“ว่ะฮ่าๆ…”หยุนเจิงเพิ่งมาถึงห้องรับแขก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะประจำตระกูลฉินของฉินชีหู่แล้วหยุนเจิงเดินไปพร้อมสีหน้าบูดบึ้งพร้อมฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย “พี่ใหญ่ฉิน ท่านมาได้อย่างไรกัน?”“ข้าต้องมาสู้รบอยู่แล้วสิ!”ใบหน้าของฉินชีหู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมขมวดคิ้วหรี่ตากล่าวว่า “พวกเจ้าเพิ่งออกจากเมืองจักรพรรดิไม่นาน ข้าก็ได้รับสั่งให้นำกองทหารยอดเยี่ยมสามหมื่นนายพร้อมขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ชุดเกราะต่างๆ มาที่ซั่วเป่ยทันที แต่ทว่าเพิ่งมาถึงด่านเป่ยลู่ ข้าก็ได้ข่าวว่าเจ้าฝึกซ้อมทหารอยู่ที่นี่จึงได้เร่งม้ามาที่นี่โดยไม่พักทันที! เป็นอย่างไร พี่ใหญ่ฉินคนนี้ใจถึงมากใช่หรือไม่?”“ใจ…ใจถึงมากจริงๆ!”หยุนเจิงหัวเราะแห้ง แล้วเอ่ยทันทีว่า “ทหารยอดเยี่ยมสามหมื่นนายนั่น พี่ใหญ่ฉินเป็นคนบัญชาการใช่หรือไม่?”“ไม่ใช่อยู่แล้ว!”ฉินชีหู่ส่ายหน้าไม่ใช่หรือ?มารดาเถอะ!ฉินชีหู่คงไม่ได้จะมาฝึกซ้อมทหารกับตนหรอกนะ?หรือว่า เสด็จพ่ออ่านแผนการของตนออกแล้ว?จึงได้ส่งฉินชีหู่มาสอดส่องตน?ขณะที่หยุนเจิงกำลังคิดมากอยู่นั้น ฉินชีหู่ก็ใช้ฝ่ามือตบบ่าของหยุนเจิงพร้อมกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเป็นแม่ทัพเหี้ยมโหดอันดับ
หลังจากเกิดเรื่อง องค์ชายรองและองค์ชายสี่ถูกส่งตัวไปยังฟู่โจว องค์ชายรองรับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างยุ้งฉางขนาดใหญ่ที่ฟู่โจว เพื่อสะดวกต่อการจัดเตรียมเสบียงสำหรับการสู้รบช่วงฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าองค์ชายสี่เป็นซื่อหลางกระทรวงโยธาธิการชั่วคราว รับผิดชอบดูแลขยายและจัดเตรียมถนนหลวงจากฟู่โจวไปยังด่านเป่ยลู่ ซึ่งจะต้องขยายให้กว้างกว่าเดิมหนึ่งเท่าได้ยินคำพูดของฉินชีหู่แล้ว หยุนเจิงก็ลิ้นตีกันอย่างควบคุมไม่อยู่เสด็จพ่อจัดการปัญหาในภายหลังก่อนล่วงหน้าหมดแล้ว ตัดสินใจว่าจะล้มเป่ยหวนให้ได้ในคราวเดียวก็จริง เป่ยหวนไม่เพียงแต่ผิดสัญญาผิดคำพูด แถมยังสังหารทหารขนส่งเสบียงไปมากมายเพียงนั้น หากเสด็จพ่อหลับหูหลับตากับเรื่องนี้ก็ผิดปกติแล้วขณะที่หยุนเจิงกำลังคิดนั่นนี่อยู่ ฉินชีหู่ก็ตบศีรษะกะทันหัน “จริงด้วย ฝ่าบาทสั่งให้ข้านำจดหมายมาให้พวกเจ้าฉบับหนึ่ง บอกว่าต้องมอบให้เจ้ากับน้องสะใภ้เองกับมือ ข้าเกือบลืมไปแน่ะ”กล่าวจบ ฉินชีหู่ก็หยิบจดหมายออกมามอบให้กับหยุนเจิงทันทีหยุนเจิงเปิดอ่านจดหมายทันทีเนื้อหาข้างในเข้าใจง่ายมาก เป็นเพียงคำพูดเป็นห่วงและกำชับพวกเขา และบอกเรื่องที่ตระกูลเสิ่นย้ายออกจากเ
ไม่นานนัก เสิ่นลั่วเยี่ยนก็กลับมาถึง ในจวนเองก็จัดเตรียมอาหารต้อนรับฉินชีหู่เรียบร้อยแล้วหยุนเจิงยังเตรียมเหล้าจางกงเมามายมาหม้อหนึ่งด้วยเยี่ยจื่อไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวจึงได้แอบอยู่ในห้องหยุนเจิงเพียงแค่พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและจางซูมาต้อนรับฉินชีหู่เท่านั้นฉินชีหู่เองก็เป็นคนชื่นชอบสุรา เมื่อพบเจอกับสุราชั้นดีเช่นนี้ย่อมต้องเรียกชนไม่หยุดหย่อนเป็นธรรมดา“น้องชาย เหล้านี้ ข้าขออีกสักสองสามหม้อได้หรือไม่!”ฉินชีหู่ดื่มจนเมามาย และไม่เกรงใจหยุนเจิงเอ่ยขอทันที“ไม่มีปัญหา!”หยุนเจิงตอบตกลงทันใด “แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง!”ฉินชีหู่ได้ยินก็ไม่พอใจในบัดดล จึงฝืนเบิกตากว้างพร้อมเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้ายังมีเงื่อนไขกับข้านั้นหรือ?”“ฟังข้าให้จบก่อน.หยุนเจิงยิ้มเยาะ “เงื่อนไขของข้าง่ายมาก ท่านห้ามดื่มเหล้าในกองทหาร ถึงแม้จะไม่อยู่ในกองทหาร ก็ไม่สามารถดื่มเยอะ! ป้อมเมืองสุยหนิงเป็นสถานที่อย่างไร ท่านและข้าต่างก็รู้ดี หากท่านทำเสียเรื่องเพราะดื่มเหล้าล่ะก็ ถึงแม้เสด็จพ่อทรงให้อภัยท่าน แต่พ่อท่านไม่มีทางปล่อยท่านไว้แน่”แม่ทัพที่ทำเสียเรื่องเพราะดื่มในอดีตมีมากมายเกินกว่าจะเอ่ยถึงหยุ
“ข้า…”หยุนเจิงชะงักเล็กน้อย “ก็ได้ ข้าไม่สบายใจมาก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะกินเพื่อเป็นการย้อมใจ”กล่าวจบ หยุนเจิงก็เริ่มตักอาหารคำโตเข้าปากทันทีให้ตายเถอะ!พูดตามจริงไป เหตุใดถึงไม่มีคนเชื่อเลยล่ะ?มองดูหยุนเจิงที่กินและดื่มอย่างบ้าคลั่งแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนและจางซูพลันอดไม่ได้สบตากันแวบหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรต่อไปหลังจากรับอาหารเสร็จ หยุนเจิงกลับไปถึงห้องเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ตามไปทันที“โอ้ เจ้ายอมเข้าห้องแล้วหรือ?”หยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มๆนับตั้งแต่ที่เขากับเมี่ยวอินเป็นอะไรกันแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ย้ายไปพักอยู่กับเยี่ยจื่อแม้นจะบอกว่าทำเพื่อให้เขากับเมี่ยวอินฝึกวิชากันดีๆ แต่แท้จริงแล้วนางกำลังงอนอยู่“หยุดล้อเล่นได้แล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องเขาเขม็ง “หากท่านไม่สบายใจก็ร้องไห้ออกมา ไม่มีใครหัวเราะเยาะท่านหรอก”“อืม ข้าไม่สบายใจจริงๆ นั่นแหละ”หยุนเจิงถอนใจ “แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ข้าร้องไห้ไม่ออกจริงๆ”“มีอะไรร้องไห้ไม่ออกกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนทำหน้าสงสัยหยุนเจิงโบกมือเรียกเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นการเรียกนางให้มานั่งเสิ่นลั่วเยี่ยนมองเขาอย่างสับสน ลังเลอยู่ครู่หน
เช้าวันถัดมา หยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนส่งฉินชีหู่กลับไปพร้อมถังเหล้าขนาดใหญ่สองใบบรรจุเหล้าไม่น้อยกว่ายี่สิบชั่งให้กับเขาด้วยก่อนจะแยกจากกัน หยุนเจิงยังกำชับฉินชีหู่ว่าอย่าดื่มเยอะด้วยฉินชีหู่เองก็ทุบอกสาบานว่าจะไม่ดื่มเยอะหลังจากส่งฉินชีหู่เสร็จ สีหน้าของเสิ่นลั่วเยี่ยนก็บูดเบี้ยวมองค้อนใส่หยุนเจิงทันทีภายใต้การเกาะติดของหยุนเจิงอย่างหน้าไม่อายแล้ว ในที่สุดเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ยอมจำนนท่าทีจิตใจกว้างขวางก่อนหน้านั้น นางเองก็เสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้วหยุนเจิงยิ้มแหะๆ แล้วสวมกอดบริเวณเอวของเสิ่นลั่วเยี่ยน “ไปกันเถอะ เราไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำไป๋สุ่ยกัน”อืม แม่นางคนนี้ตอนเอาแต่ใจดูสบายใจกว่าเยอะหากนางทำเหมือนก่อนหน้านี้อีกล่ะก็ เขาคงจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว“ไปเองเถอะ! ข้าต้องไปค่ายเหนืออีก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็ไม่อยากปฏิเสธ“ไปเถอะน่า!”หยุนเจิงกล่าวยิ้มแย้ม “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ห้ามสะเพร่าเด็ดขาด!”ถึงแม้เขาจะส่งคนให้ไปดูสถานการณ์การก่อตัวเป็นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยทุกวันก็ตาม แต่อย่างไรก็ต้องไปดูด้วยตนเองทั้งต้องรู้สถานการณ์ของแม่น้ำไป๋สุ่ย ทั้งต้องรู้ภูมิศาสตร์รอบๆ ด้วยดีที
สันดอนกลางแม่น้ำไป๋สุ่ยใกล้กับเป่ยหยวนจึงถูกเรียกว่าเป่ยหยวน ในช่วงฤดูแล้ง พื้นที่นั้นกว้างเพียงสองถึงสามร้อยเมตรเท่านั้น ระดับน้ำไม่ถึงหัวเข่าของม้าศึกด้วยซ้ำแต่ก่อนที่ตรงนั้นเคยมีสะพาน แต่หลังจากยกเมืองสามเขตไปแล้ว จักรพรรดิเหวินก็มีราชโองการสั่งให้ทำลายสะพานทิ้งส่วนนั้นก็ถือเป็นจุดสำคัญของการป้องกันของกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือเช่นกันแม่น้ำไป๋สุ่ยในขณะนี้เริ่มก่อตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว แต่ทว่าบริเวณสันดอนกลางแม่น้ำยังคงเป็นน้ำอยู่หยุนเจิงคำนวณหยาบๆ แล้ว ระยะห่างจากแม่น้ำไป๋สุ่ยกับค่ายเหนือของพวกเขาอยู่ที่ราวๆ ห้าสิบลี้เท่านั้นระยะห่างนี้ไม่ถือว่าใกล้มาก แต่สำหรับทหารม้าแล้ว ไม่ถือว่าไกลเลยหยุนเจิงเงยหน้ามองอวี๋ซื่อจง แล้วถามว่า “เจ้าลองคำนวณดูซิว่าทหารม้าเป่ยหวนจะใช้เวลาโจมตีจากแม่น้ำไป๋สุ่ยมาถึงค่ายเหนือนานเท่าไหร่?”อวี๋ซื่อจงตอบกลับ “กองทัพหน้าของทหารม้าเป่ยหวนจะต้องโจมตีด้วยอาวุธเบา และบรรทุกเสบียงอาหารแห้งมาจำกัด! จากประสบการณ์ของข้า อย่างมากใช้เวลาเพียงครึ่งวันใหญ่ๆ ก็สามารถโจมตีถึงค่ายเหนือได้แล้ว!”หยุนเจิงครุ่นคิด แล้วถามว่า “แม่น้ำไป๋สุ่ยมีหมอกหรือไม่?”อวี๋ซื่อจง “องค
ณ เมืองติ้งเป่ยเว่ยซั่วที่ถูกเซียวติ้งอู่แทนที่ได้นำราชโองการของจักรพรรดิเหวินมาที่จวนแม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ยของเว่ยเหวินจง“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าฝ่าบาทจะทรงทราบเรื่องที่เราแอบติดต่อกับไท่จื่อแล้วหรือไม่?”เว่ยซั่วถามเว่ยเหวินจงอย่างไม่สบายใจเขาประจำการอยู่ที่ด่านเป่ยลู่มานับห้าปีกว่าแล้ว!เหตุใดจักรพรรดิเหวินไม่เปลี่ยนตัวเขา แต่กลับมาเปลี่ยนในช่วงนี้ คิดอย่างไรก็ไม่ปกติ!เว่ยเหวินจงจ้องมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้ว? ไปทำอะไรอยู่ตั้งนาน?”“ข้า…”เว่ยซั่วชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด “ก่อนหน้านี้ข้าคิดน้อยไปน่ะ พี่ใหญ่ ท่านรีบช่วยข้าคิดวิธีหน่อยเถอะ!”“ลองใช้สมองเจ้าดู!” เว่ยเหวินจงตบเข้าที่ศีรษะของเว่ยซั่วเบาๆ “หากฝ่าบาทรู้เรื่องจริง ตอนนี้เจ้าคงถูกกุมตัวกลับไปที่เมืองจักรพรรดิแล้ว! คิดหรือว่าเจ้ายังจะได้ประจำการอยู่ที่ป้อมเมืองจิ้งอานน่ะ?”เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ยังคิดไม่ได้อีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าน้องชายฝาแฝดผู้นี้มาเป็นแม่ทัพได้อย่างไร!เว่ยซั่วชะงักเล็กน้อยแล้วทุบศีรษะตนเบาๆ จากนั้นทำหน้าดีใจ “จริงด้วย! ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้ แถมยังหลอกตัวเองตลอดทางอีกด้
เว่ยเหวินจงไม่คิดเช่นนั้น “ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีฮ่องเต้องค์ใดบ้างไม่ป้องกันแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน?”“ก็ได้!”เว่ยซั่วส่ายศีรษะยิ้มแห้งพร้อมถอนหายใจเบาๆเว่ยเหวินจงไม่สาธยายเรื่องนี้กับเขาอีก แล้วสั่งการไปว่า “แม่น้ำไป๋สุ่ยใกล้จะเป็นน้ำแข็งแล้ว ทหารม้าเป่ยหวนอาจจะข้ามมาโจมตีปีกข้างของเราเมื่อใดก็เป็นได้! ป้อมเมืองจิ้งอานไปจนถึงเทียนหูล้วนแต่เป็นจุดป้องกันสำคัญของเรา เจ้าต้องส่งคนไปลาดตระเวนบ่อยๆ! นอกจากนี้เราเพียงแค่ป้องกันเท่านั้น ห้ามโจมตีเด็ดขาด!”“ขอรับ!”เว่ยซั่วพยักหน้าหงึกๆ…เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ ซั่วเป่ยยิ่งอยู่ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆภายใต้การสั่งการของหยุนเจิง อวี๋ซื่อจงได้แบ่งทหารม้าในมือออกเป็นสองกลุ่ม แล้วส่งทหารม้ากลุ่มหนึ่งออกไปลาดตระเวนที่แม่น้ำไป๋สุ่ยทุกวัน พร้อมรายงานต่อหยุนเจิงถึงสถานการณ์การก่อตัวเป็นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยระหว่างนี้หยุนเจิงเองก็ไม่หยุดพักเขาไม่เพียงแต่ต้องจัดการเรื่องภายในกองทหาร แต่ยังต้องถูกเมี่ยวอินฝึกซ้อมทุกวันด้วยช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป ทักษะวรยุทธ์ของเขาถือว่าพัฒนาขึ้นไม่น้อยแต่ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายคือ เขายังคงสู้เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ไห
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ