“ได้ข่าวหรือไม่ว่าในงานประพันธ์กวีที่สมาคมกวีฉวินฟางย่วนเมื่อคืนนี้มีคุณชายท่านหนึ่งเขียนบทกวีได้ทั้งหมดสี่บทได้เวลาไม่ถึงสองก้านธูป ทำเอาคนในงานต่างต้องหน้าถอดสีกันเลย…”“จะไม่ได้ข่าวได้อย่างไรเล่า ได้ยินว่าคุณชายหลิวผู้นั้นยังก่นด่าผู้คนว่าโอดครวญอย่างไร้เหตุผล…”“ใช่ๆ คุณชายหลิวเป็นคนฮึกเหิม ชื่นมความตั้งใจจะเดินทางไปซั่วเป่ยขององค์ชายหก”“ทุกคนถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องตาย อาจจะหนักกว่าภูเขา หรือเบากว่าขนนก คำพูดของคุณชายหลิวผู้นั้นได้พูดถึงความน่าเศร้าของการเดินทางสู่ซั่วเป่ยขององค์ชายหก…”“ไม่เคยมีเคยจักรพรรดิและองค์ชายที่ปราดเปรื่องเช่นนี้มาก่อน…”วันถัดมา เกิดความชุลมุนวุ่นวายไปทั้งเมืองหลวงไม่ว่าบนท้องถนนหรือตรอกซอยเล็กล้วนสามารถเห็นกลุ่มคนสามถึงห้าคนรวมตัวกันวิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนฉวินฟางย่วนนอกจากบทกวีทั้งสี่บทของหยุนเจิงที่ถูกแพร่ออกไปทั่วแล้ว ยังมีข่าวเรื่ององค์ชายหกจะเดินทางไปยังซั่วเป่ย และยอมตายเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารออกมาด้วยการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิเหวินในครั้งนี้ ก็ได้รับการชื่นชมมากมายจากผู้คนในเมืองหลวงด้วยแต่ทว่าในราชวังหลวง จ
เรื่องใหญ่อะไรอย่างนี้!ตาแก่นี่ก็เหมือนกัน แค่เรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนี้ถึงกับต้องทรมานขนาดนั้นทำเอาตัวเองคิดว่าได้ก่อกรรมทำชั่วจนสวรรค์และผู้คนต่างก็พากันเคียดแค้นเสียอีก!ขณะที่จักรพรรดิเหวินช่วยพยุงจางฮว๋ายนั่งด้วยตัวเอง มู่ซุ่นก็พรวดพราดเข้ามา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พอเหลือบมองจางฮว๋ายที่อยู่ข้างๆ เขาก็ลังเลจักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วพูดว่า “ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ อย่ามัวแต่กระอึกกระอัก”มู่ซุ่นยิ้มอย่างขออภัย แล้วจึงพูดว่า “ฝ่าบาท คนที่แต่งบทกวีในฉวินฟางย่วนเมื่อคืน ดูเหมือนจะรู้จักจางซูหลานชายของจางเก๋อเหล่าพ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ”สีหน้าของจักรพรรดิเหวินเปลี่ยนไปจางฮว๋ายเห็นดังนี้ ก็ถอนหายใจพูดขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิด สารเลวจางซูคนนั้นคือคนที่พาองค์ชายหกไปที่ฉวินฟางย่วนเมื่อคืนวาน สารเลวนั่นยังเรียกหญิงนางโลมนับสิบคนมารับใช้อย่างไร้ยางอาย...”ครั้นจักรพรรดิเหวินได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็กระตุกอย่างรุนแรงยังเรียกหญิงนางโลมสิบคนมาด้วย?สารเลวนี่ ไม่กลัวตายบนอกสตรีหรอกรึจักรพรรดิเหวินเงียบไปครู่หนึ่ง สั่งการมู่ซุ่นทันที “ไป ให้คนไปถามจางซูว่า ใครเป็นผู้ที่ประพันธ์บ
ในช่วงบ่าย หยุนเจิงไปพบจางซูตามปกติทันทีที่เขามาถึงทางเข้าลานบ้านของจางซู ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากข้างใน“จะฆ่าคนแล้ว!”“ช่วยด้วย...”เมื่อได้ยินเสียงนี้ หยุนเจิงก็ต้องตกใจเล็กน้อยนี่ดูเหมือนจะเป็นเสียงของจางซู?เกิดอะไรขึ้นกับจางซู“เร็ว รีบเข้าไปดูเร็วเข้า!”หยุนเจิงรีบร้องเรียกเกาเหอพวกเขาให้รีบเข้าไปในเรือนทันทีที่พวกเขาบุกเข้าไปในเรือนด้านใน ก็เห็นจางซูที่จมูกบวมช้ำใบหน้าบวมปูดกำลังวิ่งหนีขณะที่ร้องเรียกหาบุพการีเป็นการใหญ่แม้ว่าจางซูจะอ้วนท้วนมาก แต่พอเป็นการหนีเอาชีวิตรอดเขากลับไม่ช้าเลย“องค์ชายหก ช่วยด้วย!”เมื่อเห็นหยุนเจิง จู่ๆ จางซูก็วิ่งเข้าไปหาราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต“จางซู โง่เง่าเต่าตุ่น! เจ้าคิดหรือว่าจะวิ่งหนีพ้น”เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นตามหลังจางซูหลังจากนั้น ร่างสีชมพูก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังจางซูนั่นคือ...เสิ่นลั่วเยี่ยน?หยุนเจิงตกตะลึงงัน มองดูเสิ่นลั่วเยี่ยนที่กำลังถือไม้กระบองไล่ตีจางซูอย่างอึ้งๆพอรู้สึกตัว หยุนเจิงก็รีบวิ่งไปหา ยืนกั้นกลางอยู่ระหว่างเสิ่นลั่วเยี่ยนกับจางซู“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ”หยุนเจิงมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยนอ
เสิ่นลั่วเยี่ยนสะอึก หันไปมองหยุนเจิงอย่างโกรธเคือง “ข้าทำเพื่อผู้ใดเล่า ข้าอยากจะสับร่างพวกเจ้าสองคนจริงๆ เลยเชียว!”ครั้งนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธจริงๆหยุนเจิงก่อเรื่องในฉวินฟางย่วนขนาดนี้ ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงรู้แล้วว่าจักรพรรดิเหวินมีราชโองการว่าหลังจากเขาแต่งงานแล้วให้ไปที่ซั่วเป่ยตอนนี้เขามีชื่อเสียงดีแล้ว ทุกคนภายนอกต่างชื่นชมเขาในความกล้าหาญของเขา และยกย่องเขาที่ไม่กลัวความตายแต่พอเขาก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าไปที่ซั่วเป่ยก็เท่ากับไปตายเท่านั้น!จะให้นางไม่โกรธได้หรือไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่โกรธ แต่ฮูหยินเสิ่นก็กระทืบเท้าอย่างโกรธจัดโชคดีที่คำพูดเหล่านี้มาจากปากของหยุนเจิงเองหากออกมาจากปากของคนอื่น นางคงจะสับคนสารเลวนั่นเป็นชิ้นๆ จริงๆ!“ก็ข้าดื่มจนเมามายไม่ได้สติ”หยุนเจิงเผชิญสายตากับเสิ่นลั่วเยี่ยน “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป เจ้ามาก่อเรื่องที่นี่จะมีประโยชน์อะไร พรุ่งนี้เสด็จพ่อของข้าจะไปล่าสัตว์ที่หนานย่วน ให้คนมาแจ้งข้าเป็นพิเศษว่าต้องพาเจ้าไปด้วย! ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ขอให้เสด็จพ่อมีราชโองการยกเลิกการแต่งงานขอ
เมื่อถึงยามอัสดง เยี่ยจื่อรีบกลับไปยังจวนสกุลเสิ่นนางเพิ่งจะทอดน่องเดินเข้าประตูจวนไป ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ภายในจวน“ท่านแม่ล่ะ?”เยี่ยจื่อกล่าวถามพี่สะใภ้ใหญ่เว่ยซวงเว่ยซวงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านแม่กับลั่วเยี่ยนอารมณ์ไม่ค่อยดี ฝึกวรยุทธ์กันอยู่ที่ลานหลังจวน!”“ข้าจะไปหาท่าน”หลังจากพูดคุยกับเว่ยซวงไปไม่กี่คำ เยี่ยจื่อก็รีบวิ่งไปที่ลานหลังจวนอย่างรวดเร็วยังไม่ทันผ่านประตูหลังจวน นางก็ได้ยินเสียงหอกดาบปะทะกันแล้วเยี่ยจื่อเดินเข้าประตูลานหลังจวนก็เห็นเสินลั่วเยี่ยนกับท่านแม่กำลังประลองยุทธ์กันอยู่คาดว่าตอนนี้พวกนางน่าจะโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟจนมิอาจระงับได้แล้ว จึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้เพื่อระบายความโกรธภายในใจออกมาเมื่อเห็นเยี่ยจื่อเข้ามา สองแม่ลูกคู่นี้จึงหยุดการประลองลง“เจ้าสารเลวนั่นใช้ให้เจ้ากลับมาโน้มน้าวพวกเราใช่หรือไม่?”ฮูหยินเขวี้ยงหอกยาวในมือไปข้างๆ และกล่าวถามอย่างไม่สบอารมณ์เยี่ยจื่อรู้สึกประหลาดใจถึงขั้นเรียกหยุนเจิงเช่นนี้เลยหรือ!ดูท่าท่านแม่คงจะโกรธเอามากจริงๆ!“ข้ากลับมาเยี่ยมท่านแม่บ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ?”เยี่ยจื่อเม้มปากยิ้มเล็กน้อย
หลังจากที่ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินเสิ่นก็เรียกสติกลับมาอย่างยากลำบาก “นี่เจ้าไม่ได้โกหกแม่ใช่หรือไม่?”“ข้าจะโกหกท่านแม่ด้วยเหตุใดกันเล่าเจ้าคะ?”เยี่ยจื่อส่ายหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านแม่ลองคิดดูสิเจ้าคะ องค์ชายหกไม่ได้มีรากฐานอันใด ระหว่างอยู่เมืองหลวงกับไปซั่วเป่ย ท่านแม่คิดว่าที่ใดที่จะเป็นโอกาสดีสำหรับเขาเจ้าคะ?”ฮูหยินเสิ่นได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดขึ้นอีกครั้งว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว หากหยุนเจิงเป็นคนที่มีพรวสรรค์การที่เขาไปซั่วเป่ยเป็นหนทางที่ดีกว่าแน่นอนทว่า น่าเสียดายที่หยุนเจิงเป็นเพียงแค่องค์ชายที่ไร้ความสามารถทั้งทางบุ๋นและทางบู๊การไปซั่วเป่ยของเขา อย่างไรก็เสียก็เหมือนไปตายอยู่ดีฮูหยินเสิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวความคิดของตนเองให้ลูกสะใภ้รองฟัง“เจ้าประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว”จื่อเยี่ยส่ายหน้ายิ้มพลางกล่าวว่า “กา รต่อสู้ของเขาไม่ได้จริงๆ แต่สติปัญญาของเขาเหนือข้ามาก มิเช่นนั้นแล้วท่านแม่คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในจวนเขาได้นานถึงเพียงนี้”ในขณะที่กล่าวนั้นเยี่ยจื่อก็กดเสียงต่ำลงอีกครั้ง และแพร่งพรายเรื่องรูปปั้นหินและถาดรองที่หยุนเจิงให้นางแพร่งพรายออกไปเม
ยามรัตติกาล ณ ห้องทรงพระอักษรเนื่องจากวันพรุ่งต้องออกเดินทางไปล่าสัตว์ ในค่ำคืนนี้จักรพรรดิเหวินจึงไม่ได้ประทับอยู่กับสนมนางใดและแน่นอนว่าพระองค์เองก็ไม่ได้อารมณ์เช่นนั้น“ตรวจสอบรู้แจ้งแล้วหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินเอนกายพักผ่อนอยู่บนแท่ยพระบรรมในห้องทรงพระอักษร โดยมีนางกำนัลสองนางคุกเข่านวดพระชงฆ์ให้จักรพรรดิเหวินอยู่ และมู่ซุ่นโค้งคำนับอยู่ข้างๆ“ตรวจสอบได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”มู่ซุ่นรายงานว่า “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเมิ่งกว่างไป๋ บุตรชายของหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเมิ่งรั่ววั่งพ่ะย่ะค่ะ”เมิ่งกว่างไป๋อย่างนั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินขมวดพระขนงขึ้นพลางตรัสถาม “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?”มู่ซุ่ยตอบ “หลังจากที่องค์ชายหกดื่มจนเมาและได้เขียนบทกวีขึ้น ด้วยความเมาจึงกล่าวตำหนิผู้เข้าร่วมการแต่งประพันธ์กวีเหล่านั้นว่าตีตนไปก่อนไข้ และได้กล่าวถึงเรื่องที่องค์ชายหกจะไปซั่วเป่ย จึงทำให้เมิ่งกว่างไป๋เกิดความสงสัยขึ้น องค์ชายหกจึงโต้แย้งไปด้วยความโกรธ จึงทำให้เกิดเรื่องราวหลังจากนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”“สงสัยหรือ?”จักรพรรดิเหวินหรี่พระเนตรพลางตรัส “เมิ่งกว่างไป๋สงสัยอันใด?”มู่ซุ่นมองจั
“เจ้าหกไม่ได้เอามา แต่ชายาของเขาเอามาก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรอกหรือ!”“อย่างไรเสีย เจ้าหกก็ไม่มีแรงแม้แต่จะง้างธนู เสด็จพ่อตั้งใจให้เจ้าหกพาชายามาด้วยเช่นนี้ ก็คงอยากจะให้ชายาองค์ชายหกล่าสัตว์แทนเจ้าหกกระมัง”“เจ้าหก ได้ยินว่าไปสร้างความฮือฮาที่เจ้าฉวินฟางย่วน! นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่เคยออกจากเมืองหลวงมาก่อนเช่นเจ้าจะประพันธ์กวีเกี่ยวกับสนามรบออกมาได้มากมายเพียงนั้น”“เจ้าหก กวีเหล่านั้นเจ้าลอกใครมากันแน่ ไหนเจ้าลองบอกพี่สามมาซิ พี่สามจะไปลอกมาสักบทสองบท…”เพียงฟังแวบแรก หยุนเจิงก็รับรู้ได้ถึงการเยาะเย้ยขององค์ชายเหล่านี้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากที่หยุนเจิงได้จินตนาการเอาไว้เลยหยุนเจิงแอบส่ายหน้าเบาๆคนปัญญาอ่อนพวกนี้ โชคดีที่เป็นองค์ชายเอาแต่คอยเยาะเย้ยตนทั้งวี่ทั้งวันด้วยเหตุอันใดกันจิตใจช่างต่ำทรามยิ่งนักหยุนเจิงพลางทอดถอนใจด้วยความหดหู่ พลางดึงม้าเดินไปตรงหน้าคนเหล่านั้น พลางจ้องหน้ามองคนเหล่านี้ มองจนคนเหล่านี้รู้สึกอึดอัด“เจ้ามองอันใด?”หยุนลี่จ้องหน้าหยุนเจิง กล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์หยุนเจิงแสยะยิ้มมุมปาก “พี่สี่รู้”เจ้าสี่?องค
รวมกับกำลังพลของพวกเขาเองแล้ว การระดมทหารเจ็ดถึงแปดหมื่นพร้อมแรงงานชาวบ้านน่าจะเป็นไปได้เมื่อถึงตอนนั้น การประกาศว่าเป็นกองทัพแสนหนึ่งพร้อมบุกกดดันชนเผ่าโม่ซี น่าจะสร้างความกดดันได้ไม่น้อยคงต้องดูปฏิกิริยาของชนเผ่าโม่ซีก่อนในเวลานี้ ถ้าเลี่ยงการโจมตีได้ เขาก็จะไม่เลือกโจมตีอย่างแน่นอนพวกเขาเพิ่งตีโฉวฉือได้ และจับเชลยศึกได้มากมาย ย่อมต้องใช้เวลาเพื่อจัดการความยุ่งเหยิงนี้รอให้จัดการกองงานยุ่งเหยิงพวกนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน อย่าว่าแต่เปิดศึกเลย แค่พวกเขาขยับตัวนิดหน่อย ชนเผ่าโม่ซีก็คงต้องตัวสั่นงันงกแล้ว...สองวันต่อมา หยุนเจิงเดินทางถึงนอกเมืองอวี้เฟิง โดยมีกองทหารองครักษ์และทหารม้าชั้นยอดสองพันนายคุ้มกัน และได้พบกับตู๋กูเช่อระหว่างทาง พวกเขาเจอเข้ากับกองกำลังต่อต้านขนาดเล็กแต่กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงไม่ได้ลงมือเลย ทหารม้าชั้นยอดเพียงสองพันนายก็สามารถกำจัดกองกำลังต่อต้านนี้ได้หมดหลังจากทักทายกันสั้นๆ ตู๋กูเช่อก็เริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้หยุนเจิงฟังในตอนนี้ กองกำลังป้องกันเมืองอวี้เฟิงที่เป็นทหารจริงๆ มีอยู่ประมาณสองหมื่นนายทหารสองหมื่นนายนี้ประกอบด้วยคนที่หย
สองวันต่อมา ฉินชีหู่ได้นำกองทหารม้าสองพันนายเร่งมาถึงด่านเทียนฉงทว่า มาไม่ใช่กองทหารโลหิต แต่เป็นทหารม้าสองพันนาย"ทำไมถึงเป็นเจ้าที่มา?"หยุนเจิงถามฉินชีหู่ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย"ทำไมข้าจะมาไม่ได้เล่า?"ฉินชีหู่ยิ้มซื่อๆ พลางถามหยั่งเชิงว่า "น้องรัก เจ้ายังไม่หายโกรธข้าอีกหรือ?""ถ้าข้าโกรธ เจ้าคงถูกไล่กลับไปทบทวนตัวเองที่กองหลังนานแล้ว!" หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้มๆ "ว่าแต่ เจ้าคิดออกหรือยัง?"พอพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของฉินชีหู่ก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาหัวเราะแห้งๆ "คิดออกแล้ว""งั้นหรือ?"หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย "เจ้าคิดได้เอง หรือมีใครบอกเจ้า?"ฉินชีหู่หัวเราะเขินๆ "ข้าไปถามรองแม่ทัพมา แต่รองแม่ทัพไม่บอกอะไร แค่สั่งมอบกองทหารม้าสองพันนายให้ข้า แล้วให้ข้ากับหลูซิ่งแยกกันจัดการกลุ่มต่อต้านของโฉวฉือ โดยให้ข้าบังคับบัญชาหน่วยของหลูซิ่งอีกด้วย..."แม้ฉินชีหู่จะซื่อและตรง แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่นี่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจกระจ่างการที่ตนบัญชาการกองทัพสองสาย และต้องออกคำสั่งไปยังอีกสายหนึ่ง แค่คิดให้มากขึ้นอีกนิดก็เข้าใจได้เมื่อคิดออกแล้ว เขาจึงเข้าใจถึงเจตนาที่ดีของตู๋กูเช่อถึงตู๋กูเ
การชนะโดยไม่ต้องรบคือกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมที่สุด“กระหม่อมเข้าใจแล้ว”จั่วเหรินพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่องหลังจากทั้งสองสนทนากันได้สักพัก หยุนเจิงก็เตรียมตัวไปพบกับตู๋กูเช่อ แต่กลับถูกจั่วเหรินและเมี่ยวอินห้ามไว้เพราะตอนนี้พวกเขายังอยู่ในดินแดนของศัตรูกองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงมีจำนวนน้อย หากบังเอิญเจอศัตรูที่ยังขัดขืนและซุ่มโจมตี จะทำอย่างไร?แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก แต่ก็ยังต้องระวังไว้ก่อนเนื่องจากตอนนี้กองกำลังที่ด่านเทียนฉงมีเพียงทหารราบ จั่วเหรินจึงไม่สามารถส่งพวกเขาไปคุ้มกันหยุนเจิงได้ จึงขอให้หยุนเจิงพักผ่อนที่ด่านเทียนฉง และส่งคนไปแจ้งตู๋กูเช่อให้ส่งกำลังมารับหยุนเจิงแทนหยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมรับข้อเสนอนี้หลังจากที่เดินทางไกลมาหลายวัน คนและม้าก็จำเป็นต้องพักผ่อนในเมื่อตู๋กูเช่อได้เตรียมงานสำหรับการเคลื่อนทัพไปยังชนเผ่าโม่ซีไว้เรียบร้อยแล้ว การรออีกหนึ่งหรือสองวันก็ไม่ได้ทำให้เรื่องสำคัญล่าช้า อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้เขาได้วางแผนงานต่อไปค่ำคืนนั้น หยุนเจิงและเมี่ยวอินก็ได้อาบน้ำด้วยกันอย่างสบายใจที่ด่านเทียนฉงถึงแม้เมี่ยวอินจะติดตามหยุนเจิงมาตลอด
จางฮว๋าย…สิ้นไปแล้วหรือ?แม้ตอนที่จางซูเดินทางกลับเมืองหลวง หยุนเจิงก็พอคาดเดาได้ว่าจางฮว๋ายในครานี้คงจะไม่รอดแล้ว แต่เมื่อได้รับข่าวนี้ เขาก็ยังเผลอหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัวภาพของผู้เฒ่าจางฮว๋ายค่อยๆ ลอยขึ้นมาในห้วงความคิดของหยุนเจิงพูดตามตรง ตอนแรกหยุนเจิงไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อผู้เฒ่าจางฮว๋ายสักเท่าไรโดยเฉพาะเรื่องที่ผู้เฒ่าผู้นี้มักจะสนับสนุนแนวทางประนีประนอมในกรณีของเป่ยหวนอยู่เสมอแต่ต่อมา เมื่อเขาได้เข้าใจในตัวจางฮว๋ายมากขึ้น ความประทับใจของเขาที่มีต่อผู้เฒ่าคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นผู้เฒ่าผู้นี้แม้จะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้หัวดื้อจนเกินไปนอกจากนี้ ผู้เฒ่าผู้นี้ยังเป็นขุนนางที่จงรักภักดีอย่างแท้จริงน่าเสียดายจริงๆ!เขาไม่ได้มีโอกาสไปพบจางฮว๋ายเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่หยุนเจิงถอนหายใจเงียบๆ จั่วเหรินก็เริ่มเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมจางฮว๋ายสิ้นใจในวันที่สิบสองของเดือนเก้าจักรพรรดิเหวินรงโศกเศร้าอย่างยิ่ง ถึงกับงดราชกิจเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อแสดงความอาลัยในการป่วยจากไปของจางฮว๋าย จักรพรรดิเหวินยังทรงพระเมตตาอย่างล้นพ้น โดยพระราชทานแผ่นป้ายส
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”หยุนเจิงขมวดคิ้วพูด “หากข้าปลดเสื้อผ้าเจ้าที่นี่ คนที่เสียหน้าก็ยังคงเป็นเจ้าเอง!”เมื่อเห็นหยุนเจิงเริ่มไม่พอใจ เจียเหยาก็หยุดเรื่องนี้ทันที“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากถาม”เจียเหยาพยายามดึงเรื่องกลับมาที่ประเด็นหลัก“เรื่องอะไรล่ะ?”หยุนเจิงถามด้วยน้ำเสียงสบายๆเจียเหยาจ้องมองหยุนเจิง “เหตุใดท่านถึงไม่ใช้ของที่ใช้ระเบิดเปิดเขานั่นทำลายด่านเทียนฉงของโฉวฉือไปเลย? ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่า หากด่านนั้นถูกตีแตกเร็วกว่านี้ ท่านจะไม่ต้องสู้กันอย่างเหนื่อยยากที่แม่น้ำซัวเล่ย”เวรเอ๊ย!หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยเรื่องนี้แล้วรึ?นางช่างทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยจริงๆ!“ทำไมข้าต้องทำลายด่านเทียนฉงด้วยเล่า?”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากข้าทำลายด่านเทียนฉงไปแล้ว เจ้าจะส่งคนมาช่วยข้าสร้างใหม่หรืออย่างไร?”“เพียงเพราะเหตุนี้เองหรือ?”เจียเหยาฟังแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง“เจ้าสงสัยหรือว่าข้าไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว?”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยรอยยิ้มปริศนา “รอจนชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยหนาพอ ข้าก็คิดจะใช้สิ่งนั้นระเบิดเปิดเขาที่ปากทางภูเขาหลางหยา แล้วส
เจียเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าหยุนเจิงมีจุดประสงค์อื่นอะไร จึงได้แต่ถามเขาด้วยท่าทีคล้ายขอคำชี้แนะ“ไม่ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “กองทหารมณฑณเหนือข้าส่งมาแต่ทหารฝีมือดี จะไม่ล้มซักแคว้นได้อย่างไร?”ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือ?เจียเหยาครุ่นคิดก่อนถามต่อ “ถ้าท่านคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดู การทำลายล้างกุ่ยฟางน่าจะน่ากลัวกว่าการทำลายโฉวฉือใช่หรือไม่?”เพราะว่ากุ่ยฟางแข็งแกร่งกว่าโฉวฉือมาก“เจ้าก็พูดเองว่า ข้าต้องการเปิดเส้นทางไปยังชนเผ่าโม่ซี”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนมองเจียเหยาด้วยความสนใจ “ว่าแต่ เจ้าสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? หรือว่าอาการหวาดระแวงของเจ้ากำเริบอีกแล้ว?”หวาดระแวงงั้นหรือ?เจียเหยาแอบหัวเราะขื่นๆนางก็ดูจะมีอาการหวาดระแวงอยู่บ้างจริงๆนางกังวลว่าหยุนเจิงเก็บกุ่ยฟางไว้เพื่อกดดันเป่ยหวนแต่เขาก็ได้ใช้ตัวตายตัวแทนอย่างทัวฮวนแล้ว ดังนั้นการที่กุ่ยฟางจะล่มสลายหรือไม่ก็ดูจะไม่ต่างกันนักในแง่ของการกดดันเป่ยหวนนางรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แต่ก็คิดไม่ออกว่าปัญหานั้นคืออะไรและนั่นทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไ
หวั่น...ไหว?เจียเหยาชะงักไป ราวกับถูกคำถามของเมี่ยวอินทำให้สับสนหยุนเจิงมีทั้งความแค้นของชาติและครอบครัวกับนาง เมี่ยวอินถามคำถามแบบนี้ได้อย่างไร?หรือเมี่ยวอินคิดว่านางจะปล่อยวางความแค้นทั้งหมดได้?เจียเหยามองเมี่ยวอินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังลองใจข้าหรือ?”“ข้าจะลองใจเจ้าทำไม?”เมี่ยวอินปฏิเสธทันที “ข้าแค่คิดว่า ในแง่หนึ่ง เจ้าและหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน! แม้จะมีความแค้นต่อกัน แต่พวกเจ้าคงจะมีความนับถือกันในใจบ้าง”เป็นเช่นนั้นหรือ?เจียเหยาดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจนัก นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเจ้าว่ามีความนับถือกัน ข้าคิดว่าคงมีบ้าง! แม้ยามที่ข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่อง การได้พบเขาในสนามรบถือเป็นโชคดี...และโชคร้ายในคราวเดียวกัน”เมี่ยวอินเม้มริมฝีปากเบาๆ มองเจียเหยาด้วยความสนใจ “โชคร้ายน่ะข้าเข้าใจ แต่โชคดีล่ะ หมายความว่าอย่างไร? หรือแค่เพราะได้พบคู่ต่อสู้อย่างเขา?”“เพราะเขามีขีดจำกัดในสิ่งที่เขาจะทำ”เจียเหยาพูดออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าเขาจะมีขีดจำกัดเช่นนี้ตลอดไป...”ขีดจำกัดหรือ?เมี่ยวอิ
ค่ำคืนนั้น หยุนเจิงเรียกอวี่ซื่อจงและชวีจื้อเข้ามาในกระโจมเพื่อสั่งการระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เสียงองครักษ์ด้านนอกดังขึ้นว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงเจียเหยาขอเข้าเฝ้า”เจียเหยา?หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยตัวเขาเพิ่งคุยกับเจียเหยาไปเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?นางมาหาตนอีกทำไมกัน?ข้าให้เสบียงไปมากมายแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก?หรือว่านางจะมาเล่นบทเศร้า หรือใช้เรือนร่างอันงดงามของนางมาทดสอบจิตใจข้า?เมื่อเห็นหยุนเจิงเงียบไป อวี่ซื่อจงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาคุยกันอีกทีภายหลังดีไหม?”“ไม่ต้องสนใจ เรามาคุยกันต่อ”หยุนเจิงโบกมือ และพูดกับองครักษ์ด้านนอกว่า “ข้ามีธุระ ให้มาหาข้าทีหลัง!”“ขอรับ!”หยุนเจิงเลิกคิดฟุ้งซ่าน และสั่งการอวี่ซื่อจงกับชวีจื้อต่อเขายังต้องไปที่ด่านเทียนฉง งานเกี่ยวกับการถอนทัพที่นี่ จึงต้องฝากให้อวี่ซื่อจงและชวีจื้อเป็นผู้รับผิดชอบด้านนอกกระโจม เจียเหยาไม่ได้จากไป แต่ถอยออกไปยืนรอเงียบๆไม่นานนัก เมี่ยวอินที่ทำงานเสร็จเดินผ่านมา และเห็นเจียเหยายืนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย“เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม?”เมี่ยวอินเดินเข้ามา มองเจียเหยาด้วย
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่