เมื่อทุกคนกลับมารวมตัวกันครบหมดแล้ว หยุนเจิงจึงประกาศตบรางวัลให้ทุกคนคนละหนึ่งร้อยตำลึงส่วนตู้กุยหยวนและพวกทั้งสี่คนที่เป็นรองผู้บัญชาการได้รับรางวัลคนละสองร้อยตำลึงเพียงเอ่ยปากตบรางวัลไม่กี่วินาที เงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงก็หมดลงแล้วภูมิหลังของหยุนเจิงนับว่าร่ำรวยเลยทีเดียว แค่นี้ไม่ถึงกับขนหน้าแข้งร่วงได้ม้าศึกมาแล้ว อีกทั้งยังได้เงินเป้นรางวัลเช่นนี้อีก แน่นอนว่าทุกคนล้วนดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่แยกกับตู้กุยหยวนและพวกแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าที่ทางไม่พอใจ “เจ้ามันช่างใจกว้างยิ่งนัก!”“มันก็เป็นเรื่องที่สมควรใจกว้างอยู่แล้วหนิ่!”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “อีกไม่นานพวกเขาก็จะร่วมทางไปซั่วเป่ยกับเราแล้ว ไปซั่วเป่ยในครั้งนี้ จะเป็นหรือตายก็ยากที่จะคาดเดาได้ เงินเหล่านี้ก็คือเงินช่วยเหลือครอบครัวพวกเขา”“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”เสิ่นลั่วเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น และกล่าวอย่างลำพองใจว่า “หากวันนี้ข้าไม่คิดวิธีแย่งชิงม้าศึกมา เจ้าจะได้รับชัยชนะหรือ เจ้าไม่คิดจะมอบประโยชน์ใดให้ข้าสักหน่อยหรือไง?”สำหรับการแสดงฝีมือของตนเองในวันนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนพึงพอใจเป็นอ
“พ่ะย่ะค่ะ!”ทั้งสองซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งหลังจากมอบหมายภารกิจเสร็จ หยุนเจิงก็กลับเข้าไปในห้องให้ตายเถอะ!จะมอบสิ่งใดให้เสิ่นลั่วเยี่ยนดีล่ะจะเล่นก็เล่นจะโกรธก็โกรธสิชายาตนเอง อย่างไรก็ต้องตามใจเอาไว้ก่อน!ทว่า คิดไปคิดมา หยุนเจิงก็คิดหาของเหมาะสมไม่ออกช่างเถอะ ค่อยไปถามเยี่ยจื่อก็แล้วกัน!นางเข้าใจเสิ่นลั่วเยี่ยนที่สุด นางน่าจะรู้ว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนชอบสิ่งใดและในขณะที่หยุนเจิงกำลังตัดสินใจอยู่นั้น เมี่ยวอินก็มาหาเขาในมือของนางถือกล่องอันประณีตมาใบหนึ่งหยุนเจิงแปลกใจเล็กน้อย กล่าวด้วยความสนใจว่า “นี่เจ้าเอาของขวัญมาให้ข้าหรือ?”“เดาถูกแล้วล่ะ”เมี่ยวอินพยักหน้าเบาๆ และยื่นกล่องในมือให้กับหยุนเจิง “ของสิ่งนี้ข้าน่าจะไม่ได้ใช้มันแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน!”ห๊ะ!หยุนเจิงประหลาดใจมาก จึงรีบเปิดกล่องใบนั้นในกล่องเป็นวัตถุขนาดเท่าพู่กันชิ้นหนึ่งที่ทำมาจากทองเหลืองดูๆ แล้วมีความประณีตยังนัก“มันคืออันใดกัน?”หยุนเจิงถามด้วยความแปลกใจเมี่ยวอินกล่าวอธิบายว่า “มันคือพิรุณบุปผา เป็นอาวุธลับชนิดหนึ่ง……”ในพิรุณบุปผานี้มีเข็มพิษอยู่อ
ในขณะที่เขาเดินไปที่โถงด้านหน้ากับเยี่ยจื่อนั้น หยุนเจิงก้เอ่ยปากถามนางถึงของชอบของเสิ่นลั่วเยี่ยน“ท่านช่างไม่มีความจริงใจเอาซะเลย!”เยี่ยจื่อยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “ท่านจะมอบของให้นางยังต้องมาถามข้าอีกหรือ?”หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา “ก็ข้าไม่รู้นี่หน่าว่านางชอบสิ่งใด”“ท่านคิดเอาเองเถอะ!”ในขณะที่เยี่ยจื่อตอบไปนั้น นางก็มองหยุนเจิงด้วยความเป็นสุขบนความทุกข์ของเขาหยุนเจิงจนปัญญาแล้วจริงๆนี่นางกำลังแก้แค้นตนเรื่องที่ตนแกล้งนางในครั้งก่อนหรือเฮ้อ!ดูท่าคงต้องใช้สมองคิดเองแล้วล่ะ!ไม่นานนัก หยุนเจิงก้เดินมาถึงห้องโถงด้านหน้าสตรีผู้นำอย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนผู้นี้กำลังนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนกับฉินชีหู่หน้าตาของฉินชีหู่ฟกช้ำดำเขียว ดูท่าจะถูกทุบตีอย่างน่าสังเวชจริงๆเมื่อเห็นสภาพของฉินชีหู่แล้ว หยุนเจิงยิ่งรู้สึกผิดต่อเขามากเห็นหยุนเจิงมาแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ลุกขึ้นทันที “พี่ใหญ่ฉิน ข้ามีเรื่องต้องจัดการ ต้องขอตัวก่อน”“ไม่เป็นไร!”ฉินชีหู่พยักหน้า ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยความขุ่นเคือง“พี่ใหญ่ฉิน ข้าต้องขอโทษมากจริงๆ ที่ทำให้พี่ใหญ่ฉินต้องถูกทุบตีจนกลายเป็นสภ
“ดี เยี่ยมเลย!”หยุนเจิงรีบตอบรับทันที “คืนนี้น้องรักอย่างข้าจะดื่มกับพี่ใหญ่ฉินเอง เพื่อเป็นการขอโทษพี่ใหญ่ฉินด้วย”“เจ้าพูดว่าขอโทษมันดูห่างเหินไปหน่อยแล้ว!”ฉินชีหู่กล่าวด้วยอย่างสบายว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็โทษเจ้าไม่ได้ พูดตามตรง เป็นข้าเองที่ไม่ได้เรื่อง ทำสุกเอาเผากินก็โดนหลอกเอาซะได้!”ฉินชีหู่ไม่พอใจในผลงานของตัวเองในวันนี้เลยและที่สำคัญที่สุดก็คือ เขายังไม่ทันได้สแดงฝีมือก็ถูกหลอกให้กลับไปแล้ว!เมื่อย้อนกลับไปคิดดูแล้วช่างรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเสียจริงนี่หากอยู่ในสนามรบจริงแล้วล่ะก็ มันไม่แค่ถูกทุบตีเท่านั้นแล้ว!อย่างน้อยก็ถูกโบยสิบไม้ รุนแรงสุด เกรงว่าจะถูกทุบตีจนกระบาลแตกเป็นเสี่ยงๆยามรัตติกาล ฉินชีหู่ก็อยู่ดื่มสุรากับหยุนเจิงที่จวนฉินชีหู่เป็นคนกล้าได้กล้าเสียและตรงไปตรงมา เรื่องดื่มสุราก็เช่นกันเดิมทียกซดคนละจอกและแน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะฤทธิ์สุราของต้าเฉียนไม่แรงพอคนทั่วไปล้วนแต่ดื่มสุราข้าวหมากที่ขุ่นทั้งสิ้นแม้แต่เหล้าชั้นดีในวังก็ไม่ได้ใสดั่งน้ำเมื่อดื่มจนได้ที่ ฉินชีหู่ตบไหล่หยุนเจิง และกล่าวด้วยท่วงท่าสบายว่า “น้องรัก เจ้าไปซั่วเป
หลังจากที่การประลองที่หนานย่วนจบลง หยุนเจิงก็ไม่ได้ไปเรียนยุทธวิธีการรบกับเซียวติ้งอู่อีกเลยจักรพรรดิเหวินเองก็ไม่ได้ก้าวก่ายเขาแต่อย่างใดคงจะเห็นว่าข้างกายเขามีคนคอยวางแผนกลยุทธ์อย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนและตู้กุยหยวนก้เพียงพอแล้วกระมัง ต่อให้เขาดั้นด้นเรียนยุทธวิธีการรบต่อก็ไม่ได้มีความหมายมากนักด้วยเหตุนี้หยุนเจิงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจและออกไปเที่ยวเตร่กับจางซูอีกครั้งหลังจากเสร็จจากมื้อเช้า หยุนเจิงก็ไปหาจางซูวันนี้ต้องพูดกับจางซูเรื่องที่เขาต้องไปซั่วเป่ยกับตนแล้วลองดูก่อนว่าจางซูมีท่าทางเช่นไร ถึงจะเดินหมากในก้าวต่อไปได้ในขณะที่หยุนเจิงมาถึงจวนของจางซูนั้น จางซูกำลังปรับปรุงไม้หน้ากลอยู่พอดี“ปรับไม้หน้ากลไปถึงไหนแล้วล่ะ”หยุนเจิงกล่าวถามจางซูอย่างกระตือรือร้น“ก็ไม่อย่างไร”จางซูส่ายหน้าด้วยความกลัดกลุ้มใจพลางกล่าวว่า “องค์ชายหก กระหม่อมแนะนำว่าอย่าทำสิ่งนี้เลย…..”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว จางซูก็บอกถึงปัญหามากมายที่เกี่ยวกับไม้หน้ากลปัญหาความแม่นยำนั้นแก้ไขง่าย ปัญหาของความยืดหยุ่นจางซูก็แก้ไขแล้วในภายหลังแต่ปัญหาของระยะทางที่จะยิงไปถึงนั้นมันแก้ไขยากมากจริงๆ
“เช่นนี้ไม่ต้องไปซั่วเป่ยก็ได้!”จางโบกมือยิ้มเหอะๆ พลางกล่าว “หากองค์ชายหกเห็นของดีอันใดที่ซั่วเป่ยก็ให้คนมาส่งข่าวก็พอแล้ว เมื่อถึงเวลาทำเงินข้าจะให้คนเอาไปส่งให้องค์ชายที่ซั่วเป่ย”เหอะๆเขากล่าวเช่นนี้เพียงแต่ว่า เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ เกรงว่ามันจะไม่ง่ายแล้วหน่ะสิขุนนางในราชสำนักไม่ใช่คนโง่เขลาหากค้นพบว่าเขามีความคิดรวบรวมทัพทหารก็คงไม่ปล่อยให้จางซูส่งเงินส่งเสบียงไปให้เขาหรอกให้ตายสิ!และนี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเช่นกัน!ช่างเถอะ!ไม่จำเป็นต้องล่าจางซูไปซั่วเป่ยจนถึงขั้นต้องเปิดเผยเจตนาที่แท้จริงของตนเองหรอกหากตนมีรากฐานที่มั่นคงในซั่วเป่ยแล้ว ค่อยหาใครสักคนที่ช่วยเขาทำเงินได้ก็สิ้นเรื่อง!เยี่ยจื่อก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมไม่ใช่หรอกหรือเมื่อถึงตอนนั้นหากจางซูไปซั่วเป่ยได้ก็ใช้จางซูหากไม่ได้ ก็คงจะฝึกเยี่ยจื่อแล้ว!ใช่ ตัดสินใจเช่นนี้ก็แล้วกัน!เห็นหยุนเจิงเงียบไม่เอ่ยปากกล่าวอันใดเช่นนี้ จางซูก็ดกล่าวถามลองเชิงว่า “องค์ชายหก นี่องค์ชายกำลังกลัวว่าหากไปซั่วเป่ยแล้วข้าจะไม่แบ่งกำไรให้ใช่หรือไม่ องค์ชายวางใจเถอะ ข้าจางซูไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน……”“ข้าไม่ได้กลัวสักห
ยามบ่าย หยุนเจิงกลับมาที่จวนมาถึงหลังจวน เสิ่นลั้วเยี่ยนยังคงฝึกซ้อมคนเหล่านั้นอยู่มองดูเสิ่นลั่วเยี่ยนที่มีกำลังมากเช่นนี้ หยุนเจิงก็อดที่จะยิ้มไม่ได้เขานึกออกแล้วว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนชอบสิ่งใดม้าศึกชั้นยอด และชุดเกราะทอง!นี่เป็นสิ่งของที่ต่อให้มีเงินก็ไม่อาจซื้อได้ม้าในคอกในวังงามมากก็จริง แต่คงเทียบกับม้าศึกชั้นยอดไม่ได้ส่วนชุดเกราะทองก็ยังพอคิดได้ชุดเกราะทองของราชวงศ์ต้าเฉียนนับว่าเป็นชุดเกราะระดับสูงที่สุด แต่ก็มีความคล้ายกับชุดเกราะส่องแสงของราชวงศ์ถังตอนปลายเล็กน้อยไม่เพียงแต่ป้องกันได้ดี แต่ยังงดงามมากอีกด้วยเสิ่นลั่วเยี่ยนต้องชอบมากแน่ๆเพียงแต่ว่า ชุดเกราะเช่นนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่อนุญาติให้คนทั่วไปสร้างขึ้นมาได้อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่เจ้าเฒ่าอันธพาลอย่างฉินลิ่วก่านที่จะบุกไปแย่งชิงให้ทำให้ตามใจชอบได้อีกสองวันก็จะถึงวันงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ค่อยหาโอกาสให้เสด็จพ่อตบรางวัลให้สักสองสามชุดตนก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว แค่ชุดเกราะระดับสูงเพียงไม่กี่ชุด เสด็จพ่อคงไม่ตระหนี่ถี่เหนียวหรอกในขณะที่หยุนเจิงกำลังคิดอยู่นั้น เสิ่นลั่วเ
ทว่า องครักษ์รับกล่องมา แต่กลับไม่กล้าย่างเท้าไป เพียงแต่ส่งสายตาบอกเป็นนัยถามหยุนเจิงเท่านั้นหยุนเจิงเป็นท่านอ๋องยังไม่ได้เอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าทำ!เสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นพระชายา นางไม่สนใจหยุนเจิงไม่เป็นไร แต่พวกเขาไม่กล้าทำเช่นนั้น!หยุนเจิงไม่มีฆ่าเสิ่นลั่วเยี่ยนผู้เป็นพระชายาแน่นอน แต่กับพวกเขาก็ไม่แน่หยุนเจิงดูออกว่าองครักษ์ลำบากใจ จึงโบกมือพลางกล่าว “กล่องนี้เราเก็บเอาไว้ใช้ที่จวนดีกว่า เจ้าไปหาฮูหยินจื่อ เมื่อครู่ข้าให้นางกล่องหนึ่งยังไม่ได้เปิด เจ้าเอากล่องนั้นไปส่งให้ที่จวนสกุลเสิ่น”นี่เป็นความสะเพร่าของเขาแล้วก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะเอาไปให้จักรพรรดิเหวินกล่องหนึ่ง ไม่ได้คิดจะเอาไปให้สกุลเสิ่นดูท่าคงต้องกลับไปเอามาจากจางซูอีกกล่องแล้ว“พ่ะย่ะค่ะ!”องครักษ์วางกล่องสบู่นั้นลง และวิ่งไปหาเยี่ยจื่อเสิ่นลั่วเยี่ยนเหลือบมองหยุนเจิงแวบหนึ่ง และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เห็นแก่ที่เจ้าให้สบู่กับข้า ข้าลืมเรื่องนั้นไปก็ได้”“เงื่อนไขเจ้าไม่ได้ยากอันใดหนิ่!”หยุนเจิงกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เดิมทีข้าคิดจะมอบชุดเกราะทองล้ำค่าให้เจ้าชุดหนึ่ง เจ้ายุติเรื่องนั้นลงเสียแล้ว แล้วคิดว่าข
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห