ยามบ่าย หยุนเจิงกลับมาที่จวนมาถึงหลังจวน เสิ่นลั้วเยี่ยนยังคงฝึกซ้อมคนเหล่านั้นอยู่มองดูเสิ่นลั่วเยี่ยนที่มีกำลังมากเช่นนี้ หยุนเจิงก็อดที่จะยิ้มไม่ได้เขานึกออกแล้วว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนชอบสิ่งใดม้าศึกชั้นยอด และชุดเกราะทอง!นี่เป็นสิ่งของที่ต่อให้มีเงินก็ไม่อาจซื้อได้ม้าในคอกในวังงามมากก็จริง แต่คงเทียบกับม้าศึกชั้นยอดไม่ได้ส่วนชุดเกราะทองก็ยังพอคิดได้ชุดเกราะทองของราชวงศ์ต้าเฉียนนับว่าเป็นชุดเกราะระดับสูงที่สุด แต่ก็มีความคล้ายกับชุดเกราะส่องแสงของราชวงศ์ถังตอนปลายเล็กน้อยไม่เพียงแต่ป้องกันได้ดี แต่ยังงดงามมากอีกด้วยเสิ่นลั่วเยี่ยนต้องชอบมากแน่ๆเพียงแต่ว่า ชุดเกราะเช่นนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่อนุญาติให้คนทั่วไปสร้างขึ้นมาได้อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่เจ้าเฒ่าอันธพาลอย่างฉินลิ่วก่านที่จะบุกไปแย่งชิงให้ทำให้ตามใจชอบได้อีกสองวันก็จะถึงวันงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ค่อยหาโอกาสให้เสด็จพ่อตบรางวัลให้สักสองสามชุดตนก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว แค่ชุดเกราะระดับสูงเพียงไม่กี่ชุด เสด็จพ่อคงไม่ตระหนี่ถี่เหนียวหรอกในขณะที่หยุนเจิงกำลังคิดอยู่นั้น เสิ่นลั่วเ
ทว่า องครักษ์รับกล่องมา แต่กลับไม่กล้าย่างเท้าไป เพียงแต่ส่งสายตาบอกเป็นนัยถามหยุนเจิงเท่านั้นหยุนเจิงเป็นท่านอ๋องยังไม่ได้เอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าทำ!เสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นพระชายา นางไม่สนใจหยุนเจิงไม่เป็นไร แต่พวกเขาไม่กล้าทำเช่นนั้น!หยุนเจิงไม่มีฆ่าเสิ่นลั่วเยี่ยนผู้เป็นพระชายาแน่นอน แต่กับพวกเขาก็ไม่แน่หยุนเจิงดูออกว่าองครักษ์ลำบากใจ จึงโบกมือพลางกล่าว “กล่องนี้เราเก็บเอาไว้ใช้ที่จวนดีกว่า เจ้าไปหาฮูหยินจื่อ เมื่อครู่ข้าให้นางกล่องหนึ่งยังไม่ได้เปิด เจ้าเอากล่องนั้นไปส่งให้ที่จวนสกุลเสิ่น”นี่เป็นความสะเพร่าของเขาแล้วก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะเอาไปให้จักรพรรดิเหวินกล่องหนึ่ง ไม่ได้คิดจะเอาไปให้สกุลเสิ่นดูท่าคงต้องกลับไปเอามาจากจางซูอีกกล่องแล้ว“พ่ะย่ะค่ะ!”องครักษ์วางกล่องสบู่นั้นลง และวิ่งไปหาเยี่ยจื่อเสิ่นลั่วเยี่ยนเหลือบมองหยุนเจิงแวบหนึ่ง และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เห็นแก่ที่เจ้าให้สบู่กับข้า ข้าลืมเรื่องนั้นไปก็ได้”“เงื่อนไขเจ้าไม่ได้ยากอันใดหนิ่!”หยุนเจิงกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เดิมทีข้าคิดจะมอบชุดเกราะทองล้ำค่าให้เจ้าชุดหนึ่ง เจ้ายุติเรื่องนั้นลงเสียแล้ว แล้วคิดว่าข
เสิ่นลั่วเยี่ยนนับว่าเป็นคนรักษาคำพูดได้ดีคนหนึ่งในที่สุดยามรัตติกาลนางก็ย้ายกลับมาที่ห้องหยุนเจิงจริงก็นางเป็นพระชายาของจิ้งเป่ยอ๋อง!ไม่ว่าจะหลบอย่างไร เรื่องนี้นางก็ไม่อาจหลบได้อยู่ดีทว่า เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับหอบผ้าห่มกับที่นอนเข้ามาด้วยทันทีที่เข้ามาในห้อง เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เริ่มปูที่นอนทันทีหยุนเจิงเห็นการกระทำของนางทุกอย่าง เขาก็อดที่จะทำสีหน้ามืดมนไม่ได้ “ชายาที่รักของข้า นี่เจ้าจะเล่นอุบายอันใดอีก?”“ก็ข้าบอกแล้วว่าข้ามีรอบเดือน”เสิ่นลั่วเยี่ยนกระพริบตาปริบๆ “ท่านอ๋องจะออกศึกอยู่แล้ว แต่ฝ่าบาทยังเลือกให้เจ้ามีวันมงคล ข้าไม่อยากให้ท่านอ๋องอย่างเจ้าต้องมาแปดเปื้อนสิ่งสกปรกๆ เช่นนั้นมันจะไม่เป็นมงคลเอานะ”พระเจ้าช่วย!เพื่อไม่ต้องนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับตน ไม่ว่าเหตุผลอันใดแม่หนูผู้นี้ก็คิดออกมาได้“เอาล่ะ!”หยุนเจิงมองนางอย่างน่าขันแวบหนึ่ง “มานอนบนเตียงดีๆ เถอะ! ข้าไม่แตะต้องตัวเจ้าหรอก”“เจ้าพูดแล้วนะ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องหน้ามอง“แน่นอนอยู่แล้วหน่า!”หยุนเจิงพยักหน้ายิ้ม “อย่างไรเสียข้าก็สู้เจ้าไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าจะกลัวอันใด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู
อืม เขาต้องกลัวตนจะต่อยเขาเป็นแน่!เสิ่นลั่วเยี่ยนแอบคิดในใจหยุนเจิงไม่ได้กังวลเลยว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนจะคิดเช่นไรเพราะเขาต้องคิดเรื่องของตัวเองแล้วอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว ต้องคิดเรื่องที่จะทำหลังจากไปถึงซั่วเป่ยแล้วเวลาที่เขาต้องแย่งชิงอำนาจเหลือไม่มากแล้วจริงๆ!อีกอย่าง โดยพื้นฐานแล้วเป็นไม่ได้เลยที่เขาจะอาศัยสถานะการเป็นจิ้งเป่ยอ๋องและองค์ชายหกเพื่อให้ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพทหารมณฆลทางเหนือมอบอำนาจทหารให้กับเขา!ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพทหารมณฆลทางเหนือเว่ยเหวินจง ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับสองในเมืองเหนือว่ากันว่า คนผู้นี้เป็นหนึ่งในแม่ทัพที่เชี่ยวชาญในการรบมากที่สุดในยุคเมโสโซอิก ยากจะหยั่งถึงจนเสด็จพ่อให้ความสำคัญมากเพื่อเอาชนะใจคนผู้นี้ เสด็จพ่อถึงกับเชื่อมสัมพันธ์ให้บุตรทั้งสองฝ่ายอภิเษกกันบุตรชายคนรองของเว่ยเหวินจงได้หมั้นหมายกับองค์หญิงท่านหนึ่งไว้นานแล้วรอทั้งสองฝ่ายมีอายุพร้อมที่จะอภิเษกก็จะประทานงานอภิเษกให้หากคิดจะแย่งชิงอำนาจทหารไปจากมือเว่ยเหวินจง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือกำจัดเว่ยเหวินจงทิ้ง เมื่อถึงตอนนั้นกองทัพทหารมณฑลทางเหน
เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้า สีหน้าของหยุนเจิงดูสดใสมากในทางกลับกัน สีหน้าของเสิ่นลั่วเยี่ยนดูขุ่นเคืองมากครั้งนี้ นางกลายเป็นพระชายาที่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจจริงๆ แล้วไม่ใช่อื่นหรอก แต่เป็นเพราะตอนที่นางตื่นมาในยามเข้าเห็นตนเองกอดกับหยุนเจิง“เจ้าจ้องหน้าข้าด้วยเหตุใดกัน?”หยุนเจิงยิ้มพลางกล่าว “เจ้าเป็นคนอยากกอดข้าเอง ข้าไม่ได้อยากกอดเจ้าสักหน่อย เจ้าคงไม่โทษว่าข้าไม่รักษาคำพูดกระมัง?”“ขะ ข้า……”ใบหน้าของเสิ่นลั่วเยี่ยนแดงก่ำ นางกล่าวด้วยความโกรธว่า “ใครบอกว่าข้าอยากกอดเจ้า? ขะ ข้า……ข้าก็แค่นอนละเมอก็เท่านั้นเอง!”แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตนเองละเมอเช่นไรถึงไปกอดหยุนเจิงได้“จะละเมอเช่นไรก็เป็นเจ้าที่กอดข้า!”หยุนเจิงยิ้มพลางกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เจ้าละเมอจนเกือบจะบีบคอข้าข้ายังไม่กล่าวโทษเจ้าเลยนะ!”“ข้าจะบีบให้ตายเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องเขม็งหยุนเจิงด้วยความโกรธเกี้ยว ในใจตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าต่อไปหากนอนกับหยุนเจิงอีกต้องแยกหมอนกันนอน!หยุนเจิงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นเมื่อเห็นท่าทางลำพองใจเช่นนี้ของเขาแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ย
นอกจากนี้ หยุนเจิงยังให้นางตัดสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ที่ซั่วเป่ยออกและหากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ถึงซั่วเป่ยแล้วค่อยหาซื้อสิ่งใดที่ไม่จำเป็นต้องเอาไปก็จะไม่เอาไปเช่นนี้ ก็สามารถลดจำนวนสิ่งของที่พวกเขาต้องเอาไปได้แล้วเมื่อเห็นหยุนเจิงพูดจาฉะฉานมีหลักเกณฑ์เช่นนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้เจ้าสารเลวนี่คิดเรื่องพวกนี้ได้ด้วยหรือ“ตกลง!”เยี่ยจื่อตอบรับ และเอาสมุดบัญชีอีกเล่มออกมา “นี่เป็นบัญชีในจวนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พวกเจ้าสองคนมีใครตรวจสอบกับข้าได้บ้าง?”“ของพวกนี้มีอันใดต้องตรวจสอบกันเล่า!”เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “พวกเราเชื่อใจพี่สะใภ้ไม่ได้หรืออย่างไรกัน?”“อย่างไรก็ต้องตรวจสอบสักหน่อย!”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางกล่าว “เราต้องดูว่าในจวนเหลือกินเหลือใช้เท่าไหร่!”“เรื่องตรวจสอบบัญชีเจ้าตรวจสอบเถอะ ข้าไม่ตรวจสอบ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนลุกขึ้น “ข้าดูตัวเลขพวกนี้แล้วปวดหัว พวกเจ้าทั้งสองค่อยๆ ตรวจสอบไปก็แล้วกัน!”กล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เดินทอดน่องออกไปทันทีเมื่อก่อนตอนอยู่จวนสกุลเสิ่น นางไม่เคยถามไถ่เรื่องบัญชีในจวนเลย เรื่องบัญชีเหล่านี
ไม่กี่วันถัดมา หยุนเจิงก็เตรียมพร้อมเกี่ยวกับเรื่องที่จะเดินทางไปซั่วเป่ยคนที่อยู่ทางด้านเขาเมาเอ่อร์ก็เคลื่อนไหวขึ้นแล้ว พวกเขารีบเร่งมือทำเสบียงอาหารแห้งเช่นนี้ก็สามารถประหยัดเวลาในการเดินทางได้ด้วยระหว่างนั้นหยุนเจิงก็ไปหาจางซูเอาสบู่มากล่องหนึ่ง จางซูเองก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปซั่วเป่ยกับเขาเพียงแต่ว่า จางซูได้บอกกับหยุนเจิงอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อาจลงสนามรบได้หากสงครามซั่วเป่ยลุกเป็นไฟขึ้นมา ไม่อาจทำการค้าได้ เขาก็จะกลับสำหรับเงื่อนไขนี้หยุนเจิงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใดขอเพียงแค่จางซูไปซั่วเป่ยกับเขา เขาก็มีวิธีที่จะทำให้จางซูยอมอยู่ต่อและในขณะที่หยุนเจิงกำลังเตรียมตัวอย่างแข็งขัน วันไหว้พระจันทร์ก็ได้มาถึงแล้วงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ล้วนแต่จัดในยามรัตติกาลเท่านั้นญาติและเชื้อพระวงศ์ทุกคนต้องเข้าวังเพื่ออยู่ชมพระจันทร์กับจักรพรรดิเหวินเหล่านขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญๆ ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมเช่นกันเมื่อยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนจึงนั่งรถม้าเดินทางเข้าวัง“เจ้าจำบทกลอนเหล่านั้นได้หรือยัง?”ในรถม้า เสิ่นลั่วเยี่ยนถามหยุนเจิงเรื่องบทกลอน
“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงกรอกตามองบนใส่นางอีกครั้ง “ท่าทางเจ้าเป็นเช่นนี้เสด็จพ่อมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่เป็น! หากถูกจับได้นั่นหมายความว่าเจ้าหลอกลวงกษัตริย์! เจ้าลืมเรื่องล่าสัตว์ที่หนานย่วนไปแล้วหรือไง?”ขนมไหว้พระจันทร์เพียงชุดเดียวต่อให้ราคาแพงมากเพียงใดก็ไม่ได้มีค่ามากตามราคาดังนั้นที่ให้ทุกคนทำขนมไหว้พระจันทร์ด้วยตัวเองนำมาถวาย นับว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้ยังจะไปให้คนอื่นทำให้ หากถูกจับได้ขึ้นมาเสด็จพ่อจะคิดเช่นไร“เอาล่ะๆ! เจ้าพูดถูก พอใจหรือยัง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแสยะปากทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกอย่างไม่พอใจ “ข้าว่าเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถอันใด แต่ปากของเจ้ามันยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ไม่ว่าจะพูดเช่นไรเจ้าก็มีเหตุผลที่สุดแล้วล่ะ!”“ก็ข้ามีเหตุผลจริงๆ หนิ่!”หยุนเจิงหัวเราะชอบใจขึ้นทั้งสองทะเลาพะกันมาตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงวังหลวงแล้วงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ในปีนี้ถูกจัดขึ้นในสวนหลวงภายใต้การนำทางของคนในวัง ทั้งสองจึงเดินมาถึงสวนหลวงแล้ว“น้องหก น้องสะใภ้! พวกเจ้ามาสักทีนะ!”
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ