พูดตามตรงหยุนเจิงไม่เห็นด้วยกับการประเมินค่าของเมี่ยวอินที่มีต่อจักรพรรดิเหวินแม้จักรพรรดิเหวินจะไม่ใช่จักรพรรดิที่ปราดเปรื่องนัก แต่ก็ไม่ใช่จักรพรรดิที่แย่แน่นอนนับตั้งแต่จักรพรรดิเหวินได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกร ราษฎรต้าเฉียนก็อยู่เย็นเป็นสุขมีเพียงแค่ศึกซั่วเป่ยเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้นที่จักรพรรดิเหวินไม่อาจลบล้างความเสียหายนั้นได้นอกจากนั้นก็มีเรื่องการก่อกบฏขององค์รัชทายาทหากความจริงแล้วองค์รัชทายาทถูกเจ้าสามใส่ร้ายป้ายสี นั่นนับว่าเป็นความผิดอันร้ายแรงที่สุดของเขาเลยทว่า เขาก็ได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งเอาไว้ให้อย่างจับพลัดจับผลู ข้อความในจดหมายเลือดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้พูดได้เพียงแค่มีความเป็นไปได้อย่างมาก!อย่างไรเสีย หยุนลี่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี!“จะฆ่าจะแกงก็เชิญตามสบาย!”เมี่ยวอินคร้านจะเอ่ยถึงเหตุผลกับหยุนเจิง นางกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเกลียดชังว่า “ในเมื่อท่านมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว!”“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้นเล่า?”หยุนเจิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “มีชีวิตอยู่ต่อไป มันไม่ดีหรือไง?”“ม
หยุนเจิงไอค่อกแค่กหลายครั้ง หลังจากที่ตั้งสติขึ้นมาได้จึงกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่สงบว่า “ข้ากลัวตาย แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ฆ่าข้า”“เจ้าเอาอันใดมามั่นใจว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า?” เมี่ยวอินขมวดคิ้วพลางกล่าว“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่สัญชาตญาณบอกข้าก็เท่านั้น”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้มพลางกล่าว “เจ้าแค่อยากแก้แค้น ไม่ใช่คนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้า”เมี่ยวอินกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าเป็นโอรสของทรราชนั่น เจ้าไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์!”“ข้าไม่อยากฟังคำพูดพวกนี้ของเจ้า”หยุนเจิงหรอกตามองบนใส่นาง “ข้าเป็นโอรสของเสด็จพ่อคือเรื่องจริง แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชสำนัก ยิ่งเมื่อก่อนก็ยิ่งไม่ข้องเกี่ยว!”“ตระกูลเจ้าถูกสังหารเก้าชั่วโคตร จะอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ถูกต้องหรือไม่ เช่นนี้แล้ว ข้าจะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?”“สิ่งที่ข้าทำผิดก็คงจะเป็นการที่ข้าไม่ได้เขียนคำว่าผู้บริสุทธิ์ติดไว้บนหน้าผากข้าก็เท่านั้นแล้วล่ะ…”เมื่อเห็นหยุนเจิงที่กำลังโมโหนางเช่นนี้ เมี่ยวอินก็อดที่จะตกตะลึงพรึงเพริดไม่ได้เขาคงไม่ได้เป็นบ้าไปแล้วกระมัง!นางจะฆ่าเขา แต่เขากลับมาต่อล
อันที่จริงแล้วคำพูดของหยุนเจิงนั้นล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้นทว่า ตอนนี้เมี่ยวอินกลับไม่เชื่อว่าหยุนเจิงปรารถนาในเรือนร่างของนางหากหยุนเจิงปรารถนาในเรือนร่างของนางจริง แล้วเขาจะปล่อยนางไปได้อย่างไรเล่าเมี่ยวอินมองหยุนเจิงด้วยความเกลียดชัง นางลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะบอกเหตุผลที่นางหนีรอดมาได้ร่างกายของนางอ่อนแอป่วยมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อครั้งที่นางอายุหกขวบ สวรรค์เกือบจะพรากชีวิตนางไปครอบครัวของนางเชิญท่านหมอมีฝีมือมารักษา แต่ก็ไร้หนทางที่จะรักษานางให้หายได้ต่อมา ก็ได้พบกับหมอดูท่านหนึ่งหมอดูผู้นั้นทำนายทายทักเอาไว้ว่าดวงของนางกับท่านพ่อของนางขัดแย้งกัน หากนางยังอยู่กับท่านพ่อของนางต่อไป นางไม่อาจมีชีวิตรอดอายุเจ็ดขวบตอนนั้นเองก็กำลังจะตาย ท่านพ่อของนางก็ล้มป่วยจนหนักจนต้องรักษา เมื่อได้ยินคำทำนายทายทักของหมอดูผู้นั้น ก็ได้สั่งคนส่งตัวนางไปอยู่กับท่านป้าที่ตันโจวทว่า ระหว่างทางที่เดินทางไปตันโจว พวกเขากลับถูกโจรลอบทำร้าย ทุกคนที่ร่วมทางไปกับนางล้วนแต่ถูกฆ่าตายหมดสิ้นพวกโจรเหล่านั้นเห็นว่านางอาการร่อแร่จวนจะตายอยู่แล้ว ก็เลยไม่ลงมือฆ่านาง จึงทำให้นางมีชีวิตรอดมา
ตอนนี้คนมากมายล้วนแต่รู้ว่านางเป็นคนของตน หากนางไปลอบสังหารหยุนลี่เข้าล่ะก็ จะต้องนำปัญหามาถึงตัวเป็นแน่!“เจ้าจะพูดอันใด?”เมี่ยวอินกล่าวถามด้วยความสงสัย“อันที่จริงแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องพูดอย่างไร”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “สิ่งที่ข้าสามารถพูดกับเจ้าได้นั่นก็คือ หากมีโอกาส ข้าจะขอให้ท่านพ่อรื้อคดีนี้ใหม่ แม้ว่าคนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนชีพมาได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้เขาตายไปแล้วถูกตีตราว่าเป็นขุนนางทรราช“นี่เจ้าคิดจะซื้อตัวข้าอย่างนั้นหรือ?” เมี่ยวอินกล่าวถามน้ำเสียงเย็นชา“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ พลางกล่าว “อย่างไรเสียข้าก็มีทางเลือกให้เจ้าเพียงแค่สองทางเท่านั้น เจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน!”เมื่อกล่าวถึงทางเลือกนี้ เมี่ยวอินก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะทางเลือกสองทางนี้ นางไม่อยากลือกสักทาง!นางแค่ต้องการฆ่ากษัตริย์ทรราชผู้นั้นเพื่อแก้แค้นให้กับทุกคนในตระกูลของนาง“ไม่มีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”เมี่ยวอินไม่พอใจ กัดฟันกรอดกล่าวถาม“ไม่มี!”หยุนเจิงส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าอย่าได้เรียกร้องเงื่อนไขกับข้าอีกเลย พูดตามตร
หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้ว เมี่ยวอินก็ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ และไปซั่วเป่ยกับหยุนเจิงแม้ว่าการตัดสินใจของเมี่ยวอินจะทำให้หยุนเจิงดีใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาแปลกใจเช่นกันเขาคิดว่าเมี่ยวอินจะตัดสินใจจากไปเสียอีก“เหตุใดเจ้าถึงเลือกที่จะไปซั่วเป่ยกับข้าล่ะ?”หยุนเจิงฉวยโอกาสตอนที่เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ทันสังเกตหันกระซิบถามเมี่ยวอินเมี่ยวอินจ้องมองหยุนเจิงด้วยสายตาเกลียดชัง กัดฟันกรอดพลางกล่าว “ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าจะตายเช่นไร!”หยุนเจิงได้ยินเช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้าก็อันตรธานหายไปทันทีเหอะๆ!นางผู้นี้ช่างดื้อรั้นเสียจริง!ช่างเถอะ!ในเมื่อนางไม่อยากพูดความจริง ตนก็คร้านจะเค้นถามนางขอเพียงแค่นางไปซั่วเป่ยกับเขาก็เพียงพอแล้ว!หากทำให้นางยอมจำนนได้ ตนก็จะได้มีคนคอยคุ้มกันเพิ่มมาอีกหนึ่งคนไม่ใช่สิ เพิ่มขึ้นอีกสองถึงจะถูก!เพราะยังมีหมิงเย่ว์เพิ่มมาอีกคนด้วย!เฮ้อ!สวรรค์มอบความกดดันให้เขามากเกินไปแล้ว!แม่เสือสาวในจวนยังไม่ยอมจำนนต่อเขาเลย นี่เพิ่มมาอีกสองคนอีกและสิ่งที่สำคัญก็คือ ตนสู้ไม่ได้สักคน!หยุนเจิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา อีกทั้งยังกล่าวถามว
ตอนนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับฉลาดขึ้นแล้ว เพียงแวบเดียวก็ดูออกถึงเจตจำนงของหยุนเจิง“อืม”หยุนเจิงพยักหน้า “หากรู้สถานการณ์ล่วงหน้าก่อนสักเล็กน้อย ก็สามารถวางแผนล่วงหน้าได้”“คิดเป็นแต่วิธีสกปรก!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะเดินจากไปหยุนเจิงมองตามแผ่นหลังเสิ่นลั่วเยี่ยนที่เดินจากไป ก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เจ้าจะไปรู้อะไร!หากไม่ใช่เพราะไม่อยากให้ฉินชีหู่อยุ่ข้างกาย ข้าไม่ทำเช่นนี้หรอกการแสดงศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้ ต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!หลังจากที่แยกกับเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงก็รีบนำเกาเหอกับโจวมี่มุ่งหน้าไปที่จวนอวี้กั๋วกงมาเจอกับเซียวว่านโฉว หยุนเจิงยังไม่ทันได้เอ่ยปากกล่าว เซียวว่านโฉวก็หัวเราะเหอๆ ยิ้มพลางกล่าวถามว่า “องค์ชายหกมาเพื่อเรื่องการแสดงศิลปะการต่อสู้หนานย่วนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ในเมื่อดูออกแล้ว หยุนเจิงก็ไม่ปฏิเสธ พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่!”“องค์ชายหก เอาเวลาที่มาหากระหม่อมกลับไปเตรียมตัวให้ดีเถอะพ่ะย่ะค่ะ”โจวว่านโฉวยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “วันพรุ่ง กระหม่อมก็รอจะไปชมการแสดงศิลปะต่อสู้ที่หนานย่วนเช่นกัน แต่รายละเอียด
วันต่อมาแสงอรุณยังไม่ทันสาดส่อง ทหารจวนจำนวนหนึ่งพันนายได้รวมตัวกันอยู่หน้าจวนหนุนเจิงแล้วหยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนกินมื้อเช้ารองท้องนิดหน่อย จากนั้นนำกลุ่มทหารจวน เกาเหอและพวกมุ่งหน้าไปหนานย่วนเมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงหนานย่วน แสงอรุณก็โผล่ขึ้นเส้นขอบฟ้าแล้วทันทีที่พวกเขามาถึงประตู ขันทีผู้หนึ่งก็ออกมาต้อนรับ “ท่านอ๋อง พระชายา เชิญเข้าไปรอในหนานย่วนสักครู่ ฝ่าบาทใกล้เสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ตกลง!”หยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนนำทุกคนตามขันทีเข้าในใยหนานย่วนทั้งหนานย่วนว่างเปล่าพวกเขารออยู่เป็นเวลาสองก้านธูป จากนั้นก้ได้ยินเสียงพื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นจากนั้นก็ได้ยินเสียงกีบม้าดังมาเข้าใกล้เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ หยุนเจิงก็อดที่จะมีสีหน้าดำคล้ำไม่ได้บัดซบยิ่งนัก นี่มันเป็นการเคลื่อนไหวของทัพทหารม้าชัดๆ!มองดูพวกของตนเอง แม้ว่าจะนับรวมคนของเกาเหอและพวกแล้วก็ได้เพียงแค่สามสิบเท่านั้นบัดซบยิ่งนัก!รัศมีของหนานย่วนไม่ถึงห้าสิบลี้!ยังจะเอาทหารม้ากลุ่มใหญ่เช่นนั้นโอบล้อมพวกเขาอีกอย่างนั้นหรือช่างโหดร้ายมากเกินไปแล้วกระมัง!“การประลองในวันนี้ดูท่าจะยากเกิ
พวกเขาไม่มีทางที่จะหลบหนีได้เลย!หยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนยังไม่ทันเอ่ยปากร้องขอสิ่งใดออกมา จักรพรรดิเหวินก็ประกาศกฎในการประลองออกมาทุกคนที่ร่วมประลอง ไม่สามารถใช้อาวุธได้แม้แต่ชิ้นเดียวตราบใดที่จับตัวหยุนเจิงได้ การประลองก็จะจบลงในทันทีหากหยุนเจิงหนีออกจากหนานย่วนได้สำเร็จ และฝ่าด่านการห้อมล้อมไปถึงประตูทิศตะวันออกของหนานย่วนที่จักรพรรดิเหวินจัดเป็นจุดกำลังสนับสนุนไปได้ก่อนตะวันจะตกดิน นั่นนับว่าหยุนเจิงชนะทันทีที่จักรพรรดิเหวินกล่าวจบ หยุนเจิงก็หัวเราะเจื่อนพลางกล่าวถามว่า “เสด็จพ่อ มีเพียงจุดกำลังสนับสนุนจุดเดียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!แถมยังกำหนดเวลาอีกด้วย!เขาอยากจะซ่อนตัวและคิดหาทางอย่างช้าๆ ก็ทำไม่ได้!“เจ้าต้องการกี่ที่ล่ะ?”จักรพรรดิเหวินเหลือบพระเนตรมามอง “หากเจ้าถูกตามไล่ล่า กองทหารมณฑลทางเหนือจะแบ่งกองกำลังไปรอสนับสุนเจ้าอย่างนั้นหรือ หากถูกศัตรูลอบโจมตีมาทุกด้านเจ้าจะทำเช่นไร เจ้าคนเดียวสำคัญ หรือต้าเฉียนของทุกคนสำคัญ?”คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเหล่านี้ของจักรพรรดิเหวินทำให้หยุนเจิงโกรธถึงกับพูดไม่ออกเลยหยุนเจิงยิ้มเจื่อน และรีบคิดหาท
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห