“ได้ข่าวหรือไม่ว่าในงานประพันธ์กวีที่สมาคมกวีฉวินฟางย่วนเมื่อคืนนี้มีคุณชายท่านหนึ่งเขียนบทกวีได้ทั้งหมดสี่บทได้เวลาไม่ถึงสองก้านธูป ทำเอาคนในงานต่างต้องหน้าถอดสีกันเลย…”“จะไม่ได้ข่าวได้อย่างไรเล่า ได้ยินว่าคุณชายหลิวผู้นั้นยังก่นด่าผู้คนว่าโอดครวญอย่างไร้เหตุผล…”“ใช่ๆ คุณชายหลิวเป็นคนฮึกเหิม ชื่นมความตั้งใจจะเดินทางไปซั่วเป่ยขององค์ชายหก”“ทุกคนถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องตาย อาจจะหนักกว่าภูเขา หรือเบากว่าขนนก คำพูดของคุณชายหลิวผู้นั้นได้พูดถึงความน่าเศร้าของการเดินทางสู่ซั่วเป่ยขององค์ชายหก…”“ไม่เคยมีเคยจักรพรรดิและองค์ชายที่ปราดเปรื่องเช่นนี้มาก่อน…”วันถัดมา เกิดความชุลมุนวุ่นวายไปทั้งเมืองหลวงไม่ว่าบนท้องถนนหรือตรอกซอยเล็กล้วนสามารถเห็นกลุ่มคนสามถึงห้าคนรวมตัวกันวิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนฉวินฟางย่วนนอกจากบทกวีทั้งสี่บทของหยุนเจิงที่ถูกแพร่ออกไปทั่วแล้ว ยังมีข่าวเรื่ององค์ชายหกจะเดินทางไปยังซั่วเป่ย และยอมตายเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารออกมาด้วยการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิเหวินในครั้งนี้ ก็ได้รับการชื่นชมมากมายจากผู้คนในเมืองหลวงด้วยแต่ทว่าในราชวังหลวง จ
เรื่องใหญ่อะไรอย่างนี้!ตาแก่นี่ก็เหมือนกัน แค่เรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนี้ถึงกับต้องทรมานขนาดนั้นทำเอาตัวเองคิดว่าได้ก่อกรรมทำชั่วจนสวรรค์และผู้คนต่างก็พากันเคียดแค้นเสียอีก!ขณะที่จักรพรรดิเหวินช่วยพยุงจางฮว๋ายนั่งด้วยตัวเอง มู่ซุ่นก็พรวดพราดเข้ามา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พอเหลือบมองจางฮว๋ายที่อยู่ข้างๆ เขาก็ลังเลจักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วพูดว่า “ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ อย่ามัวแต่กระอึกกระอัก”มู่ซุ่นยิ้มอย่างขออภัย แล้วจึงพูดว่า “ฝ่าบาท คนที่แต่งบทกวีในฉวินฟางย่วนเมื่อคืน ดูเหมือนจะรู้จักจางซูหลานชายของจางเก๋อเหล่าพ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ”สีหน้าของจักรพรรดิเหวินเปลี่ยนไปจางฮว๋ายเห็นดังนี้ ก็ถอนหายใจพูดขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิด สารเลวจางซูคนนั้นคือคนที่พาองค์ชายหกไปที่ฉวินฟางย่วนเมื่อคืนวาน สารเลวนั่นยังเรียกหญิงนางโลมนับสิบคนมารับใช้อย่างไร้ยางอาย...”ครั้นจักรพรรดิเหวินได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็กระตุกอย่างรุนแรงยังเรียกหญิงนางโลมสิบคนมาด้วย?สารเลวนี่ ไม่กลัวตายบนอกสตรีหรอกรึจักรพรรดิเหวินเงียบไปครู่หนึ่ง สั่งการมู่ซุ่นทันที “ไป ให้คนไปถามจางซูว่า ใครเป็นผู้ที่ประพันธ์บ
ในช่วงบ่าย หยุนเจิงไปพบจางซูตามปกติทันทีที่เขามาถึงทางเข้าลานบ้านของจางซู ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากข้างใน“จะฆ่าคนแล้ว!”“ช่วยด้วย...”เมื่อได้ยินเสียงนี้ หยุนเจิงก็ต้องตกใจเล็กน้อยนี่ดูเหมือนจะเป็นเสียงของจางซู?เกิดอะไรขึ้นกับจางซู“เร็ว รีบเข้าไปดูเร็วเข้า!”หยุนเจิงรีบร้องเรียกเกาเหอพวกเขาให้รีบเข้าไปในเรือนทันทีที่พวกเขาบุกเข้าไปในเรือนด้านใน ก็เห็นจางซูที่จมูกบวมช้ำใบหน้าบวมปูดกำลังวิ่งหนีขณะที่ร้องเรียกหาบุพการีเป็นการใหญ่แม้ว่าจางซูจะอ้วนท้วนมาก แต่พอเป็นการหนีเอาชีวิตรอดเขากลับไม่ช้าเลย“องค์ชายหก ช่วยด้วย!”เมื่อเห็นหยุนเจิง จู่ๆ จางซูก็วิ่งเข้าไปหาราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต“จางซู โง่เง่าเต่าตุ่น! เจ้าคิดหรือว่าจะวิ่งหนีพ้น”เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นตามหลังจางซูหลังจากนั้น ร่างสีชมพูก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังจางซูนั่นคือ...เสิ่นลั่วเยี่ยน?หยุนเจิงตกตะลึงงัน มองดูเสิ่นลั่วเยี่ยนที่กำลังถือไม้กระบองไล่ตีจางซูอย่างอึ้งๆพอรู้สึกตัว หยุนเจิงก็รีบวิ่งไปหา ยืนกั้นกลางอยู่ระหว่างเสิ่นลั่วเยี่ยนกับจางซู“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ”หยุนเจิงมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยนอ
เสิ่นลั่วเยี่ยนสะอึก หันไปมองหยุนเจิงอย่างโกรธเคือง “ข้าทำเพื่อผู้ใดเล่า ข้าอยากจะสับร่างพวกเจ้าสองคนจริงๆ เลยเชียว!”ครั้งนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธจริงๆหยุนเจิงก่อเรื่องในฉวินฟางย่วนขนาดนี้ ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงรู้แล้วว่าจักรพรรดิเหวินมีราชโองการว่าหลังจากเขาแต่งงานแล้วให้ไปที่ซั่วเป่ยตอนนี้เขามีชื่อเสียงดีแล้ว ทุกคนภายนอกต่างชื่นชมเขาในความกล้าหาญของเขา และยกย่องเขาที่ไม่กลัวความตายแต่พอเขาก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าไปที่ซั่วเป่ยก็เท่ากับไปตายเท่านั้น!จะให้นางไม่โกรธได้หรือไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่โกรธ แต่ฮูหยินเสิ่นก็กระทืบเท้าอย่างโกรธจัดโชคดีที่คำพูดเหล่านี้มาจากปากของหยุนเจิงเองหากออกมาจากปากของคนอื่น นางคงจะสับคนสารเลวนั่นเป็นชิ้นๆ จริงๆ!“ก็ข้าดื่มจนเมามายไม่ได้สติ”หยุนเจิงเผชิญสายตากับเสิ่นลั่วเยี่ยน “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป เจ้ามาก่อเรื่องที่นี่จะมีประโยชน์อะไร พรุ่งนี้เสด็จพ่อของข้าจะไปล่าสัตว์ที่หนานย่วน ให้คนมาแจ้งข้าเป็นพิเศษว่าต้องพาเจ้าไปด้วย! ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ขอให้เสด็จพ่อมีราชโองการยกเลิกการแต่งงานขอ
เมื่อถึงยามอัสดง เยี่ยจื่อรีบกลับไปยังจวนสกุลเสิ่นนางเพิ่งจะทอดน่องเดินเข้าประตูจวนไป ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ภายในจวน“ท่านแม่ล่ะ?”เยี่ยจื่อกล่าวถามพี่สะใภ้ใหญ่เว่ยซวงเว่ยซวงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านแม่กับลั่วเยี่ยนอารมณ์ไม่ค่อยดี ฝึกวรยุทธ์กันอยู่ที่ลานหลังจวน!”“ข้าจะไปหาท่าน”หลังจากพูดคุยกับเว่ยซวงไปไม่กี่คำ เยี่ยจื่อก็รีบวิ่งไปที่ลานหลังจวนอย่างรวดเร็วยังไม่ทันผ่านประตูหลังจวน นางก็ได้ยินเสียงหอกดาบปะทะกันแล้วเยี่ยจื่อเดินเข้าประตูลานหลังจวนก็เห็นเสินลั่วเยี่ยนกับท่านแม่กำลังประลองยุทธ์กันอยู่คาดว่าตอนนี้พวกนางน่าจะโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟจนมิอาจระงับได้แล้ว จึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้เพื่อระบายความโกรธภายในใจออกมาเมื่อเห็นเยี่ยจื่อเข้ามา สองแม่ลูกคู่นี้จึงหยุดการประลองลง“เจ้าสารเลวนั่นใช้ให้เจ้ากลับมาโน้มน้าวพวกเราใช่หรือไม่?”ฮูหยินเขวี้ยงหอกยาวในมือไปข้างๆ และกล่าวถามอย่างไม่สบอารมณ์เยี่ยจื่อรู้สึกประหลาดใจถึงขั้นเรียกหยุนเจิงเช่นนี้เลยหรือ!ดูท่าท่านแม่คงจะโกรธเอามากจริงๆ!“ข้ากลับมาเยี่ยมท่านแม่บ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ?”เยี่ยจื่อเม้มปากยิ้มเล็กน้อย
หลังจากที่ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินเสิ่นก็เรียกสติกลับมาอย่างยากลำบาก “นี่เจ้าไม่ได้โกหกแม่ใช่หรือไม่?”“ข้าจะโกหกท่านแม่ด้วยเหตุใดกันเล่าเจ้าคะ?”เยี่ยจื่อส่ายหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านแม่ลองคิดดูสิเจ้าคะ องค์ชายหกไม่ได้มีรากฐานอันใด ระหว่างอยู่เมืองหลวงกับไปซั่วเป่ย ท่านแม่คิดว่าที่ใดที่จะเป็นโอกาสดีสำหรับเขาเจ้าคะ?”ฮูหยินเสิ่นได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดขึ้นอีกครั้งว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว หากหยุนเจิงเป็นคนที่มีพรวสรรค์การที่เขาไปซั่วเป่ยเป็นหนทางที่ดีกว่าแน่นอนทว่า น่าเสียดายที่หยุนเจิงเป็นเพียงแค่องค์ชายที่ไร้ความสามารถทั้งทางบุ๋นและทางบู๊การไปซั่วเป่ยของเขา อย่างไรก็เสียก็เหมือนไปตายอยู่ดีฮูหยินเสิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวความคิดของตนเองให้ลูกสะใภ้รองฟัง“เจ้าประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว”จื่อเยี่ยส่ายหน้ายิ้มพลางกล่าวว่า “กา รต่อสู้ของเขาไม่ได้จริงๆ แต่สติปัญญาของเขาเหนือข้ามาก มิเช่นนั้นแล้วท่านแม่คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในจวนเขาได้นานถึงเพียงนี้”ในขณะที่กล่าวนั้นเยี่ยจื่อก็กดเสียงต่ำลงอีกครั้ง และแพร่งพรายเรื่องรูปปั้นหินและถาดรองที่หยุนเจิงให้นางแพร่งพรายออกไปเม
ยามรัตติกาล ณ ห้องทรงพระอักษรเนื่องจากวันพรุ่งต้องออกเดินทางไปล่าสัตว์ ในค่ำคืนนี้จักรพรรดิเหวินจึงไม่ได้ประทับอยู่กับสนมนางใดและแน่นอนว่าพระองค์เองก็ไม่ได้อารมณ์เช่นนั้น“ตรวจสอบรู้แจ้งแล้วหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินเอนกายพักผ่อนอยู่บนแท่ยพระบรรมในห้องทรงพระอักษร โดยมีนางกำนัลสองนางคุกเข่านวดพระชงฆ์ให้จักรพรรดิเหวินอยู่ และมู่ซุ่นโค้งคำนับอยู่ข้างๆ“ตรวจสอบได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”มู่ซุ่นรายงานว่า “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเมิ่งกว่างไป๋ บุตรชายของหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเมิ่งรั่ววั่งพ่ะย่ะค่ะ”เมิ่งกว่างไป๋อย่างนั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินขมวดพระขนงขึ้นพลางตรัสถาม “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?”มู่ซุ่ยตอบ “หลังจากที่องค์ชายหกดื่มจนเมาและได้เขียนบทกวีขึ้น ด้วยความเมาจึงกล่าวตำหนิผู้เข้าร่วมการแต่งประพันธ์กวีเหล่านั้นว่าตีตนไปก่อนไข้ และได้กล่าวถึงเรื่องที่องค์ชายหกจะไปซั่วเป่ย จึงทำให้เมิ่งกว่างไป๋เกิดความสงสัยขึ้น องค์ชายหกจึงโต้แย้งไปด้วยความโกรธ จึงทำให้เกิดเรื่องราวหลังจากนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”“สงสัยหรือ?”จักรพรรดิเหวินหรี่พระเนตรพลางตรัส “เมิ่งกว่างไป๋สงสัยอันใด?”มู่ซุ่นมองจั
“เจ้าหกไม่ได้เอามา แต่ชายาของเขาเอามาก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรอกหรือ!”“อย่างไรเสีย เจ้าหกก็ไม่มีแรงแม้แต่จะง้างธนู เสด็จพ่อตั้งใจให้เจ้าหกพาชายามาด้วยเช่นนี้ ก็คงอยากจะให้ชายาองค์ชายหกล่าสัตว์แทนเจ้าหกกระมัง”“เจ้าหก ได้ยินว่าไปสร้างความฮือฮาที่เจ้าฉวินฟางย่วน! นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่เคยออกจากเมืองหลวงมาก่อนเช่นเจ้าจะประพันธ์กวีเกี่ยวกับสนามรบออกมาได้มากมายเพียงนั้น”“เจ้าหก กวีเหล่านั้นเจ้าลอกใครมากันแน่ ไหนเจ้าลองบอกพี่สามมาซิ พี่สามจะไปลอกมาสักบทสองบท…”เพียงฟังแวบแรก หยุนเจิงก็รับรู้ได้ถึงการเยาะเย้ยขององค์ชายเหล่านี้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากที่หยุนเจิงได้จินตนาการเอาไว้เลยหยุนเจิงแอบส่ายหน้าเบาๆคนปัญญาอ่อนพวกนี้ โชคดีที่เป็นองค์ชายเอาแต่คอยเยาะเย้ยตนทั้งวี่ทั้งวันด้วยเหตุอันใดกันจิตใจช่างต่ำทรามยิ่งนักหยุนเจิงพลางทอดถอนใจด้วยความหดหู่ พลางดึงม้าเดินไปตรงหน้าคนเหล่านั้น พลางจ้องหน้ามองคนเหล่านี้ มองจนคนเหล่านี้รู้สึกอึดอัด“เจ้ามองอันใด?”หยุนลี่จ้องหน้าหยุนเจิง กล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์หยุนเจิงแสยะยิ้มมุมปาก “พี่สี่รู้”เจ้าสี่?องค
"เมื่อได้ยินพวกเขาแนะนำตัวทีละคนๆ หยุนเจิงก็เอ่ยในใจว่าดีจริงๆ!แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งในราชสำนักไม่น้อยเลย ต่ำสุดยังเป็นขุนนางตำแหน่งขั้นห้า ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยังไม่ถือว่าแก่เลย อนาคตยังมีพื้นที่ให้ไต่เต้าขึ้นอีกมาก สำหรับหยุนเจิง นี่นับว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่ามาก! ล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญที่เขาได้รับในวันแต่งงานเสียอีก! นี่สิถึงจะเรียกได้ว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่แท้จริง! เมื่อทุกคนแนะนำตัวเสร็จ หยุนเจิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นกล่าวว่า “พระชายาอ๋องกำลังจะคลอด บัดนี้ข้าต้องรีบเดินทางกลับเมืองติ้งเป่ย วันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับล่วงหน้าสำหรับพวกท่านแล้วกัน” “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ถูกส่งมาแล้ว สถานการณ์ในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือเป็นอย่างไรนั้น ทุกคนต่างรู้กันดี เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือนั้นในนามเป็นของราชสำนัก เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก แต่ปัญหาคือ ด่านเป่ยลู่ขวางอยู่ตรงนั้น กองทัพและคำสั่งจากราชสำนักไม่สามารถผ่านด่านเป่ยลู่ไปถึงเขตป
“นี่คือรายชื่อของขวัญทั้งหมด ขอเชิญท่านอ๋องตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ” ในช่วงบ่าย อวี๋ฝูนำคนมาจัดการบันทึกรายการของขวัญที่ได้รับจากงานแต่งของหยุนเจิงจนเสร็จสิ้น “ดีมาก ทำงานได้คล่องแคล่วดี” หยุนเจิงรับสมุดเล่มเล็กมาด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะชมอวี๋ฝูก่อน “เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋ฝูตอบด้วยท่าทีเคารพ “เอาล่ะ ข้าจะตรวจดูเอง เจ้าถอยไปก่อนเถิด” “ข้าน้อยขอทูลลา!” อวี๋ฝูก้มตัวคำนับก่อนจะถอยออกไป หยุนเจิงเดินถือสมุดเล่มเล็กไปนั่งในลานบ้าน เปิดสมุดด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม การแต่งงานระหว่างตนกับเจียเหยาเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ของขวัญที่ได้รับ ย่อมต้องมีระดับกันบ้าง! นี่น่าจะเป็นรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว! พูดก็พูดเถอะ เจ้าสามไม่ใช่กำลังขาดเงินอยู่หรือ? ถ้าเขาจัดงานแต่งทุกๆ ไม่กี่ปี เงินทองก็ไหลมาเทมาเองแล้วกระมัง? เฮ้อ! เป็นองค์รัชทายาททั้งที ยังไม่รู้จักหาเงินอีก เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาท หยุนเจิงแอบวิจารณ์หยุนลี่ในใจ ขณะพลิกเปิดสมุดเล่มเล็กอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่า อวี๋ฝูเป็นผู้ดูแลที่ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่เพียง
ตอนนี้หยุนเจิงไม่มีเวลามากพอที่จะค่อยๆ แยกแยะว่าใครซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์ จึงต้องใช้วิธีการที่เด็ดขาด ฆ่าบางคน ให้รางวัลบางคน และกดดันบางคน! ว่าแต่จะฆ่าใคร ให้รางวัลใคร หรือกดดันใคร เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก อย่างไรก็ตาม ในฟู่โจวที่กว้างใหญ่นี้ ย่อมต้องมีขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแน่นอน ในภายหลัง เขาก็จะใช้คนเหล่านั้นมาเป็นเป้าหมายจัดการ ขุนนางใหม่มารับตำแหน่ง ย่อมต้องจุดไฟสามดวงให้ลุกโชน! ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิด เจียเหยาก็เดินเข้ามาหาเขา “พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไรหรือ?” ทันทีที่มาถึง เจียเหยาก็ถามขึ้น “พรุ่งนี้เถอะ!” หยุนเจิงบีบขมับที่เริ่มปวดเล็กน้อย “วางใจเถอะ ข้าอยากกลับติ้งเป่ยมากกว่าเจ้าซะอีก!” “เรื่องนี้ข้าเชื่อ” เจียเหยายิ้มเล็กน้อย ก่อนถามต่อ “เจ้ากำลังปวดหัวเรื่องการบริหารฟู่โจวหรือ?” “ใช่แล้ว!” หยุนเจิงไม่ปฏิเสธ “ข้าเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพนำทัพออกรบ เรื่องการปกครองบ้านเมือง ข้าไม่ถนัดเลยจริงๆ...” ในชีวิตก่อน มีคนสอนเขารบ แต่ไม่มีใครสอนเขาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ยิ่งกว่านั้น ชายคนนี้ที่ร่างเดิมเป็นของเขาก็ไม่เคยเรียนร
หลังจากจักรพรรดิเหวินและหยุนลี่เสด็จออกจากหัวเมืองสี่ทิศไปแล้ว หยุนเจิงเองก็เตรียมตัวจะออกเดินทางเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกเดินทาง เขายังต้องจัดการเรื่องการบริหารบ้านเมืองในฟู่โจวให้เรียบร้อย อย่างน้อยต้องให้ขุนนางทุกระดับปฏิบัติหน้าที่ของตน ตอนนี้เขายังไม่มีเวลาหรือความคิดที่จะลงมือจัดการกับขุนนางเหล่านี้ หากออกแรงกดดันมากเกินไป เกรงว่าฟู่โจวอาจจะวุ่นวายจนควบคุมไม่อยู่ เขาต้องการให้ขุนนางเหล่านี้อยู่ในความสงบก่อน รอจนเขาจัดการเรื่องในมือเสร็จสิ้น ค่อยปรับเปลี่ยนขุนนางในฟู่โจวทีหลัง แม้ฟู่โจวจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดินแดนนอกด่าน แต่ราชการในฟู่โจวย่อมซับซ้อนกว่าดินแดนนอกด่านมาก หากเร่งรีบเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาไม่จำเป็นได้ ด้วยเหตุนี้ หยุนเจิงจึงใช้โอกาสที่ขุนนางที่มาร่วมงานแต่งของเขาและเจียเหยายังไม่กลับ เรียกพวกเขามารวมตัวกันที่จวนของเขา เขาไม่ได้รู้จักขุนนางเหล่านี้ดีนัก จึงได้มอบหมายให้จี้หราน อดีตเจ้าเมืองฟู่โจว รักษาการในหน้าที่บริหารบ้านเมืองฟู่โจวไปก่อน หลังจากประกาศเรื่องนี้เสร็จ หยุนเจิงก็กล่าวเตือนขุนนางทั้งหลายว่า “ข้าเป็นคนที่นำทัพออกศึก อารมณ
“อืม เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจให้มาก!” จักรพรรดิเหวินตรัสเตือน “อย่าปล่อยให้คนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่รอบตัวเจ้าเพื่อสืบข่าวอีกต่อไป!” ในชั่วขณะนั้น หยุนลี่เริ่มคิดถึงผู้คนที่เคยร่วมวางแผนกำจัดหยุนเจิงกับเขาก่อนหน้านี้ เฉียวเหยียนเซียน ฮั่วเหวินจิ้ง... แม้กระทั่งหยวนกุยก็ยังไม่รอดพ้นจากความสงสัยของเขา แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครแสดงพฤติกรรมน่าสงสัย หรือว่า คนของเจ้าหกที่แฝงตัวอยู่ จะซ่อนตัวได้ลึกถึงเพียงนี้? “กลับเมืองหลวงแล้วค่อยตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที!” จักรพรรดิเหวินยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หยุนลี่วางใจ ก่อนจะมองเขาด้วยความอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเจ้าหกบีบเงินไปถึงสี่ล้านตำลึง ในใจเจ้าคงอึดอัดและเจ็บปวด ข้าจึงให้จางซูช่วยสร้างโรงกลั่นสุราไว้ กลับไป ข้าจะยกโรงกลั่นนั้นให้เจ้า” “เสด็จพ่อ เรื่องนี้... ลูกไม่อาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ!” หยุนลี่ตกใจ รีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือไปมา “ไม่มีอะไรที่เจ้าจะรับไม่ได้! แผ่นดินนี้ข้าก็จะยกให้เจ้าแล้ว ข้ายังจะมาสนใจโรงกลั่นสุราอีกหรือ?” จักรพรรดิเหวินตรัสพร้อมส่ายพระพักตร์เบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จักรพรรดิเหวินทรงส่งคนมาแจ้งว่า พระองค์จะเสด็จออกจากหัวเมืองสี่ทิศในวันนี้ เมื่อได้รับข่าวนี้ หยุนเจิงถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตาม ก่อนเสด็จจากไป จักรพรรดิเหวินได้ทรงมีพระบัญชาให้โจวเต้ากงนำกองทัพไปประจำการแนวหน้าที่จูโจว และให้จ้าวจี๋นำกองทัพกลับไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ กองกำลังในมือของหยุนเจิงมีมากพออยู่แล้ว หากปล่อยให้กองทัพสามหมื่นนายในจูโจวอยู่ภายใต้การควบคุมของหยุนเจิงด้วย อาจทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาได้ สำหรับเรื่องนี้ หยุนเจิงไม่มีความคิดเห็นใดๆ เมื่อสองวันก่อน ตอนที่เขาเข้าไปถวายพระพรจักรพรรดิเหวิน พระองค์ก็ได้ทรงบอกเรื่องนี้ไว้แล้ว อย่างไรเสีย โจวเต้ากงก็ได้ส่งข่าวลับมาให้เขาทราบอยู่ก่อนแล้ว หากเขาต้องการบุกจูโจวจริงๆ โจวเต้ากงก็คงจะนำกองทัพยอมจำนนเสียเอง หลังจากทานมื้อเช้า หยุนเจิงและเจียเหยาก็นำขุนนางทั้งหลายออกไปส่งจักรพรรดิเหวิน หยุนลี่ และคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงพิธีการออกจากหัวเมืองสี่ทิศ ก่อนจากกัน หยุนเจิงก็รักษาคำพูดโดยการคืนป้ายทองคำให้แก่จักรพรรดิเหวิน และกระซิบพูดบางอย่างกับหยุนลี่ ไม่นานหลังจากออกจากหัวเม
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดจบ หยุนลี่ก็รู้สึกเสียใจในทันที ตอนนี้เขาควรจะแสดงความอ่อนข้อให้ไอ้สุนัขนี่แท้ๆ! ทำไมถึงปล่อยให้คำพูดไม่กี่คำของมันทำให้ตนต้องมาต่อกรกับมันอีกแล้วล่ะ? เฮ้อ! เจ้าไอ้สุนัขนี่ เวลาพูดจามันช่างยั่วโมโหจริงๆ! “ได้ๆ” หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง “เช่นนั้นข้าขอไปส่งพี่สามด้วยตนเอง” “ไม่ต้องลำบากน้องหกหรอก!” หยุนลี่รีบปฏิเสธ ไม่อยากอยู่ต่อให้นานไปกว่านี้ เกรงว่าจะถูกเล่นงานอีก “ก็ได้!” หยุนเจิงไม่ดึงดัน “อ้อ จริงสิ พี่สาม ตอนเดินทางผ่านจูโจว ก็อย่าลืมช่วยข้าเก็บหนี้ด้วยนะ” เก็บหนี้? เมื่อได้ยินสองคำนี้ หยุนลี่แทบจะกระโดดขึ้นมาด่ามารดา ถ้าเสด็จพ่อไม่เตือน เขาคงไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกเจ้าไอ้สุนัขนี่หลอกอีกแล้ว! ไร้ยางอาย! หยุนลี่สบถอย่างโมโหในใจ แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง “น้องหกไม่ต้องห่วง พี่สามในฐานะองค์รัชทายาท ก็แพ้เดิมพันเจ้าต่อหน้าผู้คนไปแล้ว พี่สามจะผิดคำพูดได้อย่างไร?” หยุนลี่เริ่มตระหนักว่าการพูดคุยกับหยุนเจิงก็มีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อย มันช่วยฝึกความอดทนของเขาได้เป็นอย่างดี “ขอบคุณพี่สามมาก!” ใบหน้าของหยุนเจิงเต็มไปด
จวนอ๋องขณะที่หยุนเจิงและเจียเหยากำลังเตรียมตัวทานมื้อค่ำ หยุนลี่ก็นำคนมาส่งรางวัลที่จักรพรรดิเหวินมอบให้ การที่จักรพรรดิเหวินให้หยุนลี่ องค์รัชทายาท มาส่งรางวัลด้วยตัวเอง ทำให้เจียเหยารู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังอยู่ไม่น้อย รางวัลอะไรก็ไม่สำคัญ ขอแค่เป็นของที่มีค่าและขายได้ก็พอ แต่เมื่อขันทีอ่านรายชื่อสิ่งของที่เป็นรางวัลเสียงดัง เจียเหยาก็ถึงกับอึ้งไป หวีหยกขาวประดับทองคำ ปิ่นทองคำประดับดอกไม้ เครื่องประดับปิ่นทองที่แกว่งไปมาได้ ต่างหูแก้ว รวมถึงแป้งฝุ่นและเครื่องประทินโฉม... ทั้งหมดล้วนเป็นของใช้สำหรับผู้หญิง! แม้ว่าสิ่งของเหล่านี้จะมีค่าอยู่บ้าง แต่ทำไมนางกลับรู้สึกว่ารางวัลนี้แฝงความนัยบางอย่าง เมื่อขันทีอ่านรายชื่อรางวัลจนจบ เจียเหยาก็ยังไม่สามารถตั้งสติกลับมาได้ “เจียเหยา ควรขอบคุณเสด็จพ่อได้แล้ว” หยุนเจิงเตือนจากด้านข้าง ในตอนนี้เอง เจียเหยาจึงได้สติกลับมา “ลูกขอบพระคุณเสด็จพ่อสำหรับรางวัล” เจียเหยาขอบคุณด้วยรอยยิ้มฝืนๆ หยุนเจิงยิ้มพลางเดินไปหาหยุนลี่ “พี่สาม ท่านมาถูกเวลาพอดี พวกเรากำลังจะทานมื้อค่ำ! หากพี่สามไม่รังเกียจ ทำไมไม่ร่วมโต๊ะทา
หยุนลี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ลูกจะฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง และจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังเป็นอันขาด!” “อืม!” จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามต่อ “แล้วเจ้าคิดว่า ข้าควรให้รางวัลเจียเหยาอย่างไรดี?” “เอ่อ?” คำถามนี้ของจักรพรรดิเหวินทำให้หยุนลี่ถึงกับงงงัน ควรให้รางวัลเจียเหยาอย่างไร? เรื่องนี้ยังต้องถามด้วยหรือ? ก็คงแค่ให้ตามธรรมเนียมพอเป็นพิธีเท่านั้นมิใช่หรือ? หรือว่าจะต้องให้รางวัลใหญ่โตกับเจียเหยาจริงๆ? สิ่งที่ให้กับเจียเหยา สุดท้ายก็จะตกไปอยู่กับเจ้าหกอยู่ดีมิใช่หรือ? การให้รางวัลใหญ่กับเจียเหยา มีความแตกต่างอะไรกับการสนับสนุนศัตรูโดยตรงกันเล่า? เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ตนยังเข้าใจ เสด็จพ่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? แต่เสด็จพ่อกลับถามเช่นนี้ ตกลงว่าเสด็จพ่อมีความตั้งใจอะไรแฝงอยู่กันแน่? หยุนลี่เต็มไปด้วยความสงสัยในใจ พยายามคิดอย่างหนักถึงเจตนาของจักรพรรดิเหวิน คิดไปคิดมา หัวใจของหยุนลี่พลันสะดุ้งขึ้น หรือว่า... เสด็จพ่อกำลังคิดจะดึงเจียเหยาเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพระองค์? หากต้องให้รางวัลใหญ่กับเจียเหยา ดูเหมือนเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ก็คือเรื่อง