“การมาเยี่ยมเยือนของพี่สามทำให้บ้านที่เรียบง่ายกลายเป็นบ้านที่เปล่งประกายจริงๆ!”หยุนเจิงเดินออกมาก้าวเท้าไปตรงหน้าหยุนลี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“น้องหก เจ้าจะเกรงใจข้าทำไมกัน!”หยุนลี่หัวเราะเหอะๆ “น้องหก ข้าเองก็ไม่อ้อมค้อมละ พี่สามกับหยวนกุยรู้จักเป็นการส่วนตัวค่อนข้างสนิท เห็นแก่พี่สามคนนี้ปล่อยหยวนกุยไปสักครั้งเถอะ! เจ้าดูสิ พ่อเขาตีเขาจนเป็นสภาพนี้แล้ว”ระหว่างพูดหยุนลี่พลางชี้ไปที่ใบหน้าบวมเป๋งเขียวช้ำของหยวนกุยที่ยืนอยู่ข้างๆหยวนฉงลงมือหนักจริงๆที่สำคัญคือครั้งนี้ไม่ลงมือหนักไม่ได้จริงๆเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนลี่แล้ว หยุนเจิงพลันเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา “พี่สาม ท่านปดข้า!”“หา?”หยุนลี่มึนงงกับคำพูดของเขาที่เอ่ยขึ้นกะทันหัน “น้องหก เจ้าหมายความว่าอย่างไร? พี่สามฟังไม่รู้ความ”“ตอนที่ท่านขอโทษข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าต่อไปหามีผู้ใดรังแกข้า ท่านจะออกหน้าแทนข้า!” หยุนเจิงมองหยุนลี่ด้วยท่าทีโมโห “ตอนนี้หยวนกุยเผยแพร่ข่าวลือทั่วเมือง มีใจหวังให้ข้าตาย ท่านไม่เพียงไม่ออกหน้าแทนข้า แต่ยังย้อนกลับไปช่วยหยวนกุยอีก!”“ข้า…”หยุนลี่ชะงักเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดอะไร
ขณะนี้ หัวใจของหยวนกุยราวกับมีฝูงแกะวิ่งผ่านเขาขอให้หยุนลี่มาช่วยพูดให้เขา!แต่หยุนลี่กลับทุบตีเขา?หยวนกุยโมโหสุดขีด ทว่ากลับไม่กล้าขัดแย้ง ทำได้เพียงยอมให้หยุนลี่รัวหมัดใส่เห็นหยวนกุยที่ถูกต่อยจนหมดสภาพแล้ว หยุนเจิงแอบยิ้มอย่างอดไม่ได้อยู่กับหยุนลี่ต้องเจอหมัดสามวันเก้าครั้ง+หยุนลี่ต้องการให้หยุนเจิงหายโกรธจึงลงมือหนักเป็นพิเศษหยวนกุยถูกต่อยจนจมูกและปากเปื้อนเลือดแทบจะเป็นลมล้มไปจนถึงบัดนี้เยี่ยจื่อถึงจะวิ่งออกมาทันเวลาพอดี “องค์ชายทั้งสองเกิดอะไรขึ้น?”“พี่จื่อเออร์ ช่วย…ช่วยข้าด้วย!”หยวนกุยเหมือนเห็นนางฟ้ามาโปรดพลางร้องขอความช่วยเหลือด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดเยี่ยจื่อแอบหัวเราะในใจ ทว่าก็รีบขอความเห็นใจกับหยุนเจิงทันที “องค์ชายหก ขอร้องล่ะให้องค์ชายสามหยุดเถอะ หากตีต่อไปหยวนกุยจะตายเอา…”“ตายก็ช่างหัวมัน!” หยุนเจิงกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ใครบอกให้เขาจงใจทำร้ายข้า แถมยังกล้ามีความคิดอยากครอบครองพระชายาองค์ชายอีก!”“องค์ชายหกใจเย็นๆ!” เยี่ยจื่อพูดจาแทนหยวนกุยต่อไป “หยวนกุยเป็นคนบ้าบิ่น พูดไม่ผ่านมันสมอง เขาไม่มีความคิดร้ายใดๆ หรอก…”หยุนเจิงแสร้งทำเหมือนโต้เถียงกับเย
เรือนหลังตำหนัก หยุนลี่คอยเค้นถามหยุนเจิงเกี่ยวกับเรื่องที่จักรพรรดิเหวินพูดกับเขาทว่าถามไปถามมาหยุนเจิงยังคงตอบคำเดียวว่าเสด็จพ่อไม่ให้ข้าพูด!หยุนลี่แทบจะอกแตกตายแล้ว แต่กลับระเบิดออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงสาบานต่อหยุนเจิงว่าตนจะไม่แพร่งพรายออกมาแน่นอนหยุนเจิงก้มหน้าแอบเบะปากเล็กน้อยข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะแพร่งพรายออกไปหรือไม่!สิ่งที่ข้าต้องการคือผลประโยชน์!เจ้าไม่แม้แต่จะนำผลประโยชน์ออกมาเลย คิดจะมามือเปล่ากับตนที่นี่หรือ?“น้องหก เจ้าไม่เชื่อใจพี่สามเพียงนี้เชียวหรือ?”หยุนลี่กล่าว “เจ้าลองคิดดู หากพี่สามพูดออกไปแล้วจะมีผลดีอะไรต่อพี่? พี่หักหลังเจ้าตอนนี้มีผลดีต่อพี่นั้นหรือ?”“ท่านมีผลดีหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่มีผลดีแน่นอน!” หยุนเจิงกล่าวคลุมเครือ ทว่าในใจกลับกำลังด่าคนโง่เขานี่อยู่ข้าพูดขนาดนี้แล้ว!หากเจ้ายังไม่นำผลประโยชน์ออกมาอีก ข้าจะไม่เสียเวลากับเจ้าอีกต่อไปแล้ว!ผลดี?หัวใจของหยุนเจิงกระเพื่อมรีบเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องมีผลดีอยู่แล้ว!”“ข้ามีผลดีอะไรกัน?”ในที่สุดหยุนเจิงก็เงยหน้าขึ้น “หากเสด็จพ่อถือโทษขึ้นมา พี่สามจะมารับโทษแทนข้านั้นรึ? เสด็จพ่อกำชับข้าหนัก
“อ้อ”หยุนเจิงแค่นเสียงออกไปเสียงหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อหยุนลี่แอบด่าว่าสารเลวในใจแล้วเริ่มโกหกพูดกล่อมหยุนเจิงหยุนเจิงเสียเวลากับเขาอยู่พักหนึ่งถึงจะแสดงออกว่าเชื่อคำพูดของเขา“เช่นนั้นเรื่องหยวนกุยก็ช่างมันเถอะนะ?”หยุนลี่ใช้โอกาสนี้กล่าว “หยวนกุยไม่กล้าหรอก! น่าจะเป็นฝีมือของปานปู้นั่นแหละ”หยุนเจิงครุ่นคิดแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะเห็นแก่พี่สาม แต่พี่สามต้องบอกหยวนกุยนะว่าห้ามคิดถึงลั่วเยี่ยนอีก”“เขายังจะกล้าอีก!”หยุนลี่ทุบอกยืนยันว่า “หากเขายังคิดถึงพระชายาองค์ชายหกอีก เจ้าไม่จำเป็นต้องปริปากพูด พี่สามจะจัดการเขาให้เอง!”“อืม ขอบพระทัยพี่สาม”หยุนเจิงพยักหน้าทั้งสองพูดคุยกันในห้องหนังสืออีกพักหนึ่งถึงได้ออกมาเมื่อเห็นหยุนเจิงส่งสายตาให้กับตน เยี่ยจื่อถึงรีบเข้าไปขอโอกาสแทนหยวนกุยหยุนลี่ได้ยินดังนั้นจึงรีบกล่าวว่า “เอาเถอะ เจ้าไม่ต้อง…”“ช่างมันเถอะ เอาเช่นนี้แล้วกัน!”หยุนเจิงพูดแทรกหยุนลี่ แล้วกล่าวกับหยวนกุยว่า “ข้าเห็นแก่พี่สามและพี่สะใภ้ข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาเรื่อง”หยวนกุยราวกับได้รับการนิรโทษกรรมพลางรีบกล่าวขอบคุณ พร้อมทั้งมอบสิ่ง
พวกหยุนลี่เพิ่งจะจากไป หยุนเจิงก็สั่งให้คนนำสัญญาที่หยุนลี่เขียนไว้ไปที่ร้านขายหยกทันทีหากไปช้าเกรงว่าหยุนลี่จะขนย้ายของในร้านจนหมด“ท่านบ้าแล้วหรือไง!”“ฝ่าบาททรงไม่ให้ท่านพูดเรื่องนี้ออกไป ท่านยังจะพูดออกไปอีก?”“เพื่อร้านขายหยกร้านหนึ่ง ท่านไม่คิดถึงชีวิตเลยหรือไง?”เมื่อได้รู้ถึงบทสนทนาระหว่างหยุนเจิงกับหยุนลี่แล้ว เยี่ยจื่อพลันโมโหขึ้นมาทันทีแล้วบ่นหยุนเจิงอย่างบ้าคลั่งมีชั่วขณะหนึ่งที่นางอยากจะเปิดศีรษะของหยุนเจิง เพื่อดูว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยอะไรกันแน่“ใจเย็นๆ อย่าตื่นตระหนก!”หยุนเจิงมองเยี่ยจื่อยิ้มๆ “เจ้าประเมินเสด็จพ่อข้าต่ำเกินไปแล้ว!”หืม?เยี่ยจื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”“เขาต้องการทดสอบข้ามากกว่า!”หยุนเจิงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “หากข้าไม่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าสาม เขาจะสงสัยว่าข้าไม่อยากคืนดีกับเจ้าสามจริงๆ…”นี่เป็นหลักเหตุและผลง่ายๆตนไม่เหมือนกับองค์ชายคนอื่นๆ ตนไม่มีรากฐานใดๆไม่ง่ายนักที่จะมีคนพูดว่าจะปกป้องตนอย่างหยุนลี่ หากตนไม่ทำดีต่อหยุนลี่ เช่นนั้นจะถือเป็นการคืนดีได้อย่างไร?เขาสงสัยว่าแท้จริงแล้วจักรพรรดิเห
แถมยังทำให้จักรพรรดิเหวินเข้าใจว่าเกาเหอยังทำงานให้เขาอย่างจงรักภักดีด้วย!เยี่ยม!เยี่ยมจริงๆ!วางแผนทุกกระบวนการทุกขั้นตอน!ความเป็นไปได้ทุกอย่างล้วนถูกเขาคาดเดาไว้หมดแล้ว!เยี่ยจื่อรู้สึกชื่นชมอย่างสุดซึ้ง แล้วมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าซับซ้อน “ตอนนี้ข้ายิ่งอยู่ยิ่งไม่เข้าใจท่านแล้ว”หยุนเจิงเม้มปากยิ้มๆ “มีตรงไหนไม่เข้าใจ? เดี๋ยวข้าบอกเจ้าเอง”“ท่านชำนาญเรื่องการวางแผนเกินไปแล้ว!”เยี่ยจื่อถอนหายใจเบาๆ “เช่นเรื่องของหยวนกุย ท่านถึงขั้นคาดเดาทุกอย่างล่วงหน้าเอาไว้แล้ว! ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามที่ท่านคิด!”“เจ้าผิดแล้ว”หยุนเจิงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าคิด แต่เป็นเพราะข้าชักนำเรื่องทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ข้าคิดต่างหาก…”ความจริงแล้วในนั้นไม่มีแผนการเยี่ยมยอดอะไรหรอกเขาชักนำให้หยุนลี่ทุบตีหยวนกุยหยุนลี่ทุบตีหยวนกุยแล้ว เยี่ยจื่อก็ออกมาพูดแทนหยวนกุยได้สำเร็จ หยวนกุยย่อมต้องเชื่อใจเยี่ยจื่อมากกว่าอยู่แล้ว!เป็นไปได้หรือที่เขาจะเชื่อใจคนที่ทุบตีเขาอย่างหยุนลี่น่ะ?สิ่งเดียวที่เดาได้คือเรื่องที่หยวนกุยจะมอบผลประโยชน์ให้กับเยี่ยจื่อแต่ทว่าการวอนขอให้ผู้
ก่อนจะถึงพิธีอภิเษกสมรสระหว่างหยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนเหลืออีกหนึ่งวันเท่านั้นจวนของหยุนเจิงยิ่งยุ่งวุ่นวายกว่าเดิมหลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จ เยี่ยจื่อและคนอื่นๆ ในจวนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานทุกซอกทุกมุมในจวนต้องทำให้สะอาดเอี่ยม โต๊ะเก้าอี้ที่จำเป็นในงานเลี้ยงมงคลก็ต้องเริ่มนำไปจัดวาง ทั้งยังต้องให้คนตามพ่อครัวหลวงไปเบิกวัตถุดิบจำเป็นที่พระราชวังพร้อมลงบันทึก…คนในจวนยุ่งวุ่นวายกันจนแทบจะแยกร่างเป็นสองคนแล้วมีเพียงหยุนเจิงและซินเซิงเท่านั้นที่ว่างอยู่เรื่องในจวนมีเยี่ยจื่อและคนจากจวนฝ่ายในมาช่วยจัดการ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลซินเซิงเพียงแค่ปรณนิบัติเขาอยู่ข้างๆ ก็เพียงพอบริเวณเรือนหลังตำหนัก หยุนเจิงฝึกซ้อมวรยุทธ์เสร็จสรรพพร้อมรับผ้าเช็ดหน้าที่ซินเซิงยื่นมาให้มาซับเหงื่อบนหน้าเขาเพิ่งจะฝึกวรยุทธ์เอาตอนนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นยอดฝีมือได้แน่นอน ทำได้เพียงภาวนาขอให้พระท่านช่วยเท่านั้นถึงแม้จะมีคนมากมายคุ้มกันความปลอดภัยของเขา แต่ตัวเขาเองก็ต้องรู้จักป้องกันตนเองบ้าง!“เฮ้อ หากพบเจอยอดฝีมือคนหนึ่งช่วยเปิดเส้นลมมปราณให้กับตนจนบรรลุเป็นปรมาจารย์เหมือนในหนังก็คงดี…”หยุนเจิ
ในเวลานี้ เจ้าสี่หยุนถิงพูดด้วยรอยยิ้ม "น้องหก วันนี้พวกเรานำของดีมาให้เจ้าด้วยนะ""ของดี?"หยุนเจิงเบิกตากว้างแล้วถามอย่างสงสัย “ของดีอะไร?"ทั้งสามคนนี้นำของดีมาให้ตนด้วยนั้นรึ?คงไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรอกกระมัง?หยุนถิงไม่ยอมบอก แล้วปรบมือในบัดดลไม่นาน ผู้ติดตามของพวกเขาทั้งสามก็ถือกล่องใบใหญ่เดินเข้ามาคราวนี้ ทำให้หยุนเจิงยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีกกล่องใหญ่ๆ เช่นนี้คงไม่ใช่ก้อนหินหรอกใช่ไหม?ขณะที่ยังสงสัย หยุนเจิงพลันหัวเราะอีกครั้งและพูดว่า "ข้ารู้แล้วว่าคืออะไร!""โอ๋?"หยุนถิงรู้สึกประหลาดใจ “น้องหกรู้แล้วงั้นหรือ?”"อื้ม!"หยุนเจิงพยักหน้าอย่างจริงจัง "ข้าเดาว่า พวกท่านรู้ว่าพิธีสมรสของข้ากำลังจะมาถึง และข้าก็ขาดแคลนเงิน ดังนั้นพวกท่านจึงส่งกล่องเงินมาให้ข้าโดยเฉพาะ! ข้าต้องขอบคุณพี่ทั้งสามมาก พวกท่านช่วยข้าคลี่คลายสถานการณ์ยากลำบากนี้ไว้ได้จริงๆ!”ไม่ว่าพวกเขาจะนำอะไรมาก็ตามตนขอแสร้งร้องว่าจนก่อนเลยแล้วกัน!หาโอกาสหลอกเงินของพวกเขามาสักหน่อยถึงกระนั้นก็ไม่ปล่อยให้สามคนนี้มายืมเงินตนหรอก“…”เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว สีหน้าขอ
"พวกเจ้าลำบากกันมากจริงๆ!" หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พลางหยุดบทสนทนาของสองพี่น้อง ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นวาบ เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น "ฝ่าบาท รีบไปดูเจ้าหนูน้อยของพวกเราเถิด..." ในระหว่างที่เสิ่นลั่วเยี่ยนพูด ฮูหยินเสิ่นก็อุ้มเด็กน้อยเข้ามาส่งให้หยุนเจิง หยุนเจิงยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อจะรับเด็กมาอุ้ม แต่เมื่อมือยื่นออกไปแล้ว กลับชะงักค้างอยู่ตรงนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มอุ้มอย่างไรดี ในฐานะคนเป็นพ่อครั้งแรก เขาทั้งตื่นเต้นและประหม่า แม้แต่การอุ้มลูกก็กลัวว่าจะทำผิดวิธี และทำให้เด็กที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้รับบาดเจ็บ เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของหยุนเจิง ทุกคนรอบข้างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ไม่เป็นไร!" ฮูหยินเสิ่นสังเกตเห็นความกังวลของหยุนเจิง จึงพูดปลอบพร้อมกับยื่นเด็กน้อยส่งให้เขา "เด็กไม่ได้เปราะบางอย่างที่เจ้าคิด อุ้มแบบข้านี่ก็พอแล้ว..." "โอ้ ได้ๆ..." หยุนเจิงมองดูท่าทางการอุ้มของฮูหยินเสิ่นอย่างละเอียด ก่อนจะรับเด็กมาด้วยความระมัดระวัง เขาอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื่นเต้นและความสงสัย พลางก้มหน้ามองลูกของตัวเอง บอกตาม
วันถัดมา หยุนเจิงและเจียเหยาก็นำคนเดินทางออกไป หยุนเจิงเร่งรีบที่จะกลับเมืองติ้งเป่ย จึงพาเพียงกองทหารองครักษ์ 200 นายเท่านั้น ปล่อยกองทัพส่วนใหญ่ที่เหลือไว้เบื้องหลัง ขบวนเดินทางด้วยความรวดเร็ว มุ่งหน้ากลับติ้งเป่ยอย่างเร่งด่วน พวกเขาเพิ่งผ่านด่านเป่ยลู่มาได้ไม่นาน ก็พบผู้ส่งสารจากติ้งเป่ยที่เดินทางมารายงานข่าว "ขอรายงานฝ่าบาท พระชายาอ๋องประสูติเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ พระโอรสและพระชายาปลอดภัยดี!" ผู้ส่งสารรายงานด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หยุนเจิงถึงกับชะงักเล็กน้อย เสิ่นลั่วเยี่ยนคลอดแล้ว? เจ้าหนูน้อยนี่ รีบร้อนจะเกิดเสียจริง! ทั้งที่ตนเองเร่งรีบกลับมาแทบตาย แต่สุดท้ายก็ไม่ทันช่วงเวลาที่ลูกคนแรกของตนเกิด คิดได้เช่นนี้ หยุนเจิงก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าทั้งเสิ่นลั่วเยี่ยนและลูกปลอดภัยดี หินหนักในใจของหยุนเจิงก็เหมือนถูกยกออกไป "ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" เหล่ากองทหารองครักษ์พากันกล่าวแสดงความยินดีต่อหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนให้กำเนิดรัชทายาทแล้ว หมายความว่าอ๋องติ้งเป่ยมีทายาทสืบทอดแล้ว! พูดแบบไม่เกรงใจ หากหยุนเจิงเกิดเหตุ
"คำพูดเช่นนี้ หากตอบกลับไม่ดี อาจจบลงด้วยการถูกส่งตัวเข้าคุก เมื่อเห็นลู่เตี้ยนถูกกดดันจนพูดไม่ออก ขุนนางฝ่ายขวาผู้ปรึกษาพระราชกิจรีบลุกขึ้นกล่าว “ฝ่าบาท ราชสำนักมีบทกฎหมายของราชสำนัก พวกเราทั้งหลายล้วนเป็นขุนนางราชสำนัก หากไม่มีความผิด แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่มีสิทธิ์บังคับให้พวกเราทั้งหลายออกแรงงานเช่นนี้ ฝ่าบาททรงปฏิบัติกับพวกเราทั้งหลายเช่นนี้ ย่อมเป็นการละเมิดบทกฎหมายของราชสำนัก” ไม่เสียชื่อขุนนางผู้ปรึกษาฝ่ายขวา ที่เปิดปากก็หยิบยกบทกฎหมายราชสำนักขึ้นมาอ้าง นี่คือกลยุทธ์ที่พวกขุนนางผู้มีหน้าที่ชี้แนะมักใช้อยู่เสมอ กฎหมายราชสำนักอยู่ที่นั่นหยุนเจิงยังไม่มีอำนาจแก้ไขกฎหมายราชสำนักได้ แม้เขาจะเป็นผู้บัญชาการเขตซั่วเป่ย และมีกฎหมายเฉพาะของตนเอง แต่กฎหมายของเขาก็ใช้ได้แค่ในเขตซั่วเป่ย ยิ่งไปกว่านั้น เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่ขึ้นกับเขตซั่วเป่ย “ข้าพูดแล้วว่า พวกเจ้าไม่ได้มีความผิด และข้าก็ไม่ได้จะให้พวกเจ้าไปออกแรงงาน นี่เรียกว่าการสัมผัสความทุกข์ยากของราษฎรต่างหาก!” หยุนเจิงมองชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อไม่นานมานี้ เสด็จพ่อของข้าเสด็จมายังซั่วเป่ย
เมื่อได้ยินคำกล่าวแบบ “นักปราชญ์” ของหยุนเจิง ทุกคนถึงกับหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของคำพูดนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่หยุนเจิงต้องการสื่อจริงๆ คืออะไร? ทุกข์ทนจิตใจ เหน็ดเหนื่อยกายา อดอยากเนื้อหนัง? หลังนิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดลู่เตี้ยนก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “โปรดให้อภัยที่ข้าน้อยโง่เขลา ไม่ทราบฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร?” “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” หยุนเจิงยิ้ม “ที่ชายแดนชิงนั้น ข้ามีเหมืองสำหรับเก็บรวบรวมถ่านหินร่วนแห่งหนึ่ง ข้าตั้งใจจะให้พวกท่านไปสัมผัสถึงความทุกข์ยากของราษฎรก่อน เพื่อที่เมื่อถึงเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ จะได้สามารถรับผิดชอบภารกิจที่เสด็จพ่อมอบหมายให้ได้อย่างดียิ่งขึ้น” เมื่อคำพูดของหยุนเจิงจบลง ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนสีไปตามกัน เหมือง...เหมืองถ่านหิน? หยุนเจิงถึงกับต้องการให้พวกเขาไปทำงานเก็บถ่านหินในเหมือง? บ้าหรือเปล่า? คนเหล่านี้ต่ำสุดก็เป็นขุนนางตำแหน่งห้าขั้นล่างสุด แต่กลับให้พวกเขาไปทำงานเหมือง? นี่คิดจะใช้พวกเขาเป็นแรงงานเช่นนั้นหรือ? ในชั่วพริบตา ความหวาดกลัวและความโกรธผุดขึ้นในใจของทุ
"เมื่อได้ยินพวกเขาแนะนำตัวทีละคนๆ หยุนเจิงก็เอ่ยในใจว่าดีจริงๆ!แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งในราชสำนักไม่น้อยเลย ต่ำสุดยังเป็นขุนนางตำแหน่งขั้นห้า ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยังไม่ถือว่าแก่เลย อนาคตยังมีพื้นที่ให้ไต่เต้าขึ้นอีกมาก สำหรับหยุนเจิง นี่นับว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่ามาก! ล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญที่เขาได้รับในวันแต่งงานเสียอีก! นี่สิถึงจะเรียกได้ว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่แท้จริง! เมื่อทุกคนแนะนำตัวเสร็จ หยุนเจิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นกล่าวว่า “พระชายาอ๋องกำลังจะคลอด บัดนี้ข้าต้องรีบเดินทางกลับเมืองติ้งเป่ย วันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับล่วงหน้าสำหรับพวกท่านแล้วกัน” “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ถูกส่งมาแล้ว สถานการณ์ในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือเป็นอย่างไรนั้น ทุกคนต่างรู้กันดี เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือนั้นในนามเป็นของราชสำนัก เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก แต่ปัญหาคือ ด่านเป่ยลู่ขวางอยู่ตรงนั้น กองทัพและคำสั่งจากราชสำนักไม่สามารถผ่านด่านเป่ยลู่ไปถึงเขตป
“นี่คือรายชื่อของขวัญทั้งหมด ขอเชิญท่านอ๋องตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ” ในช่วงบ่าย อวี๋ฝูนำคนมาจัดการบันทึกรายการของขวัญที่ได้รับจากงานแต่งของหยุนเจิงจนเสร็จสิ้น “ดีมาก ทำงานได้คล่องแคล่วดี” หยุนเจิงรับสมุดเล่มเล็กมาด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะชมอวี๋ฝูก่อน “เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋ฝูตอบด้วยท่าทีเคารพ “เอาล่ะ ข้าจะตรวจดูเอง เจ้าถอยไปก่อนเถิด” “ข้าน้อยขอทูลลา!” อวี๋ฝูก้มตัวคำนับก่อนจะถอยออกไป หยุนเจิงเดินถือสมุดเล่มเล็กไปนั่งในลานบ้าน เปิดสมุดด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม การแต่งงานระหว่างตนกับเจียเหยาเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ของขวัญที่ได้รับ ย่อมต้องมีระดับกันบ้าง! นี่น่าจะเป็นรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว! พูดก็พูดเถอะ เจ้าสามไม่ใช่กำลังขาดเงินอยู่หรือ? ถ้าเขาจัดงานแต่งทุกๆ ไม่กี่ปี เงินทองก็ไหลมาเทมาเองแล้วกระมัง? เฮ้อ! เป็นองค์รัชทายาททั้งที ยังไม่รู้จักหาเงินอีก เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาท หยุนเจิงแอบวิจารณ์หยุนลี่ในใจ ขณะพลิกเปิดสมุดเล่มเล็กอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่า อวี๋ฝูเป็นผู้ดูแลที่ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่เพียง
ตอนนี้หยุนเจิงไม่มีเวลามากพอที่จะค่อยๆ แยกแยะว่าใครซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์ จึงต้องใช้วิธีการที่เด็ดขาด ฆ่าบางคน ให้รางวัลบางคน และกดดันบางคน! ว่าแต่จะฆ่าใคร ให้รางวัลใคร หรือกดดันใคร เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก อย่างไรก็ตาม ในฟู่โจวที่กว้างใหญ่นี้ ย่อมต้องมีขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแน่นอน ในภายหลัง เขาก็จะใช้คนเหล่านั้นมาเป็นเป้าหมายจัดการ ขุนนางใหม่มารับตำแหน่ง ย่อมต้องจุดไฟสามดวงให้ลุกโชน! ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิด เจียเหยาก็เดินเข้ามาหาเขา “พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไรหรือ?” ทันทีที่มาถึง เจียเหยาก็ถามขึ้น “พรุ่งนี้เถอะ!” หยุนเจิงบีบขมับที่เริ่มปวดเล็กน้อย “วางใจเถอะ ข้าอยากกลับติ้งเป่ยมากกว่าเจ้าซะอีก!” “เรื่องนี้ข้าเชื่อ” เจียเหยายิ้มเล็กน้อย ก่อนถามต่อ “เจ้ากำลังปวดหัวเรื่องการบริหารฟู่โจวหรือ?” “ใช่แล้ว!” หยุนเจิงไม่ปฏิเสธ “ข้าเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพนำทัพออกรบ เรื่องการปกครองบ้านเมือง ข้าไม่ถนัดเลยจริงๆ...” ในชีวิตก่อน มีคนสอนเขารบ แต่ไม่มีใครสอนเขาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ยิ่งกว่านั้น ชายคนนี้ที่ร่างเดิมเป็นของเขาก็ไม่เคยเรียนร
หลังจากจักรพรรดิเหวินและหยุนลี่เสด็จออกจากหัวเมืองสี่ทิศไปแล้ว หยุนเจิงเองก็เตรียมตัวจะออกเดินทางเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกเดินทาง เขายังต้องจัดการเรื่องการบริหารบ้านเมืองในฟู่โจวให้เรียบร้อย อย่างน้อยต้องให้ขุนนางทุกระดับปฏิบัติหน้าที่ของตน ตอนนี้เขายังไม่มีเวลาหรือความคิดที่จะลงมือจัดการกับขุนนางเหล่านี้ หากออกแรงกดดันมากเกินไป เกรงว่าฟู่โจวอาจจะวุ่นวายจนควบคุมไม่อยู่ เขาต้องการให้ขุนนางเหล่านี้อยู่ในความสงบก่อน รอจนเขาจัดการเรื่องในมือเสร็จสิ้น ค่อยปรับเปลี่ยนขุนนางในฟู่โจวทีหลัง แม้ฟู่โจวจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดินแดนนอกด่าน แต่ราชการในฟู่โจวย่อมซับซ้อนกว่าดินแดนนอกด่านมาก หากเร่งรีบเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาไม่จำเป็นได้ ด้วยเหตุนี้ หยุนเจิงจึงใช้โอกาสที่ขุนนางที่มาร่วมงานแต่งของเขาและเจียเหยายังไม่กลับ เรียกพวกเขามารวมตัวกันที่จวนของเขา เขาไม่ได้รู้จักขุนนางเหล่านี้ดีนัก จึงได้มอบหมายให้จี้หราน อดีตเจ้าเมืองฟู่โจว รักษาการในหน้าที่บริหารบ้านเมืองฟู่โจวไปก่อน หลังจากประกาศเรื่องนี้เสร็จ หยุนเจิงก็กล่าวเตือนขุนนางทั้งหลายว่า “ข้าเป็นคนที่นำทัพออกศึก อารมณ
“อืม เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจให้มาก!” จักรพรรดิเหวินตรัสเตือน “อย่าปล่อยให้คนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่รอบตัวเจ้าเพื่อสืบข่าวอีกต่อไป!” ในชั่วขณะนั้น หยุนลี่เริ่มคิดถึงผู้คนที่เคยร่วมวางแผนกำจัดหยุนเจิงกับเขาก่อนหน้านี้ เฉียวเหยียนเซียน ฮั่วเหวินจิ้ง... แม้กระทั่งหยวนกุยก็ยังไม่รอดพ้นจากความสงสัยของเขา แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครแสดงพฤติกรรมน่าสงสัย หรือว่า คนของเจ้าหกที่แฝงตัวอยู่ จะซ่อนตัวได้ลึกถึงเพียงนี้? “กลับเมืองหลวงแล้วค่อยตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที!” จักรพรรดิเหวินยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หยุนลี่วางใจ ก่อนจะมองเขาด้วยความอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเจ้าหกบีบเงินไปถึงสี่ล้านตำลึง ในใจเจ้าคงอึดอัดและเจ็บปวด ข้าจึงให้จางซูช่วยสร้างโรงกลั่นสุราไว้ กลับไป ข้าจะยกโรงกลั่นนั้นให้เจ้า” “เสด็จพ่อ เรื่องนี้... ลูกไม่อาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ!” หยุนลี่ตกใจ รีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือไปมา “ไม่มีอะไรที่เจ้าจะรับไม่ได้! แผ่นดินนี้ข้าก็จะยกให้เจ้าแล้ว ข้ายังจะมาสนใจโรงกลั่นสุราอีกหรือ?” จักรพรรดิเหวินตรัสพร้อมส่ายพระพักตร์เบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน