หลังจากที่ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินเสิ่นก็เรียกสติกลับมาอย่างยากลำบาก “นี่เจ้าไม่ได้โกหกแม่ใช่หรือไม่?”“ข้าจะโกหกท่านแม่ด้วยเหตุใดกันเล่าเจ้าคะ?”เยี่ยจื่อส่ายหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านแม่ลองคิดดูสิเจ้าคะ องค์ชายหกไม่ได้มีรากฐานอันใด ระหว่างอยู่เมืองหลวงกับไปซั่วเป่ย ท่านแม่คิดว่าที่ใดที่จะเป็นโอกาสดีสำหรับเขาเจ้าคะ?”ฮูหยินเสิ่นได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดขึ้นอีกครั้งว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว หากหยุนเจิงเป็นคนที่มีพรวสรรค์การที่เขาไปซั่วเป่ยเป็นหนทางที่ดีกว่าแน่นอนทว่า น่าเสียดายที่หยุนเจิงเป็นเพียงแค่องค์ชายที่ไร้ความสามารถทั้งทางบุ๋นและทางบู๊การไปซั่วเป่ยของเขา อย่างไรก็เสียก็เหมือนไปตายอยู่ดีฮูหยินเสิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวความคิดของตนเองให้ลูกสะใภ้รองฟัง“เจ้าประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว”จื่อเยี่ยส่ายหน้ายิ้มพลางกล่าวว่า “กา รต่อสู้ของเขาไม่ได้จริงๆ แต่สติปัญญาของเขาเหนือข้ามาก มิเช่นนั้นแล้วท่านแม่คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในจวนเขาได้นานถึงเพียงนี้”ในขณะที่กล่าวนั้นเยี่ยจื่อก็กดเสียงต่ำลงอีกครั้ง และแพร่งพรายเรื่องรูปปั้นหินและถาดรองที่หยุนเจิงให้นางแพร่งพรายออกไปเม
ยามรัตติกาล ณ ห้องทรงพระอักษรเนื่องจากวันพรุ่งต้องออกเดินทางไปล่าสัตว์ ในค่ำคืนนี้จักรพรรดิเหวินจึงไม่ได้ประทับอยู่กับสนมนางใดและแน่นอนว่าพระองค์เองก็ไม่ได้อารมณ์เช่นนั้น“ตรวจสอบรู้แจ้งแล้วหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินเอนกายพักผ่อนอยู่บนแท่ยพระบรรมในห้องทรงพระอักษร โดยมีนางกำนัลสองนางคุกเข่านวดพระชงฆ์ให้จักรพรรดิเหวินอยู่ และมู่ซุ่นโค้งคำนับอยู่ข้างๆ“ตรวจสอบได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”มู่ซุ่นรายงานว่า “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเมิ่งกว่างไป๋ บุตรชายของหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเมิ่งรั่ววั่งพ่ะย่ะค่ะ”เมิ่งกว่างไป๋อย่างนั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินขมวดพระขนงขึ้นพลางตรัสถาม “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?”มู่ซุ่ยตอบ “หลังจากที่องค์ชายหกดื่มจนเมาและได้เขียนบทกวีขึ้น ด้วยความเมาจึงกล่าวตำหนิผู้เข้าร่วมการแต่งประพันธ์กวีเหล่านั้นว่าตีตนไปก่อนไข้ และได้กล่าวถึงเรื่องที่องค์ชายหกจะไปซั่วเป่ย จึงทำให้เมิ่งกว่างไป๋เกิดความสงสัยขึ้น องค์ชายหกจึงโต้แย้งไปด้วยความโกรธ จึงทำให้เกิดเรื่องราวหลังจากนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”“สงสัยหรือ?”จักรพรรดิเหวินหรี่พระเนตรพลางตรัส “เมิ่งกว่างไป๋สงสัยอันใด?”มู่ซ
“เจ้าหกไม่ได้เอามา แต่ชายาของเขาเอามาก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรอกหรือ!”“อย่างไรเสีย เจ้าหกก็ไม่มีแรงแม้แต่จะง้างธนู เสด็จพ่อตั้งใจให้เจ้าหกพาชายามาด้วยเช่นนี้ ก็คงอยากจะให้ชายาองค์ชายหกล่าสัตว์แทนเจ้าหกกระมัง”“เจ้าหก ได้ยินว่าไปสร้างความฮือฮาที่เจ้าฉวินฟางย่วน! นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่เคยออกจากเมืองหลวงมาก่อนเช่นเจ้าจะประพันธ์กวีเกี่ยวกับสนามรบออกมาได้มากมายเพียงนั้น”“เจ้าหก กวีเหล่านั้นเจ้าลอกใครมากันแน่ ไหนเจ้าลองบอกพี่สามมาซิ พี่สามจะไปลอกมาสักบทสองบท…”เพียงฟังแวบแรก หยุนเจิงก็รับรู้ได้ถึงการเยาะเย้ยขององค์ชายเหล่านี้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากที่หยุนเจิงได้จินตนาการเอาไว้เลยหยุนเจิงแอบส่ายหน้าเบาๆคนปัญญาอ่อนพวกนี้ โชคดีที่เป็นองค์ชายเอาแต่คอยเยาะเย้ยตนทั้งวี่ทั้งวันด้วยเหตุอันใดกันจิตใจช่างต่ำทรามยิ่งนักหยุนเจิงพลางทอดถอนใจด้วยความหดหู่ พลางดึงม้าเดินไปตรงหน้าคนเหล่านั้น พลางจ้องหน้ามองคนเหล่านี้ มองจนคนเหล่านี้รู้สึกอึดอัด“เจ้ามองอันใด?”หยุนลี่จ้องหน้าหยุนเจิง กล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์หยุนเจิงแสยะยิ้มมุมปาก “พี่สี่รู้”เจ้าสี่?องค
บัดนี้ รถม้าของจักรพรรดิเหวินมาถึงแล้วผู้ที่มาพร้อมกับจักรพรรดิเหวิน นอกจากจะเป็นเจ้าแปด เจ้าเก้าแล้ว ยังมีสนมสองนางอย่างซูเฟยและเหลียงเฟยติดตามมาด้วยจักรพรรดิเหวินออกมาล่าสัตว์ กลับไม่พาฮองเฮา ชั่วครู่หนึ่งทุกคนต่างตระหนักได้ว่าฮองเฮาไร้อำนาจแล้ว การเรียกคืนตำแหน่งฮองเฮา เพียงรอแค่เวลาเท่านั้นสาเหตุที่จักรพรรดิเหวินยังไม่เรียกคืนตำแหน่งฮองเฮา สาเหตุคงจะเป็นเพราะว่าปัญหาขององค์รัชทายาทเพิ่งจะสงบลง หากเอ่ยถึงเรื่องเรียกคืนตำแหน่งฮองเฮาในตอนนี้ เกรงว่าจะเกิดปัญหาอื่นตามมาอีกทันทีที่จักรพรรดิเหวินเสด็จมาถึงก็จ้องหน้าหยุนเจิงอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีหลังจากทุกคนคารวะเสร็จ จึงเดินตามเข้าไปในหนานย่วนเมื่อเจอตำแหน่งที่เหมาะสม นางกำนัลและเหล่าบรรดาขันทีก็เริ่มสร้างกระโจมทันที พร้อมทั้งจัดโต๊ะยาวเรียงกันทีละตัว อีกทั้งยังจัดวางผลไม้นานาชนิด และสุราชั้นดีนี่มันเหมือนการล่าสัตว์เสียที่ไหนกันเล่า!เห็นได้ชัดว่าเป็นการดื่มด่ำสุราและเสวยอาหารมื้อใหญ่!กระทั่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อม จักรพรรดิเหวินจึงประทับนั่งลงตำแหน่งจักรพรรดิ โดยมีซูเฟยและเหลียงเฟยประทับนั่งซ้ายขวาข้างๆ จักรพรรดิเหว
“ลูกไม่กลัวพ่ะย่ะค่ะ!”ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกันจักรพรรดิเหวินได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเหลียงเฟยเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายแปดและองค์ชายเก้าอยากเข้าร่วม ก็ให้ทั้งสองเข้าร่วมเถอะเพคะ มีองครักษ์ติดตามไปปกป้อง ไม่น่าจะเกิดอันตรายใดหรอกเพคะ”เหลียงเฟยเป็นมารดาขององค์ชายแปดตอนนี้ นอกจากซูเฟยแล้ว สนมที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเหวินมากที่สุดก็คือเหลียงเฟยนั่นเองโอกาสเช่นนี้ นางเองก็อยากให้บุตรชายของตนเองได้แสดงฝีมือสักหน่อยจักรพรรดิเหวินครุ่นคิดอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าพลางตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองก็เข้าร่วมเถอะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าอายุยังน้อย สัตว์ที่พวกเจ้าล่ามาได้ข้าจะนับเป็นจำนวนสองเท่า!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”ทั้งสองดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งหยุนเจิงเห็นเช่นนี้ก็แอบแสยะยิ้มไม่ได้เจ้าปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสองคนนี่!ขนยังไม่ทันงอก คิดจะอวดดีอย่างนั้นหรือ!“เจ้าหก!”จักรพรรดิเหวินมองไปที่หยุนเจิงอีกครั้ง “เบิกตามองน้องแปด น้องเก้าของเจ้าดูซิ พวกเขาอายุเพียงเท่านี้กลับล่าสัตว์เป็นแล้ว เจ้าไม่รู้สึกอับอายขายหน้าน้อง
“ตามข้ามา! อย่าได้ถ่วงเวลาข้าล่ะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมุ่งไปข้างหน้า แต่ไม่ลืมที่จะหันกลับมาจ้องเขม็งหยุนเจิง“เอาล่ะ เลิกมองหน้าข้าได้แล้ว! เดี๋ยวก็พลาดเหยื่อหรอก!”หยุนเจิงกรอกตามองบนให้นาง ในใจกลัดกลุ้มใจเล็กน้อยตาเฒ่านั่นก็จริงๆ เลย อยากทดสอบเหล่าบรรดาบุตรตนเองว่าคนใดเหมาะสมที่จะเป็นองค์รัชทายาทก็ทดสอบไปสิ เหตุใดต้องมาทรมานข้าด้วยเล่า!อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีโอกาสได้เป็นองค์รัชทายาทอยู่แล้ว!อยากให้ข้าหลีกทาง ก็ช่วยหาเหตุผลง่ายๆ ไม่ได้หรือไรถึงต้องให้ตนล่าสัตว์ให้ได้!โชคดีที่ช่วงนี้ได้ฝึกขี่ม้ามาบ้างมิเช่นนั้นเกรงว่ามีหวังต้องร่วงมาจากหลังแม้เป็นแน่หยุนเจิงตามหลังเสิ่นลั่วเยี่ยนไปพลางแอบบ่นตลอดทางเสิ่นลั่วเยี่ยนยังคงโกรธอยู่ และไม่มีกะจิตกะใจที่จะพูดคุยกับหยุนเจิง ดวงตาหงส์คู่นั้นของนางสังเกตไปรอบๆ เพื่อหาร่องรอยของเหยื่อทว่า พวกเขาเดินทางออกมาระยะทางประมาณสิบกว่าลี้แล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของสิงสาราสัตว์สักตัวช่างผิดปกติยิ่งนัก!หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงนสงสัยพวกเขาเดินทางมาไกลจนถึงตอนนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เห็นเหยื่อสักตัวนี่มันหนานย่วนเชียวนะ!
โจวมี่กล่าวโน้มน้าวอีกครั้งองครักษ์คนอื่นๆ ต่างก็พากันโน้มน้าวตามไปด้วยอย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนฆ่ากวางซีกาตัวนี้หากรักษาหน้าตาตนเองในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาพ่ายแพ้ มีหวังคงต้องยอมรับโทษแต่โดยดี“ไม่ได้!”หยุนเจิงปฏิเสธอีกครั้ง “ห้ามพูดว่าจะเอากวางซีกาตัวนี้มาเป็นของตนได้แล้ว มิเช่นนั้น กลับจวนไปข้าฟาดห้าสิบไม้ด้วยตัวข้าเอง!”เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง องครักษ์เหล่านี้ก็เงียบปากลงทันที และไม่กล้าเอ่ยปากกล่าวสิ่งใดอีก“ไม่เลวเลย นับว่ามีความทะนงตนอยู่บ้าง!”ยากมากที่จะได้เห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวชื่นชมหยุนเจิงเช่นนี้ กล่าวจบนางก็กระโดดขึ้นหลังม้า “หาเหยื่อต่อไป! ข้าจะล่าเหยื่อด้วยความสามารถของข้าเอง! เหยื่อที่ข้าไม่ได้ฆ่าด้วยตัวเอง ข้าๆไม่ต้องการ!”ในขณะที่กล่าวนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ควบม้ามุ่งหน้าพุ่งออกมาจากป่านั้นหยุนเจิงแอบชื่นชมนางอยู่ในใจ และนำองครักษ์ตามนางไปหญิงสาวผู้นี้ดุไปหน่อย ไม่ได้ปราดเปรียวมากนัก แต่นิสัยใจคอไม่เลวเลยคนกลุ่มหนึ่งตามหาเหยื่อต่อไปเพียงแต่ว่า ตามหาอยู่นานก็ไม่พบร่องรอยของสัตว์ตัวเป็นๆ เลย แต่กลับเจอกับสัตว์ท
พวกเขารออยู่ที่เดิม จนกระทั่งเสิ่นลั่วเยี่ยนขี่ม้ากลับมาบนหลังม้ามีกวางซีกาสองตัว และกระต่ายจำนวนหลายตัวเมื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนกลับมาพร้อมกับเหยื่อมากมายเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ก็ตื่นเต้นดีใจดีใจเป็นอย่างยิ่งจนกระทั่งควบม้าไปหาเสิ่นลั่วเยี่ยน ช่วยนางแบกเหยื่อที่ล่ามาได้หยุนเจิงคร่ำครวญอยู่ในใจ ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยน“มองอะไรของเจ้า?”เสิ่นลั่วเยี่ยนควบม้ามาตรงหน้าหยุนเจิง “ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าเป็นตัวซวย! ตอนนี้เจ้าเชื่อข้าหรือยัง?”หยุนเจิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมขึ้น ก่อนจะตะโกนสั่งองครักษ์ว่า “ทิ้งสัตว์พวกนี้ให้หมด! อย่าให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว!”“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าลำบากลำบนกว่าจะล่าสัตว์พวกนี้มาได้สักตัว เจ้ามัสิทธิ์อันใดให้พวกเขาเอาสัตว์ไปทิ้ง เจ้าอยากโดนลงโทษหรืออย่างไร อย่าหาเรื่องให้ข้าลำบากกับเจ้าไปด้วยเลย!”“นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?”สีหน้าของหยุนเจิงเคร่งขรึมจริงจังขึ้น “พวกเราหาเหยื่อมาตั้งนานแต่ก็ไม่เจอสัตว์ตัวเป็นๆ สักตัว เจ้าออกไปไม่นานก็ได้เหยื่อมามากมายปานนี้ เจ้าจะบอกว่าเหยื่อพวกนี