เดิมทีนางคิดว่าหลังจากมาถึงซั่วเป่ยแล้ว นางจะนึกถึงสามีผู้ล่วงลับที่ถูกฝังอยู่ในซั่วเป่ยแต่ความจริงแล้วนางไม่ค่อยนึกถึงสามีที่ล่วงลับไปเลย เวลาส่วนใหญ่ก็ล้วนกังวลแต่หยุนเจิงจะนึกถึงสามีที่ตายไปก็ต่อเมื่อรู้สึกผิดเป็นครั้งคราวสุดท้ายตนก็รักไอ้สารเลวนั่นอย่างเกินเยียวยาอยู่ดีแม้ว่าจะถูกผู้คนมากมายวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็ตาม...ขณะที่เยี่ยจื่อกำลังคิดไม่เรื่อยเปื่อย เสิ่นลั่วเยี่ยนก็มาถึงแถวๆ น้ำพุร้อนเมื่อเห็นกำแพงดินที่ล้อมรอบบ่อน้ำพุร้อน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เกิดความคิดอันกล้าหาญขึ้นมาไอ้สารเลวนั่นอยากจะอาบน้ำกับตนไม่ใช่หรือ?สถานที่เช่นนี้ ดูเหมือนว่าการอาบน้ำระหว่างคนสองคนจะกลายเป็นสิ่งที่น่าจดจำในอนาคตได้เพราะอย่างไร ใช่ว่าหยุนเจิงจะไม่เคยเห็นร่างของตนเสียหน่อยปกติไอ้สารเลวนั่นก็เอาเปรียบตัวเองไม่น้อยอยู่แล้วตนกับสารเลวนั่นเหลือแค่ขั้นสุดท้ายแล้ว!เพียงแต่ว่าการวิ่งเข้าไปอาบน้ำร่วมกับเขาด้วยตนเองเช่นนี้ จะดูง่ายไปหน่อยหรือไม่?แค่คิดก็รู้สึกอายแล้ว!เสิ่นลั่วเยี่ยนลังเล ตัดสินใจไม่ได้เสียที"อืม..."ขณะที่เสิ่นลิ่วเยี่ยนลังเลอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้น
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมี่ยวอินก็ออกไปก่อนแม้ว่านางจะร้อนแรงและกล้าหาญ แต่นางก็เขินเกินกว่าที่จะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนพร้อมกับหยุนเจิงมิเช่นนั้น แม้ว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนจะเขินอายที่จะพูด แต่คนอื่นๆ ก็จะคิดไปมั่วซั่วอยู่ดีหยุนเจิงแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อน แล้วนึกถึงรสชาติอันแสนวิเศษเมื่อครู่นี้ด้วยสีหน้าพึงพอใจนี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิต!หากไม่มีเรื่องเป่ยหวนเน่าๆ นี่ แล้วถูกเจ้าสามไอ้อ่อนนั่นหมายตาล่ะก็ ใครจะไปอยากยุ่งกับเรื่องแย่ๆ พวกนี้กัน!พาผู้หญิงของตนไปเที่ยวภูเขาเล่นน้ำไม่ดีหรอกหรือ?ต้องรีบจัดการเรื่องเน่าๆ พวกนี้ซะ!ข้ามภพมา หากไม่ได้เพลิดเพลินกับความรุ่งเรืองของโลก คงจะเสียดายน่าดูพอหยุนเจิงแต่งตัวพบกับเสิ่นลั่วเยี่ยนพวกเขาแล้ว เขายังไม่เดินเข้าไปหา เสิ่นลั่วเยี่ยนก็จ้องเขาด้วยสายตาดุเดือด ปากเล็กๆ ยังพึมพำไม่หยุดแม้ว่านางจะไม่ส่งเสียงใดๆ แต่หยุนเจิงก็สามารถรู้ได้ว่านางพูดอะไรจากการอ่านปากของนางไร้ยางอาย!เอาเถอะ!เขายอมรับว่าสิ่งที่เขาทำในวันนี้ค่อนข้างไร้ยางอายจริงๆแต่มันซะใจจริงๆ นะ!ต่อไปหากมีโอกาสจะต้องพาเสิ่นลั่วเยี่ยนแม่นางคนนี้ไร้ยางอายด้วยกันสักครั้
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเพิ่งคิด ใบหน้าสละสลวยของเยี่ยจื่อก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเห็นเยี่ยจื่อหน้าแดงก่ำ หยุนเจิงก็รีบยกมือขึ้นทาบหน้าผาก “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือ?”หน้าผากเยี่ยจื่อร้อนมากหยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ ว่านางคงไม่ได้เป็นหวัดหรอกใช่ไหม?เมื่อสัมผัสถึงอุณหภูมิบนฝ่ามือของหยุนเจิง ใบหน้าของเยี่ยจื่อก็ยิ่งร้อนขึ้นอีกเมื่อเผชิญกับท่าทางที่ใกล้ชิดเช่นนี้ของหยุนเจิง นางก็ตบมือของหยุนเจิงออกโดยไม่รู้ตัวแต่ทว่าทันทีที่นางยกมือขึ้น ก็หยุดลงกะทันหัน“เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนกันแน่?”เมื่อเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเยี่ยจื่อ หยุนเจิงก็รู้สึกกังวลมากขึ้นจึงรีบวางจอบในมือทันที “ช่างเถอะ ไม่ปลูกมันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหาเมี่ยวอินให้ตรวจดู"พูดจบหยุนเจิงก็ดึงเยี่ยจื่อออกไปทันทีแต่เยี่ยจื่อกลับไม่ขยับเลย แถมใบหน้ายังเผยสีหน้าลำบากใจออกมาด้วยขณะที่หยุนเจิงกังวลสุดขีดนั้น ในที่สุดเยี่ยจื่อก็ตัดสินใจ จู่ๆ ก็ยกแก้มไปข้างหน้าแล้วประทับริมฝีปากสีแดงอุ่นไว้บนริมฝีปากของหยุนเจิงจูบกะทันหันนี้ทำให้หยุนเจิงถึงกับตะลึงในทันทีหยุนเจิงเบิกตากว้างอย่างโง่เขลาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นนี่เ
หยุนเจิงเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเพียงแค่มาแช่น้ำพุร้อน ไม่เพียงแต่ได้สัมผัสถึงความตื่นเต้นแสนพิเศษเท่านั้น แต่ยังทำให้เยี่ยจื่อเปิดใจอีกด้วยนี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับหยุนเจิงด้วยความอารมณ์ดี หยุนเจิงเดินราวกับมีลมติดตัวด้วยเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็ไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรไป เห็นใครก็รู้สึกแปลกไปหมดหยุนเจิงกับเมี่ยวอินก็แปลก พี่สะใภ้ก็แปลกๆ เช่นกันแม้แต่จางซูกับหมิงเย่ว์ก็แปลกนางไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางมีปัญหาหรือว่าพวกเขาทั้งหมดมีปัญหาในเวลากลางคืนพวกเขาพักอยู่ในค่ายเมื่อได้กินผักดองเหล่านี้แล้ว หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตั้งตารอเรือนกระจกบ่อน้ำพุร้อนของเขาเอง“คิดอะไรไม่ดีอีกล่ะ?”เมื่อเห็นหยุนเจิงนั่งเหม่อลอยขณะทานอาหาร เสิ่นลั่วเยี่ยนก็อดดุไม่ได้หยุนเจิงคีบหัวไชเท้าดองเส้นแล้วพูดอย่างขมขื่น "ข้ากำลังคิดถึงผักสดอยู่น่ะ!"“ไร้สาระจริงๆ! หากท่านสามารถปลูกผักสดได้ก็แปลกแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองบนใส่เขา แล้วเอ่ยประชด "ท่านเอาเวลาทำเรื่องพรรค์นั้นไปคิดแผนการต่อไปดีกว่า! หากเป่ยหวนคิดจะเอาจริง เราจะซ่อนตัวดูเรื่องสนุกอยู่ในซั่วฟางไปตลอดไม่ได้”นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าพวกเขาอยากดูเรื่อ
กลัวแค่ว่าจะไม่ยื้อเวลาจนเป่ยหวนตาย แต่ทำให้กองทหารมณฑลฝ่ายเหนือตายแทนฝูงชนเจรจาเรื่องนี้กันอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้สุดท้ายทุกคนก็ล้มเลิกการสนทนา“จริงสิ ท่านอยากกินคนเก้าพันคนที่เฝ้าหุบผาชันช่องลมไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่มีการเคลื่อนไหวเลยล่ะ?”ทันใดนั้น เมี่ยวอินถามขึ้นกะทันหัน"อย่าพูดถึงเลย"พูดถึงเรื่องนี้แล้วหยุนเจิงก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมากเขาวางแผนกับคนเก้าพันคนนั่นมาตลอดแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสพวกเขาเลยคนเก้าพันคนเหล่านั้นนำโดยไอ้อ่อนชื่อหยวนเลี่ยได้ยินหลูซิ่งบอกว่า หยวนเลี่ยค่อนข้างโด่งดังในหมู่กองทหารมณฑลฝ่ายเหนือตามชื่อของเขา หยวนเลี่ยนั้นดุร้ายดุจไฟและต่อสู้เหมือนคนบ้า ดังนั้นเขาจึงมีชื่อเล่นว่าหมาบ้าหยวนยิ่งไปกว่านั้น หยวนเลี่ยยังมีความสัมพันธ์เป็นญาติกับเว่ยเหวินจงหลูซิ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตัวหยวนเลี่ยเองก็ไม่ค่อยพูดถึงหลูซิ่งเคยส่งเนื้อไปหุบผาชันช่องลมมาแล้วสองครั้ง ปริมาณค่อนข้างมากด้วยหยวนเลี่ยไอ้สารเลวนั่นก็ค่อนข้างใจเด็ด รับทุกสิ่งที่พวกเขาให้แต่ไอ้สารเลวคนนี้รับแต่ของ ไม่ยอมให้ผ่านประตูค่ายด้วยซ้ำ ทำให้พวกเขาท
วันรุ่งขึ้น ทุกคนถึงจะเดินทางกลับซั่วฟางหยุนเจิงเพิ่งกลับถึงซั่วฟาง ก็ได้รับข่าวจากตู้กุยหยวนทันทีว่า คนทั้งสี่กลุ่มที่หยุนเจิงส่งไปมีกลุ่มหนึ่งกลับมาแล้ว!คนไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จะต้องพักผ่อนสักหน่อยสำหรับหยุนเจิงแล้ว คนทั้งแปดคนนี้ล้วนแต่เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจะพักอย่างไรก็ไม่มีปัญหา!สมควรแล้ว!บัดนี้เหลือเพียงกลุ่มสุดท้ายแล้ว!หากกลุ่มนั้นกลับมาอย่างปลอดภัยเช่นกันล่ะก็ ศึกหุบเขามรณะครั้งนี้ก็สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงแล้วแต่ทว่าตอนนี้หยุนเจิงเองก็ไม่สามารถไปตามหาคนกลุ่มนั้นเช่นกันเป็นไปได้ว่าเป่ยหวนอาจจะเดิมพันด้วยชีวิตจริงๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวไว้ถึงแม้จะไม่สามารถจำลองชัยชนะครั้งใหญ่ของหุบเขามรณะได้อีกต่อไป แต่ก็ต้องพยายามลดจำนวนคนบาดเจ็บและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุดเช่นกันพวกเขามีกำลังคนทั้งหมดเพียงเท่านี้ ไม่สามารถสูญเสียต่อไปได้อีกสองสามวันต่อจากนี้ หยุนเจิงก็เริ่มยุ่งขึ้นมาระหว่างนั้น คนกลุ่มสุดท้ายก็กลับมาถึงแล้วซึ่งเท่ากับว่า หยุนเจิงกำจัดคนเป่ยหวนหลายหมื่นคนด้วยอัตราการสูญเสียเท่ากับศูนย์น่าเสียดายที่รายละเอียดการ
ทหารส่งสาร์นรีบหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาพลางเอ่ยจริงจังว่า “กองทหารใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนายของเป่ยหวนได้ข้ามโขดแม่น้ำไป๋สุ่ยขณะที่ฟ้ายังสว่างเมื่อวาน และได้โจมตีกองทหารใหญ่ที่ประจำการอยู่ที่โขดแม่น้ำ บัดนี้เหล่าทหารได้ล้อมรอบป้อมเมืองสุยหนิงแล้ว! แม่ทัพใหญ่จึงมีคำสั่งให้ทุกฝ่ายของซั่วฟางเตรียมพร้อมรบเสมอ! ส่วนแม่ทัพหลักของแต่ละฝ่ายให้รีบกลับไปยังฐานค่าย! ผู้ใดที่ช้าให้ประหารทันที!”ได้ยินคำพูดของทหารส่งสาร์นแล้ว ฝูงชนพลันหน้าเปลี่ยนไปในบัดดลเป่ยหวนเริ่มโจมตีแล้วจริงๆ!โจมตีป้อมเมืองฝ่ายหน้าของเป่ยหยวนโดยตรง!กองทหารใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนายล้อมรอบป้อมเมืองสุยหนิง!กองทหารใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนายเชียวนะ!เป่ยหวนไปเอากำลังพลมากมายเพียงนี้มาจากไหนกัน?“หยุนเจิงรับคำสั่ง!”หยุนเจิงรีบรับป้ายอาญาสิทธิ์มาพร้อมถามทหารส่งสาร์นว่า “กองทหารใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนายของเป่ยหวนมีการจัดวางแนวรบอย่างไร? แล้วทหารป้อมเมืองฝ่ายหน้าของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”ทหารส่งสาร์นตอบ “กองทหารใหญ่สามหมื่นนายที่ประจำการอยู่ที่เป่ยหยวนของเราเสียชีวิตไปมากกว่าครึ่ง เป่ยหวนเองก็เจ็บหนักไม่แพ้กัน…”การสูญเสียของเป่ยหวน
“เว่ยเหวินจงไอ้ระยำนี่ทำสงครามอะไรของมัน?”“ตำแหน่งสำคัญอย่างโขดเป่ยหยวนนั่น เขากลับส่งไปแค่สามหมื่นนาย?”“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าไอ้ระยำนั่นเป็นไส้ศึกของเป่ยหวน!”ระหว่างทางสู่ค่ายเหนือ เสิ่นลั่วเยี่ยนพลางก่นด่าเว่ยเหวินจงไม่หยุดเท่าที่นางดูแล้ว ในสถานการณ์ที่รู้ว่าเป่ยหวนคิดจะเดิมพันด้วยชีวิตนั้น เว่ยเหวินจงควรจะส่งกำลังพลไปที่โขดเป่ยหยวนจำนวนเจ็ดแปดหมื่นนาย เช่นนั้นถึงคนของเป่ยหวนจะไม่กลัวตายอย่างไร ก็ไม่สามารถโจมตีผ่านเข้ามาได้บัดนี้ป้อมเมืองสุยหนิงถูกล้อม ซั่วฟางสุ่มเสี่ยงล้วนแต่เป็นฝีมือของเว่ยเหวินจงทั้งนั้นหยุนเจิงส่ายศีรษะกล่าว “เรื่องนี้ โทษเว่ยเหวินจงไม่ได้จริงๆ”“เหตุใดถึงไม่ได้?”เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “ท่านยังจะช่วยไอ้ระยำนั่นแก้ต่างอีก?”“ไม่ได้แก้ต่างให้เขา แต่เราต้องพูดตามความจริง”หยุนเจิงอธิบาย “โขดเป่ยหยวนมีพื้นที่แค่นั้น ส่งกำลังพลไปสามหมื่นนายก็ถือว่ามากแล้ว! หากมากกว่านี้คงไม่สามารถขยายวงกว้างได้แล้ว! อีกอย่าง ป้อมเมืองสุยหนิงและจิ้งอันก็ยังมีกองทหารใหญ่รักษาการณ์อยู่ ซึ่งสามารถเข้าไปสนับสนุนได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว! เว่ยเหวินจงวางแนวรบเช่นนี้ ไม่
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเหวินทรงตัดสินพระทัยได้แล้ว หยุนลี่ถึงกับดีใจจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่ พยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ หยุนลี่กล่าวขึ้นว่า “ขอเสด็จพ่อโปรดมีพระบัญชา ให้โจวเต้ากงนำกองกำลังเตรียมพร้อม และเมื่อเจ้าหกมาถึงหัวเมืองสี่ทิศ ให้เข้าควบคุมตัวเจ้าหกทันที! อีกทั้ง ขอพระบัญชาให้จ้าวจี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำทัพทหาร 30,000 นายที่ฝีมือเยี่ยม เข้าประจำการในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของหัวเมืองสี่ทิศอย่างลับๆ” เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนลี่ หัวใจของจักรพรรดิเหวินพลันเย็นเยือก เจ้าลูกทรพี! คิดจะระดมกองทัพจากตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อจัดการเจ้าหกอย่างนั้นหรือ? เขาคิดจะจุดชนวนสงครามกลางเมืองในต้าเฉียนหรืออย่างไร? “การระดมพลจากตะวันตกเฉียงเหนือในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ทันการ” จักรพรรดิเหวินทรงพยายามระงับพระอารมณ์ ก่อนตรัสว่า “กองกำลังจากตะวันตกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นทหารราบ ต่อให้รีบเร่งเดินทัพมา คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนครึ่ง” หยุนลี่ถึงกับพูดไม่ออก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนลี่จึงกล่าวต่อ “เช่นนั้น ขอพระบัญชาให้จ้าวจี้นำทัพทหารม้าชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายมาแทนพ่ะย่ะค่ะ!
“ลูก…ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” หยุนลี่ตอบอย่างตะกุกตะกัก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหยุนเจิงมีกำลังทหารในมือมากเพียงใด คนที่เขาส่งไปซั่วเป่ยแทบไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพเลย “ข้าจะบอกเจ้าเอง!” จักรพรรดิเหวินทรงลูบพระนลาฏเบาๆ พระพักตร์เต็มไปด้วยความกังวล “น้องหกของเจ้ามีกำลังพลในมือมากกว่าสองแสนนาย และหากเขาต้องการ ก็สามารถรวบรวมทหารเพิ่มได้อีกหนึ่งแสนนายทันที! ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพของชนเผ่าเป่ยหวนและเป่ยหมัวถัวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา! ข้ากระทั่งสงสัยว่า หากเขาต้องการ เขาสามารถเรียกกองทัพห้าแสนนายมาได้ทันที!” “ห้า…ห้าแสน?” หยุนลี่อ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กองทัพห้าแสน? เจ้าหก เจ้าคนเลวนั่นสามารถเรียกกองทัพห้าแสนได้ตลอดเวลา? นี่…เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าหกจะเลี้ยงกองทัพห้าแสนไหวหรือ? จักรพรรดิเหวินทรงถอนหายใจยาว “เจ้าต้องการนำเจ้าหกกลับเมืองหลวง ข้าไม่ขัดข้อง! แต่เจ้าต้องพิจารณาดู หากเจ้าไม่ประสบความสำเร็จ และยังทำให้เจ้าหก เจ้าลูกทรพีนั่นโกรธขึ้นมา เจ้าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร?” “นี่…” หยุนลี่ไม่รู้จะตอบคำถามของจักรพรรดิเหวินอย่าง
ไม่นาน มู่ซุ่นก็พาหยุนลี่เข้ามา “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่หยุนลี่เข้ามา เขาก็คำนับอย่างนอบน้อม จักรพรรดิเหวินทรงพยักหน้าให้หยุนลี่นั่งลง พลางตรัสยิ้มๆ ว่า “ครั้งหน้า หากมีธุระก็ให้มู่ซุ่นปลุกข้าเถิด อย่ายืนรออยู่ด้านนอกนานนัก” “เสด็จพ่อทรงเหนื่อยจากการเดินทาง ลูกยืนรออีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” “ตอนนี้เจ้าก็เริ่มเหมือนรัชทายาทแล้วล่ะ” จักรพรรดิเหวินทรงมองหยุนลี่ด้วยความพอพระทัย “พูดมาเถอะ เจ้าจะมีเรื่องอันใด? บอกมาให้จบก่อน แล้วข้าจะได้สั่งงานเจ้าบ้าง” “ขอเสด็จพ่อทรงบัญชาลูกก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิเหวินทรงนิ่งตรองเล็กน้อย ก่อนจะทรงโบกพระหัตถ์ให้มู่ซุ่นและนางกำนัลที่คอยรับใช้ในห้องออกไป เมื่อไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ จักรพรรดิเหวินจึงตรัสว่า “ครั้งนี้ที่ข้าไปซั่วเป่ย ข้าตั้งใจไปดูมันเทศที่จางซูพูดถึง ข้าถามผู้คนหลายคนแล้ว และมั่นใจว่ามันเทศนั้นให้ผลผลิตสูงมาก! ข้าตั้งใจจะนำมันเทศนั้นเข้ามาปลูกในเขตใน แต่เจ้าหก เจ้าลูกทรพีนั่นกลับบอกว่าต้องมาคุยเรื่องนี้กับเจ้า…” ต้องมาคุยกับตนเอง? เปลือกตาของหยุนลี่กระตุกทันที เขารับรู้ได้ในทันทีว่า เจ้าหก
ในขณะที่หยุนเจิงกำลังยุ่งอยู่กับการอุทิศตนเพื่อสุขภาพของสตรีทั่วหล้า จักรพรรดิเหวินก็กลับมาถึงหัวเมืองสี่ทิศ มู่ซุ่นเดินทางกลับมาพร้อมกับจักรพรรดิเหวิน เมื่อหยุนลี่ทราบข่าว เขาก็นำคณะขุนนางมารับเสด็จทันที “จากราชสำนักมีใครส่งรายงานมาไหม?” จักรพรรดิเหวินทรงถามถึงเรื่องสำคัญทันทีที่เสด็จกลับมา “มีพ่ะย่ะค่ะ” หยุนลี่รีบรายงาน “เซียวว่านโฉวนำทัพไปช่วยเจียวลู่อ๋องซื่อจื่อปราบปรามกบฏสำเร็จแล้ว แต่พวกเขาช้าก้าวหนึ่ง กัวซื่อนำกองกำลังหลายพันคนหลบหนีไปยังเผ่าต่างๆ ทางหมอซี เจียวลู่อ๋องซื่อจื่อได้ถวายฎีกาต่อราชสำนัก ขอพระราชทานพระราชโองการแต่งตั้งให้เขาสืบตำแหน่งเจียวลู่อ๋อง…” หลังจากการปราบกบฏของกัวซื่อสำเร็จ หนานจ้าวและอวี้หนานในปีนี้ก็แสดงความจงรักภักดีได้ดีขึ้นมาก ทั้งสองแคว้นได้ส่งบรรณาการเข้ามา โดยจำนวนสิ่งของบรรณาการมากกว่าปีก่อนถึงสามส่วน ราชาหนานจ้าวยังได้กราบทูลขอส่งองค์ชายรัชทายาทมายังเมืองหลวงต้าเฉียนเพื่อศึกษาเล่าเรียน การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติในทางใต้กำลังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่มีกลุ่มผู้ประสบภัยบางคนจุดไฟในหุบเขาเพื่อให้ความอบอุ่น จนเกิดไฟป่าครั
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม