“เว่ยเหวินจงไอ้ระยำนี่ทำสงครามอะไรของมัน?”“ตำแหน่งสำคัญอย่างโขดเป่ยหยวนนั่น เขากลับส่งไปแค่สามหมื่นนาย?”“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าไอ้ระยำนั่นเป็นไส้ศึกของเป่ยหวน!”ระหว่างทางสู่ค่ายเหนือ เสิ่นลั่วเยี่ยนพลางก่นด่าเว่ยเหวินจงไม่หยุดเท่าที่นางดูแล้ว ในสถานการณ์ที่รู้ว่าเป่ยหวนคิดจะเดิมพันด้วยชีวิตนั้น เว่ยเหวินจงควรจะส่งกำลังพลไปที่โขดเป่ยหยวนจำนวนเจ็ดแปดหมื่นนาย เช่นนั้นถึงคนของเป่ยหวนจะไม่กลัวตายอย่างไร ก็ไม่สามารถโจมตีผ่านเข้ามาได้บัดนี้ป้อมเมืองสุยหนิงถูกล้อม ซั่วฟางสุ่มเสี่ยงล้วนแต่เป็นฝีมือของเว่ยเหวินจงทั้งนั้นหยุนเจิงส่ายศีรษะกล่าว “เรื่องนี้ โทษเว่ยเหวินจงไม่ได้จริงๆ”“เหตุใดถึงไม่ได้?”เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “ท่านยังจะช่วยไอ้ระยำนั่นแก้ต่างอีก?”“ไม่ได้แก้ต่างให้เขา แต่เราต้องพูดตามความจริง”หยุนเจิงอธิบาย “โขดเป่ยหยวนมีพื้นที่แค่นั้น ส่งกำลังพลไปสามหมื่นนายก็ถือว่ามากแล้ว! หากมากกว่านี้คงไม่สามารถขยายวงกว้างได้แล้ว! อีกอย่าง ป้อมเมืองสุยหนิงและจิ้งอันก็ยังมีกองทหารใหญ่รักษาการณ์อยู่ ซึ่งสามารถเข้าไปสนับสนุนได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว! เว่ยเหวินจงวางแนวรบเช่นนี้ ไม่
แต่ถึงพละกำลังทางกายของทหารเป่ยหวนจะดีขนาดไหน ก็คงไม่ห้าวหาญถึงขนาดนี้หรอก!หากเป็นการโจมตีธรรมดา อวี๋ซื่อจงมั่นใจว่าไม่ว่าเป่ยหวนจะส่งทหารมาโจมตีมากเพียงใด ขอแค่มอบคนสามหมื่นคนให้กับเขา อย่างน้อยเขาก็สามารถอดทนต่อไปได้อย่างต่ำครึ่งเดือนแน่นอนบุคคลที่เว่ยเหวินจงส่งไปรักษาการณ์ที่โขดเป่ยหยวนสถานที่สำคัญเพียงนี้ได้ย่อมต้องไม่ใช่คนย่อท้ออยู่แล้วเรื่องนี้ต้องมีบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้แน่นอนอวี๋ซื่อจงวิเคราะห์ คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกองทหารใหญ่สามหมื่นนายพ่ายแพ้เร็วเกินไปจริง!เกิดเรื่องผิดปกติย่อมต้องมีมาร!“ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ถึงจะเจรจาว่าเป่ยหวนโจมตีมาได้อย่างไรต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์”หยุนเจิงแบมือ “บัดนี้ เป่ยหวนมีแผนล้อมป้อมเมืองสุยหนิง แต่ไม่โจมตี เห็นได้ชัดว่าต้องการขัดขวางเส้นทางการสื่อสารของป้อมเมืองสุยหนิง บังคับให้เว่ยเหวินจงส่งทหารไปช่วยเหลือ แล้วฉวยโอกาสกำจัดกองทหารหลักของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือ…”“จริง!”ตู้กุยหยวนพยักหน้าเบาๆ “แต่ทว่าพวกเขามีกองทหารใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย อย่างน้อยก็ต้องสูญเสียไปสองสามหมื่นนายแล้วกระมัง? กำลังพลที่เหลืออยู่ พวกเขายังแบ่งออกเป็นกองทหารใหญ
เป่ยหวน ไม่จำเป็นต้องพึ่งทหารม้าเสมอไป!สิ้นเสียงหยุนเจิง ฝูงชนต่างก็อึ้งไปตามกัน“องค์ชายหมายความว่า เป่ยหวนบุกโจมตีด้วยทหารราบนั้นหรือ?”เฝิงอวี้ขมวดคิ้ว “ทว่าทหารราบคงไม่เร็วปานนี้หรอกกระมัง?”ให้ตายอย่างไร ทหารราบก็วิ่งได้มากสุดสามสี่สิบลี้เท่านั้น เงื่อนไขคือเพียงแค่เดินทัพเท่านั้นกองทหารใหญ่เป่ยหวนสามารถไปล้อมรอบป้อมเมืองสุยหนิงได้รวดเร็วปานนี้ น่าจะไม่ใช่ทหารราบหรอก?“องค์ชายหมายความว่า ทหารม้าเองก็สามารถกลายเป็นทหารราบได้ต่างหาก!”ตู้กุยหยวนส่ายหน้า แล้วเงยหน้ามองหยุนเจิง “เราลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ ด้วย! แต่ทว่าองค์ชายคิดว่าเป่ยหวนจะทำเช่นนี้จริงหรือ?”หยุนเจิงนวดขมับ แล้วเอ่ยจริงจังว่า “หากเป็นข้า ข้าจะทำเช่นนี้”ตู้กุยหยวนเงียบไปชั่ขณะ แล้วยิ้มขมขื่น “ในสถานการณ์คับขัน ข้าเองก็คงทำเช่นนี้เช่นกัน! ขอแค่สามารถโจมตีกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือได้ เสียหายแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา”ระหว่างพูด ตู้กุยหยวนก็ยิ้มขมขื่นอีกครั้ง“พวกเจ้าพูดอะไรอยู่กันแน่?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจนางไม่ได้บกพร่องทางการสื่อสารต่อสองคนนี้นี่!เหตุใดถึงฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าสองคนนี้พูดอะไรกันอยู
ทว่าหากคนตาย ก็เท่ากับไม่มีอะไรแล้วจริงๆต้องยอมรับว่าวิธีของเป่ยหวนนี้เด็ดขาดจริงๆตัดเรื่องส่วนตัวออก จริงๆ เป่ยหวนนับว่ากล้าหาญมากจริงๆยอมเสียเปรียบทั้งสองอย่างก็ไม่ยอมก้มหัวให้ต้าเฉียน“บัดนี้น่าจะพอรู้การวางแนวรบของกองทหารใหญ่ทั้งสามเส้นทางของเป่ยหวนแล้ว”หยุนเจิงลุกขึ้นเดินไปยังตรงหน้าแผนที่แล้วชี้กล่าวว่า “กองทหารใหญ่สามเส้นทางน่าจะวางแนวรบเป็นลักษณะแถวหน้ากระดาษ กองทหารใหญ่เป่ยหวนที่อยู่ป้อมเมืองสุยหนิงทางทิศใต้และป้อมเมืองจิ้งอันทางทิศตะวันตกน่าจะเป็นทหารราบที่สังหารม้าศึก! ส่วนกองทหารเส้นกลางสายหนึ่งนี้ น่าจะเป็นทหารม้าที่เป็นกำลังหลักเหมือนเดิม…”“องค์ชายพูดถูก!”อวี๋ซื่อจงพยักหน้า “ทหารม้าที่อยู่เส้นกลางสามารถเข้าไปสนับสนุนกองทหารใหญ่อีกสองเส้นทางได้อย่างรวดเร็ว! ในสถานการณ์ที่ยึดครองโขดเป่ยหยวนแล้วนั้น พวกเขาไม่น่าจะมีปัญหาในการจัดหาอาหารให้กับทหารม้าสายหนึ่ง”การจัดวางแนวรบเช่นนี้ ไม่ว่ากองทหารมณฑลฝ่ายเหนือจะโจมตีจากทางไหน ก็ล้วนพบเจอกับการลอบโจมตีจากทหารม้าชั้นยอดของเป่ยหวนแน่นอนอย่าคิดว่ากองทหารมณฑลฝ่ายเหนือจะมีม้าศึกแสนกว่าตัว ถึงแม้จะบอกว่ามีทหารม้าแสนกว่าน
บังคับกองทหารใหญ่เป่ยหวนให้ถอยทัพ?ทุกคนมองไปที่หยุนเจิงด้วยความประหลาดใจเสิ่นลั่วเยี่ยนถึงกับกลอกตามองบนใส่หยุนเจิงทันที "ท่านคิดได้ว่าเป่ยหวนจะสังหารม้าศึกเพื่อเป็นเสบียงของกองทัพแล้วด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเป่ยหวนตั้งใจจะใช้วิธีเสียเปรียบทั้งสองอย่างมาต่อกรกับเรา เช่นนั้นจะบังคับให้ถอยทัพง่ายๆ ได้อย่างไร?”แม้ว่านายพลในค่ายจะไม่พูด แต่พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆกองทหารใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนายของเป่ยหวน แม้ว่าจะเสียไปสามหรือสี่หมื่นนายระหว่างสู้รบ ก็ยังเหลือกองทหารใหญ่อีกหนึ่งแสนกว่านายถึงแม้กองทหารมณฑลฝ่ายเหนือจะเข้าโจมตีทั้งหมด ก็อาจไม่สามารถบังคับกองทหารใหญ่จำนวนหนึ่งแสนนายให้ถอยทัพได้ยิ่งไปกว่านั้น เว่ยเหวินจงไม่มีทางกล้าโจมตีทั้งกองทัพแน่นอนไม่เช่นนั้น หากพ่ายแพ้ขึ้นมา ซั่วเป่ยจะตกอยู่ในอันตรายอย่างสมบูรณ์ความคิดของหยุนเจิงถือเป็นความคิดที่ดี!แต่อาจจะทำได้ยาก“สู้ซึ่งหน้าโดยไม่มีกลยุทธ์ไม่มีทางสำเร็จอยู่แล้ว”หยุนเจิงส่ายศีรษะแล้วพูดว่า "เราต้องชิงไหวชิงพริบ!"“ชิงไหวชิงพริบ?” อวี๋ซื่อจงงุนงงเล็กน้อยแล้วถามด้วยความประหลาดใจว่า “องค์ชายคงไม่ได้คิดจะข้ามแม่น้ำ
เมื่อคำพูดของยอนเจิงเผยออกไป ดวงตาของทุกคนก็สว่างขึ้นทันทีนี่เป็นความคิดที่ดี!ไม่เพียงแต่สามารถแก้ปัญหาป้อมเมืองสุยหนิงได้ แต่ยังสามารถใช้โอกาสนี้ยึดทหารและม้าเก้าพันนายของหยวนเลี่ยด้วย!ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!“ท่านคิดว่าแผนนี้เป็นไปได้นั้นหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนถาม"เป็นไปได้จริง"หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่แผนนี้มีปัญหาร้ายแรง!”ปัญหาร้ายแรง?ทุกคนมองหยุนเจิงด้วยความประหลาดใจนี่ไม่ใช่แผนที่ดีหรอกหรือ?มีปัญหาร้ายแรงที่ไหนกัน?ทุกคนคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาร้ายแรงที่หยุนเจิงพูดถึงนั้นคืออะไร พวกเขาต่างมองหยุนเจิงอย่างสงสัย"คิดต่อไป!"หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมองทุกคน “ลองคิดดูสิ ถ้ากองทหารใหญ่เส้นกลางของเป่ยหวนให้ตายอย่างไรก็ไม่กลับมาสนับสนุนกองทหารใหญ่สายหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่โขดเป่ยหยวนล่ะ เราจะทำอย่างไร?”ไม่กลับมาสนับสนุน?ทุกคนมึนงงพวกเขาคุยเรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช่หรือ?ถ้ากองทหารใหญ่เส้นกลางของเป่ยหวนไม่กลับมาสนุบสนุน เช่นนั้นจะทนดูกองหลังถูกกำจัดงั้นหรือ?หรือพวกเขาคิดว่าคนแค่นั้นจะสามารถหยุดการโจมตีของกองทหารใหญ่ต้าเฉียนได้?หยุน
เมื่อสิ้นเสียงของหยุนเจิง ในกระโจมพลันเงียบสงัดไร้เสียงทุกคนต่างพากันนึกถึงสิ่งที่หยุนเจิงพูด และความเป็นไปได้ของสิ่งที่หยุนเจิงพูดไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับเป่ยหวน การโจมตีกองทหารสายหนึ่งย่อมง่ายกว่าการโจมตีกองทัพที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือแน่นอนยิ่งกว่านั้น เป่ยหวนยังเสียเปรียบให้กับหยุนเจิงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่ต้องการกำจัดหยุนเจิงแน่นอนเป่ยหวนวางท่าล้อมป้อมเมืองสุยหนิง และบังคับให้กองทหารทหารมณฑลฝ่ายเหนือออกมาช่วย เพียงแค่ทำให้พวกเขาดูเท่านั้น!ความทะเยอทะยานของเป่ยหวนไม่ใช่แค่ต้องการทำให้เสียเปรียบทั้งสองอย่างเท่านั้น!แต่เป่ยหวนต้องการเอาชนะกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือในคราวเดียว และยังต้องการสังหารหยุนเจิงที่ทำให้พวกเขาต้องเสียเปรียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย!“การวิเคราะห์ขององค์ชายเป็นไปได้อย่างยิ่ง!”“ใช่ นี่อาจเป็นสิ่งที่เป่ยหวนคิด!”“แม้ว่าพวกเขาจะยึดป้อมเมืองสุยหนิงไม่ได้ ตราบใดที่พวกเขาเอาชนะเราได้ ก็ล้วนสามารถโจมตีเราจากหุบผาชันช่องลมแล้วกลับสู่ดินแดนเป่ยหวนได้!”"มีเพียงเรื่องคาดไม่ถึงเท่านั้นที่จะได้ผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์..."ฝูงชนวิจารณ์กัน
แต่เจ้ากลับไล่พวกเขาออกไปโดยไม่ทำอะไรเลย เช่นนั้นในใจเจ้าก็ต้องไม่พอใจอยู่แล้ว!อย่างน้อยเจ้าก็ต้องเก็บก้อนหินมาสักสองสามก้อนแล้วปาใส่ศีรษะของโจรพวกนั้นให้นูนออกมาเป็นก้อน!ฟังคำอุปมาของหยุนเจิงแล้ว ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อมีกลยุทธ์ที่ดีในการบังคับให้กองทหารใหญ่เป่ยหวนถอยทัพแล้ว ทุกคนรู้สึกกดดันน้อยลง“องค์ชาย หากเป่ยหวนฆ่าม้าศึกเพื่อเติมเสบียงให้กับกองทัพจริงๆ เช่นนั้นตอนนี้พวกเขาก็เสียเปรียบมากแล้ว! หากถอยทัพโดยไม่ได้โจมตีเลย เช่นนั้นเป่ยหวนก็เสียเปรียบไปถึงรุ่นย่าทวดแล้ว คนเป่ยหวนน่ะสิต้องหดหู่”“ถูกต้อง! พวกเขาโจมตีโขดเป่ยหยวนและมีผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเช่นกัน!”"ตราบใดที่เราสามารถบังคับให้เป่ยหวนถอยทัพได้โดยสูญเสียน้อยที่สุด เช่นนั้นเราก็ชนะแล้ว!""ใช่ๆ…”ทุกคนต่างปลอบโยนหยุนเจิงที่ไม่สบายใจหากทุกอย่างเป็นไปตามที่หยุนเจิงคาดไว้ ผู้บัญชาการหลักของเป่ยหวนถึงต้องเป็นคนที่ต้องกระอักเลือด"ไม่ได้!"หยุนเจิงส่ายศีรษะแล้วพูดหนักแน่นว่า "ข้าต้องได้ฉีกเนื้อคนเป่ยหวนให้ได้!"เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของหยุนเจิง ทุกคนต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเขาไม่ยอมปล่อยโดยไม่เอาเปรียบคนอื
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเหวินทรงตัดสินพระทัยได้แล้ว หยุนลี่ถึงกับดีใจจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่ พยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ หยุนลี่กล่าวขึ้นว่า “ขอเสด็จพ่อโปรดมีพระบัญชา ให้โจวเต้ากงนำกองกำลังเตรียมพร้อม และเมื่อเจ้าหกมาถึงหัวเมืองสี่ทิศ ให้เข้าควบคุมตัวเจ้าหกทันที! อีกทั้ง ขอพระบัญชาให้จ้าวจี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำทัพทหาร 30,000 นายที่ฝีมือเยี่ยม เข้าประจำการในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของหัวเมืองสี่ทิศอย่างลับๆ” เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนลี่ หัวใจของจักรพรรดิเหวินพลันเย็นเยือก เจ้าลูกทรพี! คิดจะระดมกองทัพจากตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อจัดการเจ้าหกอย่างนั้นหรือ? เขาคิดจะจุดชนวนสงครามกลางเมืองในต้าเฉียนหรืออย่างไร? “การระดมพลจากตะวันตกเฉียงเหนือในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ทันการ” จักรพรรดิเหวินทรงพยายามระงับพระอารมณ์ ก่อนตรัสว่า “กองกำลังจากตะวันตกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นทหารราบ ต่อให้รีบเร่งเดินทัพมา คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนครึ่ง” หยุนลี่ถึงกับพูดไม่ออก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนลี่จึงกล่าวต่อ “เช่นนั้น ขอพระบัญชาให้จ้าวจี้นำทัพทหารม้าชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายมาแทนพ่ะย่ะค่ะ!
“ลูก…ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” หยุนลี่ตอบอย่างตะกุกตะกัก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหยุนเจิงมีกำลังทหารในมือมากเพียงใด คนที่เขาส่งไปซั่วเป่ยแทบไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพเลย “ข้าจะบอกเจ้าเอง!” จักรพรรดิเหวินทรงลูบพระนลาฏเบาๆ พระพักตร์เต็มไปด้วยความกังวล “น้องหกของเจ้ามีกำลังพลในมือมากกว่าสองแสนนาย และหากเขาต้องการ ก็สามารถรวบรวมทหารเพิ่มได้อีกหนึ่งแสนนายทันที! ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพของชนเผ่าเป่ยหวนและเป่ยหมัวถัวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา! ข้ากระทั่งสงสัยว่า หากเขาต้องการ เขาสามารถเรียกกองทัพห้าแสนนายมาได้ทันที!” “ห้า…ห้าแสน?” หยุนลี่อ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กองทัพห้าแสน? เจ้าหก เจ้าคนเลวนั่นสามารถเรียกกองทัพห้าแสนได้ตลอดเวลา? นี่…เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าหกจะเลี้ยงกองทัพห้าแสนไหวหรือ? จักรพรรดิเหวินทรงถอนหายใจยาว “เจ้าต้องการนำเจ้าหกกลับเมืองหลวง ข้าไม่ขัดข้อง! แต่เจ้าต้องพิจารณาดู หากเจ้าไม่ประสบความสำเร็จ และยังทำให้เจ้าหก เจ้าลูกทรพีนั่นโกรธขึ้นมา เจ้าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร?” “นี่…” หยุนลี่ไม่รู้จะตอบคำถามของจักรพรรดิเหวินอย่าง
ไม่นาน มู่ซุ่นก็พาหยุนลี่เข้ามา “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่หยุนลี่เข้ามา เขาก็คำนับอย่างนอบน้อม จักรพรรดิเหวินทรงพยักหน้าให้หยุนลี่นั่งลง พลางตรัสยิ้มๆ ว่า “ครั้งหน้า หากมีธุระก็ให้มู่ซุ่นปลุกข้าเถิด อย่ายืนรออยู่ด้านนอกนานนัก” “เสด็จพ่อทรงเหนื่อยจากการเดินทาง ลูกยืนรออีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” “ตอนนี้เจ้าก็เริ่มเหมือนรัชทายาทแล้วล่ะ” จักรพรรดิเหวินทรงมองหยุนลี่ด้วยความพอพระทัย “พูดมาเถอะ เจ้าจะมีเรื่องอันใด? บอกมาให้จบก่อน แล้วข้าจะได้สั่งงานเจ้าบ้าง” “ขอเสด็จพ่อทรงบัญชาลูกก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิเหวินทรงนิ่งตรองเล็กน้อย ก่อนจะทรงโบกพระหัตถ์ให้มู่ซุ่นและนางกำนัลที่คอยรับใช้ในห้องออกไป เมื่อไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ จักรพรรดิเหวินจึงตรัสว่า “ครั้งนี้ที่ข้าไปซั่วเป่ย ข้าตั้งใจไปดูมันเทศที่จางซูพูดถึง ข้าถามผู้คนหลายคนแล้ว และมั่นใจว่ามันเทศนั้นให้ผลผลิตสูงมาก! ข้าตั้งใจจะนำมันเทศนั้นเข้ามาปลูกในเขตใน แต่เจ้าหก เจ้าลูกทรพีนั่นกลับบอกว่าต้องมาคุยเรื่องนี้กับเจ้า…” ต้องมาคุยกับตนเอง? เปลือกตาของหยุนลี่กระตุกทันที เขารับรู้ได้ในทันทีว่า เจ้าหก
ในขณะที่หยุนเจิงกำลังยุ่งอยู่กับการอุทิศตนเพื่อสุขภาพของสตรีทั่วหล้า จักรพรรดิเหวินก็กลับมาถึงหัวเมืองสี่ทิศ มู่ซุ่นเดินทางกลับมาพร้อมกับจักรพรรดิเหวิน เมื่อหยุนลี่ทราบข่าว เขาก็นำคณะขุนนางมารับเสด็จทันที “จากราชสำนักมีใครส่งรายงานมาไหม?” จักรพรรดิเหวินทรงถามถึงเรื่องสำคัญทันทีที่เสด็จกลับมา “มีพ่ะย่ะค่ะ” หยุนลี่รีบรายงาน “เซียวว่านโฉวนำทัพไปช่วยเจียวลู่อ๋องซื่อจื่อปราบปรามกบฏสำเร็จแล้ว แต่พวกเขาช้าก้าวหนึ่ง กัวซื่อนำกองกำลังหลายพันคนหลบหนีไปยังเผ่าต่างๆ ทางหมอซี เจียวลู่อ๋องซื่อจื่อได้ถวายฎีกาต่อราชสำนัก ขอพระราชทานพระราชโองการแต่งตั้งให้เขาสืบตำแหน่งเจียวลู่อ๋อง…” หลังจากการปราบกบฏของกัวซื่อสำเร็จ หนานจ้าวและอวี้หนานในปีนี้ก็แสดงความจงรักภักดีได้ดีขึ้นมาก ทั้งสองแคว้นได้ส่งบรรณาการเข้ามา โดยจำนวนสิ่งของบรรณาการมากกว่าปีก่อนถึงสามส่วน ราชาหนานจ้าวยังได้กราบทูลขอส่งองค์ชายรัชทายาทมายังเมืองหลวงต้าเฉียนเพื่อศึกษาเล่าเรียน การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติในทางใต้กำลังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่มีกลุ่มผู้ประสบภัยบางคนจุดไฟในหุบเขาเพื่อให้ความอบอุ่น จนเกิดไฟป่าครั
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม