พอจักรพรรดิเหวินได้ฟังเรื่องราวจากหยุนลี่ ก็โมโหจนหายใจแรง "เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว ขอให้รักษาพระวรกายไว้ก่อนเถิด..." หยุนลี่รีบยื่นมือไปช่วยประคองลมหายใจของจักรพรรดิเหวินให้สงบลง จักรพรรดิเหวินพ่นลมหายใจอย่างแรงอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เริ่มสงบลงได้ หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิเหวินก็หันไปมองหยุนลี่ด้วยสีหน้าเย็นชา "พรุ่งนี้เจ้าเด็กอกตัญญูยังต้องมาคารวะข้า เจ้าคิดว่าถ้าข้าให้คนซุ่มรอไว้ก่อน จะมีโอกาสจับมันได้ครั้งเดียวหรือไม่?" "ไม่ได้เด็ดขาด!" หยุนลี่รีบห้ามพระองค์จากความคิดบ้าคลั่งนั้น "เสด็จพ่อก็ทรงเห็นแล้วว่าเจ้าหกระวังตัวตลอดเวลา หากจับตัวมันไม่ได้ในการลงมือครั้งเดียว จะยิ่งทำให้มันโกรธแค้น ใน
เมื่อกลับถึงจวนพัก หยุนลี่ก็ระบายความโกรธด้วยการฟันหิมะอย่างบ้าคลั่ง น่าขายหน้า! ขายหน้าสิ้นดี! ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน เขารู้ว่าในการมาฟู่โจวครั้งนี้จะต้องถูกหยุนเจิงหลอก แต่ไม่คิดว่าจะโดนเล่นงานถึงขนาดนี้ ทั้งเงิน ทั้งข้าว ทั้งที่ดิน... ตัวเองยังสมควรเป็นองค์รัชทายาทอยู่อีกหรือ? เขากลายเป็นตัวตลกเต็มประตู! น่าชิงชัง! น่าชิงชังที่สุด! หยุนลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เลือดลมภายในร่างพลุ่งพล่านไม่หยุด "พรวด..." เมื่อความโกรธทำให้เลือดลมตีขึ้น หยุนลี่ก็ทนไม่ไหวและพ่นเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างของหยุนลี่เซไปมาจนเกือบล้มลงกับพื้น โชคดีที่ในจังหวะที่ร่างกำลังจะทรุดลง เขาปักดาบลงพื้น ใช้ดาบค้ำยันตัวเองไว้ พร้อมคุกเข่าข้างหนึ่ง "องค์รัชทายาทเพคะ!" เหล่าข้ารับใช้รีบร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ก่อนกรูเข้ามาหา "ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด..." หยุนลี่ตะโกนเสียงต่ำ ขณะที่ปาดคราบเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นสภาพอันน่าอับอายของตัวเอง เขาคือองค์รัชทายาทแห่งแผ่นดิน ต่อให้เป็นอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหยุนลี่ บรรด
เมื่อเจอคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธ ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยุนลี่ก็กัดฟันยอมรับ "ตกลง สี่ล้านตำลึง! เหมือนกับเรื่องเสบียง ให้ชำระภายในสิ้นปี!" เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หยุนลี่แทบกระอักเลือด เขาเคยคิดไว้ว่าจะพึ่งจางซูผู้เป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติเพื่อหาเงินได้อย่างมหาศาล ตอนนี้ เงินหาได้มาก็จริง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ให้คุ้ม เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มาจ้องตาเป็นมันแล้ว แถมยังต้องควักทุนสำรองออกมา และไปยืมเงินจากคนอื่นอีก! "ทีนี้มาพูดเรื่องช่างฝีมือกันเถอะ!" หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ "อย่ามาพูดเรื่องไปหาเอาจากกรมโยธาเลย แค่ช่างต่อเรือสองพันคนเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเรือรบสองพันลำ! ข้าอาจไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า" ไม่ยาก? ในใจหยุนลี่ด่าไม่หยุด นี่มันช่างต่อเรือที่มีการลงทะเบียนเอาไว้! ล้วนมีทะเบียนช่างฝีมืออยู่! ไม่ใช่พวกผู้อพยพสองพันคน! "หนึ่งพัน!" หยุนลี่พยายามระงับโทสะ "จะเคลื่อนย้ายคนที่มีทะเบียนช่างฝีมือเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย! การควบคุมช่างต่อเรืออาจไม่เข้มงวดเท่าช่างทำเกราะ แต่ถ้ามีทะเบียนติดตัว..."
ในห้องของหยุนเจิง เพิ่งจะจัดการความยุ่งเหยิงเรียบร้อย หยุนลี่ก็โผล่มาพอดี ในเวลานั้น หยุนเจิงเพิ่งจะตั้งตัวได้จากเรื่องวุ่นวายที่เกิดกับเจียเหยา "เจ้าหก เจ้าวางแผนได้ดีจริง!" หยุนลี่กำหมัดแน่น กัดฟันพูดว่า "ว่ามา เจ้าอยากได้อะไร?" หยุนลี่ไม่คิดจะอ้อมค้อมกับหยุนเจิง เจ้าสุนัขนี่วางแผนแบบนี้ก็เพื่อจะหาประโยชน์จากตนเองเท่านั้น หากมัวแต่เลี่ยงไปเลี่ยงมา คนที่ต้องเจ็บใจก็คือตัวเองอยู่ดี "พี่สาม ใจเด็ดดีจริง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง "เงินห้าล้านตำลึง กับช่างต่อเรืออีกสองพันคน!" "เจ้า..." หยุนลี่โกรธจนแทบระเบิด กัดฟันตะโกน "ทำไมเจ้าไม่ไปปล้นเอาเลยล่ะ?" เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! ยังแย่กว่าเดรัจฉานเสียอีก! เขารู้อยู่แล้วว่าหยุนเจิงต้องเรียกร้องมากแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ เงินห้าล้านตำลึง? ตนจะหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน? แม้จะมีจางซูผู้เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งโชคลาภช่วยหาเงิน แต่แม่เจ้า ก็ไม่ถึงขนาดนี้! ซั่วเป่ยก็ยกให้เขาไปแล้ว! เขายังมาอ้อมค้อมขอเงินและเสบียงจากราชสำนักอีก? ไม่สิ ต้องบอกว่าขอจากตนต่างหาก! เขาเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นปล่อยเจ้าหมอนี่ออกจากเมืองหล
เอาได้เท่าไรก็เท่านั้น หยุนเจิงหัวเราะเมื่อได้ยิน “เจ้าชอบว่าข้าว่าหน้าหนา แต่ดูเจ้าสิ ก็ไม่ได้บางไปกว่าข้าเลย!” เจียเหยาหัวเราะเบาๆ “ข้านี่แหละเรียนจากเจ้าไง?” “เช่นนั้นรบกวนเจ้าจ่ายค่าเล่าเรียนมาก่อนนะ” หยุนเจิงพูดพลางยื่นมือไปทางเจียเหยา เจียเหยาทำหน้างง ก่อนจะตบมือหยุนเจิงเบาๆ ทันทีที่มือของเจียเหยาสัมผัส ถูกลูกธนูหลายดอกยิงเข้ามาในห้องด้วยเสียง “ฟิ้ว ฟิ้ว” มีลูกธนูสองดอกที่ทะลุผ่านผ้าห่มด้านนอกมากระแทกบนโต๊ะ เกิดเสียง "ตึบ ตึบ" เจียเหยาตั้งใจจะพุ่งไปหยิบแส้ของนางที่ข้างเตียง แต่ถูกหยุนเจิงดึงตัวไว้ เจียเหยาเสียหลัก ล้มเข้าไปในอ้อมอกของหยุนเจิงทันที “ฟิ้ว ฟิ้ว…” ลูกธนูยังคงยิงเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง สองคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน เจียเหยาจ้องมองหยุนเจิงอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งสังเกตถึงสิ่งแปลกประหลาดก่อนจะถามด้วยใบหน้าแดงซ่าน “เจ้ายังพกของเล่นที่ทำไว้ให้ลูกติดตัวอยู่หรือ?” พูดจบ เจียเหยาก็คว้าสิ่งที่ดันตัวนางอยู่ พร้อมกระตุกมันออกมา นางอยากรู้ว่ามันคืออะไร ที่หยุนเจิงทำหล่นเมื่อคราวก่อน “อย่า…” หยุนเจิงพยายามห้าม แต
โต๊ะในห้องของเขาทั้งสองมีขนาดแค่นั้น ซ่อนตัวคนเดียวก็ดูกว้างขวางดี แต่พอซ่อนตัวสองคนหลังโต๊ะ ก็รู้สึกค่อนข้างแคบลง ในระยะนี้ หยุนเจิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเจียเหยาอย่างชัดเจน นางคงจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าใช่สบู่หอมหรือเปล่า หรือว่านางเหมือนเยี่ยจื่อ ที่ใส่กลีบดอกไม้จำนวนมากในอ่างอาบน้ำ หรือจะเป็นการอาบน้ำด้วยน้ำอบหอม? จู่ๆ ภาพเจียเหยาขณะอาบน้ำก็ผุดขึ้นมาในหัวของหยุนเจิง ทันใดนั้น หยุนเจิงรู้สึกเหมือนมีคนดึงตัวเขา จนถึงตอนนี้ หยุนเจิงถึงได้รู้สึกตัว หยุนเจิงหันศีรษะไป ก็เห็นเจียเหยาจ้องเขาด้วยสายตาสงสัย “อะไร? บนหน้าข้ามีดอกไม้หรือ?” หยุนเจิงถามด้วยสีหน้างงงวย “อะไร? ข้ากำลังอยากถามเจ้าว่ากำลังทำอะไรอยู่?” เจียเหยาหัวเราะเล็กน้อย “ข้าพูดกับเจ้านานแล้ว แต่เจ้าไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้ายังคิดว่าเจ้าถูกผีสิงเสียอีก!” “หา?” “เช่นนั้นหรือ?” หยุนเจิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ บ้าจริง! ยังไม่ทันถึงฤดูใบไม้ผลิเลย! เขานี่กำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่? หยุนเจิงรีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนพูดด้วยท่าทีจริงจัง “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดบางเรื่อง
เจียเหยาโกรธ “ข้าไม่ได้สงสัยว่าเจ้ามีสิ่งนั้นอยู่ในมือหรือไม่ ข้าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น!” “ข้าบอกให้เจ้าไป ก็ต้องไป!” หยุนเจิงจ้องเจียเหยาทีหนึ่ง “แม้ว่าเจ้าจะวิ่งกลับไป ถ้าสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี เจ้าก็ต้องวิ่งมาหาข้าอยู่ดี วิ่งไปวิ่งมานี่เจ้าไม่เหนื่อยหรือ? หรือเจ้าอยากทรมานตัวเองจนตายเพื่อแก้แค้นข้า?” “ข้า…” เจียเหยาอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ว่า คิดดูแล้วก็จริง หากสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี นางก็ต้องมาหาหยุนเจิงอยู่ดี คิดแบบนี้ การวิ่งไปมานั้นเหนื่อยมากจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไปดูเขาขยายช่องเขาหลางหยาก็น่าสนใจ “ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้า” เจียเหยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามด้วยสีหน้าล้อเลียน “เจ้ารู้สึกสงสารข้าหรือ?” “เจ้าอยากให้ข้าสงสารเจ้าหรือ?” หยุนเจิงถามกลับ “แน่นอน!” เจียเหยาตอบทันที “ถ้ามองในมุมของข้า ยิ่งเจ้าสงสารข้า ข้าและเป่ยหวนก็ยิ่งได้ประโยชน์” หยุนเจิงยักไหล่ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าสงสารเจ้าก็แล้วกัน อย่างไรเจ้าก็คิดอะไรก็ได้ที่ทำให้เจ้ามีความสุข” สงสารเจียเหยาหรือ? ก็มีอยู่เล็กน้อยแหล่ะ! ทว่าก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อรักษาอำนาจข่มขู่เจียเห