บัดนี้ รถม้าของจักรพรรดิเหวินมาถึงแล้วผู้ที่มาพร้อมกับจักรพรรดิเหวิน นอกจากจะเป็นเจ้าแปด เจ้าเก้าแล้ว ยังมีสนมสองนางอย่างซูเฟยและเหลียงเฟยติดตามมาด้วยจักรพรรดิเหวินออกมาล่าสัตว์ กลับไม่พาฮองเฮา ชั่วครู่หนึ่งทุกคนต่างตระหนักได้ว่าฮองเฮาไร้อำนาจแล้ว การเรียกคืนตำแหน่งฮองเฮา เพียงรอแค่เวลาเท่านั้นสาเหตุที่จักรพรรดิเหวินยังไม่เรียกคืนตำแหน่งฮองเฮา สาเหตุคงจะเป็นเพราะว่าปัญหาขององค์รัชทายาทเพิ่งจะสงบลง หากเอ่ยถึงเรื่องเรียกคืนตำแหน่งฮองเฮาในตอนนี้ เกรงว่าจะเกิดปัญหาอื่นตามมาอีกทันทีที่จักรพรรดิเหวินเสด็จมาถึงก็จ้องหน้าหยุนเจิงอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีหลังจากทุกคนคารวะเสร็จ จึงเดินตามเข้าไปในหนานย่วนเมื่อเจอตำแหน่งที่เหมาะสม นางกำนัลและเหล่าบรรดาขันทีก็เริ่มสร้างกระโจมทันที พร้อมทั้งจัดโต๊ะยาวเรียงกันทีละตัว อีกทั้งยังจัดวางผลไม้นานาชนิด และสุราชั้นดีนี่มันเหมือนการล่าสัตว์เสียที่ไหนกันเล่า!เห็นได้ชัดว่าเป็นการดื่มด่ำสุราและเสวยอาหารมื้อใหญ่!กระทั่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อม จักรพรรดิเหวินจึงประทับนั่งลงตำแหน่งจักรพรรดิ โดยมีซูเฟยและเหลียงเฟยประทับนั่งซ้ายขวาข้างๆ จักรพรรดิเหว
“ลูกไม่กลัวพ่ะย่ะค่ะ!”ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกันจักรพรรดิเหวินได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเหลียงเฟยเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายแปดและองค์ชายเก้าอยากเข้าร่วม ก็ให้ทั้งสองเข้าร่วมเถอะเพคะ มีองครักษ์ติดตามไปปกป้อง ไม่น่าจะเกิดอันตรายใดหรอกเพคะ”เหลียงเฟยเป็นมารดาขององค์ชายแปดตอนนี้ นอกจากซูเฟยแล้ว สนมที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเหวินมากที่สุดก็คือเหลียงเฟยนั่นเองโอกาสเช่นนี้ นางเองก็อยากให้บุตรชายของตนเองได้แสดงฝีมือสักหน่อยจักรพรรดิเหวินครุ่นคิดอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าพลางตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองก็เข้าร่วมเถอะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าอายุยังน้อย สัตว์ที่พวกเจ้าล่ามาได้ข้าจะนับเป็นจำนวนสองเท่า!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”ทั้งสองดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งหยุนเจิงเห็นเช่นนี้ก็แอบแสยะยิ้มไม่ได้เจ้าปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสองคนนี่!ขนยังไม่ทันงอก คิดจะอวดดีอย่างนั้นหรือ!“เจ้าหก!”จักรพรรดิเหวินมองไปที่หยุนเจิงอีกครั้ง “เบิกตามองน้องแปด น้องเก้าของเจ้าดูซิ พวกเขาอายุเพียงเท่านี้กลับล่าสัตว์เป็นแล้ว เจ้าไม่รู้สึกอับอายขายหน้าน้อง
“ตามข้ามา! อย่าได้ถ่วงเวลาข้าล่ะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมุ่งไปข้างหน้า แต่ไม่ลืมที่จะหันกลับมาจ้องเขม็งหยุนเจิง“เอาล่ะ เลิกมองหน้าข้าได้แล้ว! เดี๋ยวก็พลาดเหยื่อหรอก!”หยุนเจิงกรอกตามองบนให้นาง ในใจกลัดกลุ้มใจเล็กน้อยตาเฒ่านั่นก็จริงๆ เลย อยากทดสอบเหล่าบรรดาบุตรตนเองว่าคนใดเหมาะสมที่จะเป็นองค์รัชทายาทก็ทดสอบไปสิ เหตุใดต้องมาทรมานข้าด้วยเล่า!อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีโอกาสได้เป็นองค์รัชทายาทอยู่แล้ว!อยากให้ข้าหลีกทาง ก็ช่วยหาเหตุผลง่ายๆ ไม่ได้หรือไรถึงต้องให้ตนล่าสัตว์ให้ได้!โชคดีที่ช่วงนี้ได้ฝึกขี่ม้ามาบ้างมิเช่นนั้นเกรงว่ามีหวังต้องร่วงมาจากหลังแม้เป็นแน่หยุนเจิงตามหลังเสิ่นลั่วเยี่ยนไปพลางแอบบ่นตลอดทางเสิ่นลั่วเยี่ยนยังคงโกรธอยู่ และไม่มีกะจิตกะใจที่จะพูดคุยกับหยุนเจิง ดวงตาหงส์คู่นั้นของนางสังเกตไปรอบๆ เพื่อหาร่องรอยของเหยื่อทว่า พวกเขาเดินทางออกมาระยะทางประมาณสิบกว่าลี้แล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของสิงสาราสัตว์สักตัวช่างผิดปกติยิ่งนัก!หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงนสงสัยพวกเขาเดินทางมาไกลจนถึงตอนนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เห็นเหยื่อสักตัวนี่มันหนานย่วนเชียวนะ!
โจวมี่กล่าวโน้มน้าวอีกครั้งองครักษ์คนอื่นๆ ต่างก็พากันโน้มน้าวตามไปด้วยอย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนฆ่ากวางซีกาตัวนี้หากรักษาหน้าตาตนเองในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาพ่ายแพ้ มีหวังคงต้องยอมรับโทษแต่โดยดี“ไม่ได้!”หยุนเจิงปฏิเสธอีกครั้ง “ห้ามพูดว่าจะเอากวางซีกาตัวนี้มาเป็นของตนได้แล้ว มิเช่นนั้น กลับจวนไปข้าฟาดห้าสิบไม้ด้วยตัวข้าเอง!”เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง องครักษ์เหล่านี้ก็เงียบปากลงทันที และไม่กล้าเอ่ยปากกล่าวสิ่งใดอีก“ไม่เลวเลย นับว่ามีความทะนงตนอยู่บ้าง!”ยากมากที่จะได้เห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวชื่นชมหยุนเจิงเช่นนี้ กล่าวจบนางก็กระโดดขึ้นหลังม้า “หาเหยื่อต่อไป! ข้าจะล่าเหยื่อด้วยความสามารถของข้าเอง! เหยื่อที่ข้าไม่ได้ฆ่าด้วยตัวเอง ข้าๆไม่ต้องการ!”ในขณะที่กล่าวนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ควบม้ามุ่งหน้าพุ่งออกมาจากป่านั้นหยุนเจิงแอบชื่นชมนางอยู่ในใจ และนำองครักษ์ตามนางไปหญิงสาวผู้นี้ดุไปหน่อย ไม่ได้ปราดเปรียวมากนัก แต่นิสัยใจคอไม่เลวเลยคนกลุ่มหนึ่งตามหาเหยื่อต่อไปเพียงแต่ว่า ตามหาอยู่นานก็ไม่พบร่องรอยของสัตว์ตัวเป็นๆ เลย แต่กลับเจอกับสัตว์ท
พวกเขารออยู่ที่เดิม จนกระทั่งเสิ่นลั่วเยี่ยนขี่ม้ากลับมาบนหลังม้ามีกวางซีกาสองตัว และกระต่ายจำนวนหลายตัวเมื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนกลับมาพร้อมกับเหยื่อมากมายเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ก็ตื่นเต้นดีใจดีใจเป็นอย่างยิ่งจนกระทั่งควบม้าไปหาเสิ่นลั่วเยี่ยน ช่วยนางแบกเหยื่อที่ล่ามาได้หยุนเจิงคร่ำครวญอยู่ในใจ ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยน“มองอะไรของเจ้า?”เสิ่นลั่วเยี่ยนควบม้ามาตรงหน้าหยุนเจิง “ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าเป็นตัวซวย! ตอนนี้เจ้าเชื่อข้าหรือยัง?”หยุนเจิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมขึ้น ก่อนจะตะโกนสั่งองครักษ์ว่า “ทิ้งสัตว์พวกนี้ให้หมด! อย่าให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว!”“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าลำบากลำบนกว่าจะล่าสัตว์พวกนี้มาได้สักตัว เจ้ามัสิทธิ์อันใดให้พวกเขาเอาสัตว์ไปทิ้ง เจ้าอยากโดนลงโทษหรืออย่างไร อย่าหาเรื่องให้ข้าลำบากกับเจ้าไปด้วยเลย!”“นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?”สีหน้าของหยุนเจิงเคร่งขรึมจริงจังขึ้น “พวกเราหาเหยื่อมาตั้งนานแต่ก็ไม่เจอสัตว์ตัวเป็นๆ สักตัว เจ้าออกไปไม่นานก็ได้เหยื่อมามากมายปานนี้ เจ้าจะบอกว่าเหยื่อพวกนี
“เฮ้ย เจ้าหก นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้ากันเนี่ย? ”หยุนลี่บังคับม้ามาข้างๆ หยุนเจิง มองหยุนเจิงและพวกด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “หนานย่วนมีสัตว์มากมายเป็นขโยง นี่พวกเจ้าไม่ได้กลับมาสักตัวเลยหรือ?”“โชคไม่ดี” หยุนเจิงตอบผ่านไปที แต่ในใจแอบสบถด่าพวกเขาว่าบัดซบให้พวกเจ้าลำพองใจไปก่อนเถอะ!ประเดี๋ยวก็จะถึงคราวที่พวกเจ้าต้องปาดน้ำตาบ้าง!“โชคไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”หยุนลี่หัวเราะเยาะเสียงดัง และกล่าวเย้ยหยันว่า “ข้าว่าเจ้ายิงธนูไม่เป็นมากกว่า ข้าได้ยินว่าเสด็จพ่ออนุญาตให้ว่าที่ชายาของเจ้าเป็นคนช่วยเจ้าล่าสัตว์ แต่นี่ไม่ได้กลับมาสักตัวเลยหรือ เสด็จพ่อเพิ่งจะบอกไปว่าเจ้าเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งไม่ใช่หรอกหรือ?”“องค์ชายสาม!”เสิ่นลั่วเยี่ยนกัดฟันกรอดจ้องหน้าหยุนลี่ “ดูถูกข้าได้ แต่อย่ามาดูถูกท่านพ่อของข้า!”“น้องสะใภ้ เจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว” หยุนลี่กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “ข้าขอเดาว่า เจ้าน่ะไม่ใช่คนไร้ความสามารถหรอก แต่เจ้าคงจะอยู่กับเจ้าหกมากเกินไป ก็เลยติดเชื้อเจ้าหกเข้าแล้ว”เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธกับคำพูดนี้มาก หันขวับไปจ้องหน้าหยุนเจิง แอบสบถด่าในใจอยากจะรักษาหน้าตาก็ยอมร
ไม่นานนัก หยุนเจิงและพวกก็กลับมาถึงรถม้าของพวกเขาเมื่อพวกเขากลับมาถึง องค์ชายคนอื่นๆ ก็กลับมากันหมดแล้วแต่ละคนกลับมาพร้อมกับผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมบนพื้นเต็มไปด้วยสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่มากมายแม้แต่เจ้าแปดที่อายุเพียงสิบสามปี ตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยเหยื่อจำนวนไม่น้อยนอกจากหยุนเจิงแล้ว ก็มีเจ้าเก้าที่อายุเพียงสิบเอ็ดปีที่กลับมามือเปล่าเมื่อเห็นหยุนเจิงและพวกกลับมามือเปล่าเช่นนี้ ทุกคนต่างหัวเราะเย้ยหยันขึ้น “เจ้าหก เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ได้เหยื่อมาสักตัว?”“ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก! น้องสะใภ้ก็ช่วยเจ้าแล้ว เหตุใดถึงไม่ได้เหยื่ออีกเล่า?”“ข้าว่าเจ้าหกเห็นแก่หน้าตา ก็เลยไม่สะดวกใจที่จะให้น้องสะใภ้ลงมือมากกว่า”“แต่ข้าเดาว่า เจ้าหกมีจิตใจเมตตา ทนที่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้เป็นแน่…”ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิเหวิน แม้องค์ชายทั้งหกจะมีความสำรวม แต่ความเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นยังคงเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแม้แต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าแปดก็ร่วมความครึกครื้นนี้ด้วยหยุนเจิงคร้านจะสนใจคนพวกนี้ จึงหันไปมองเยี่ยจื่อทั้งสองสบตากัน เยี่ยจื่ิอพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงจึงวางใจ
“ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงโค้งคำนับอีกครั้ง“ดี! ยอมรับโทษแต่โดยดีก็ดี!”จักรพรรดิเหวินพยักหน้าและตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าหลบไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าทีหลัง!”หยุนเจิงน้อมรับพระบัญชา พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและพวกหลบไปอยู่ข้างๆ เยี่ยจื่อ“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้ากันแน่?”เยี่ยจื่อกระซิบถามหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนเสียงเบาด้วยความสงสัย“อย่าได้เอ่ยเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ พลางจ้องเขม็งไปที่หยุนเจิงด้วยความโกรธเกรี้ยวหยุนเจิงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด แอบส่งสายตาเป็นนัยบอกให้เยี่ยจื่อรอดูละครฉากใหญ่ห๊ะ?เยี่ยจื่อไม่เข้าใจนัก และนางก็อดคิดสงสัยไม่ได้หรือหยุนเจิงจะมีแผนสำรองเอาไว้?ทว่า เหตุใดตอนนี้ถึงยังนิ่งสงบอยู่อีกและในขณะที่เยี่ยจื่อกำลังฉงนสงสัยอยู่นี้เอง จักรพรรดิเหวินลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆมองดูเหยื่อเหล่านี้ที่วางอยู่ตรงหน้าโอรสของตนก็อดที่จะพยักหน้าไม่ได้“อืม ไม่เลวเลย! แต่ละคนไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ!”จักรพรรดิเหวินพลางพยักหน้า พลางเดินผ่านเหยื่อที่ตั้งอยู่ตรงหน้าขององค์ชายแต่ละคน ทั้งยังรับสั่งว่า “มู่ซุ่น รีบให้คนมานับจำ
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่
สองวันต่อมา หยุนลี่ได้รับจดหมายตอบกลับจากหยุนเจิง เมื่อมองเนื้อหาในจดหมาย หยุนลี่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาถึงกับขยี้ตาหลายรอบ กลัวว่าตัวเองจะมองผิดไป ตกลงแล้ว! เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นตอบตกลงจริงๆ! หยุนเจิงยอมจ่ายเงิน หนึ่งล้านสองแสนตำลึง พร้อมกับส่งตัวหยางหุยโจว เพื่อแลกกับอิสรภาพของฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวทั้งสิบสามชีวิต ท้ายจดหมาย หยุนเจิงยังกล่าวข่มขู่ หากครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งมีอันเป็นไป อย่าได้โทษว่าเขาไม่ไว้หน้า! "ฮ่าๆๆ!" เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไป หยุนลี่ถึงกับหัวเราะลั่น หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แม้จะยังไม่เทียบเท่ากับจำนวนเงินที่เขาเคยถูกหยุนเจิงโกงไป แต่หนึ่งล้านสองแสนตำลึงก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว นี่มีความหมายไม่น้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถหลอกเอาเงินจากหยุนเจิงได้! และครั้งแรกนี้ก็เล่นไปถึง หนึ่งล้านสองแสนตำลึง! จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร!? ปากของฮั่วเหวินจิ้งแข็งเกินไป หากฆ่าฮั่วเหวินจิ้งทิ้งเพียงเพราะความโกรธ ก็มีแต่เสียเปล่า แต่ถ้าใช้เขามารีดเงินจากเจ้าหกได้… ไม่ใช่ว่าเป็นประโยชน์กว่าหรือ!? คิดไม่ถึงว่า มันสำเร
เมื่อหยุนเจิงกล่าวจบ ก็เล่าถึงข้อสันนิษฐานของตนให้เสิ่นควานฟัง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็นึกไม่ออกถึงสาเหตุอื่นเลย หยุนลี่คงไม่ถึงกับยากจนขนาดจับใครมาเรียกค่าไถ่จากเขาโดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่ไหม? หากมีสิ่งผิดปกติ ย่อมต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่! เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เสิ่นควานก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด ว่ากันตามตรง ข้อสันนิษฐานของฝ่าบาทก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก ฝ่าบาทจับตัวคนของหยุนลี่ แล้วเรียกค่าไถ่ หยุนลี่ก็ทำตามแบบเดียวกัน จับตัวคนที่เขาคิดว่าเป็นสายของฝ่าบาท แล้วเรียกค่าไถ่บ้าง? หรือว่านี่จะเป็นการใช้วิธีของศัตรูมาตอบโต้ศัตรูแบบที่ฝ่าบาทเคยพูดสินะ? “กราบทูลฝ่าบาท แม่ทัพอวี่ชื่อจงส่งสาสน์เร่งด่วนมา!” ในขณะนั้นเอง กองทหารองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ สาสน์ด่วนจากอวี่ชื่อจง? หรือว่าเจ้าสามคิดลงมือแล้ว!? เจ้าสามคงไม่บ้าถึงขั้นเปิดศึกในเวลานี้หรอกกระมัง? “นำมานี่!” หยุนเจิงรีบให้เสิ่นควานรับจดหมายมา เมื่อได้รับจดหมายจากเสิ่นควาน หยุนเจิงก็เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของเขากลั
อุทยานบุปผาหลวง หลังจากการประชุมเช้าเสร็จสิ้น จักรพรรดิเหวินรับสั่งให้คนไปแจ้งหยุนลี่ ให้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน บิดาและบุตรก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะที่มู่ชุ่นและขุนนางติดตามคนอื่นๆ จงใจเว้นระยะห่างออกไป "ฮั่วเหวินจิ้งยังไม่ยอมเปิดปากรึ?" จักรพรรดิเหวินทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลัง ตรัสถามด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม "ยังพ่ะย่ะค่ะ" หยุนลี่ส่ายศีรษะเบาๆ "ฮั่วเหวินจิ้งไม่กลัวทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ยืนกรานไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อพรรคพวก" จักรพรรดิเหวินตรัส "ในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็เปลี่ยนวิธีเถิด!" เปลี่ยนวิธี? หยุนลี่มองจักรพรรดิเหวินด้วยความฉงน "เสด็จพ่อทรงมีแผนใด?" "แผนการวิเศษอะไรนั้นไม่มี มีแค่แผนโง่ๆ แผนหนึ่ง" จักรพรรดิเหวินแย้มสรวล "เจ้าหกไม่เคยเล่นงานเจ้ารึ? เช่นนั้นเจ้าก็เอาฮั่วเหวินจิ้งมาเล่นงานเขาบ้างสิ! ให้เขานำเงินมาไถ่ตัวฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวของเขา!" อืม? หยุนลี่ได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวินเช่นนั้น พลันเกิดประกายความคิด สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ? "แผนนี้ของเสด็จพ่อแยบยลยิ่ง!" หยุนลี่รีบกล่าวคำเยินยอจักรพรรดิเวหิน ก่อนจะมีท่าทีล
"ข้าให้ความไว้วางใจเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าเอาความภักดีไปให้สุนัขกินแล้วหรือ?" "ข้าทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ?" ยิ่งพูดยิ่งโกรธ หยุนลี่กระทืบฮั่วเหวินจิ้งซ้ำอีกหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะต้องการเก็บชีวิตของมันไว้เพื่อรีดข้อมูล เขาคงสั่งให้จับมันไปประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว! "แค่กๆ..." ฮั่วเหวินจิ้งถูกเตะซ้ำๆ จนกระอักเลือดออกมาเป็นสาย หยุนลี่พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอฆ่ามันซะก่อน ตะคอกเสียงดัง "บอกมา! ยังมีพวกของเจ้ากี่คน!?" ฮั่วเหวินจิ้งนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น แววตาเจ็บปวด "กระหม่อม...ไม่รู้จริงๆ... แค่กๆ..." กล่าวจบฮั่วเหวินจิ้งก็สำลักเลือดออกมาอีก "ไม่รู้? คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง!?" หยุนลี่มองฮั่วเหวินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา "ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายังไม่เห็นค่าของมัน ข้าไม่เพียงจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แต่จะส่งคนไปสังหารทั้งตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก!" น้ำเสียงของหยุนลี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขาต้องรีดเอาข้อมูลออกมาให้ได้! ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าข้างกายเขายังมีคนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่! "กระหม่อมไม่รู้จริงๆ!" ฮั่วเหวินจิ้งส่งเสียงคร่ำครวญ "ต่อให้ฝ่าบาทสั
ยามดึกสงัด ณ จวนองค์รัชทายาท แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่เที่ยงคืนแล้ว แต่หยุนลี่ยังคงไม่ยอมนอน ฎีกาจากกรมกองต่างๆ ถูกส่งมารวมไว้ที่เขาทั้งหมด ปกติแล้วฎีกาเหล่านี้ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปริมาณฎีกาเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว ที่สำคัญ เนื้อหาในฎีกาส่วนใหญ่มีเพียงเรื่องเดียว ขอเงิน! แม้เขาจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินไปบางส่วนแล้ว แต่เงินในท้องพระคลังยังคงร่อยหรอ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นคิดหาวิธีหลอกเอาเงินอยู่ตลอด! ขณะหยุนลีกำลังอ่านฎีกาชุดสุดท้าย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก "ขอทูลองค์รัชทายาทฝ่าบาท ฮั่วเหวินจิ้งถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปทันที ฮั่วเหวินจิ้ง! สารเลว! ที่แท้มันก็คือเขาจริงๆ ! "เข้ามา!" ประกายสังหารพุ่งวาบขึ้นในดวงตาของหยุนลี่ เขาแทบอยากฉีกทึ้งฮั่วเหวินจิ้งเป็นชิ้นๆ ยังดีที่เขาระแวดระวังไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าชายชั่วผู้นี้จะซ่อนตัวอยู่ข้างกายเขาอีกนานเท่าใด! สมควรตาย! ไม่นานนัก องครักษ์ผู้รายงานข่าวก็เดินเข้ามา "จับตัวได้เมื่อใด?
ณ ชั่วขณะนั้น หยุนลี่พลันเข้าใจถึงความยากลำบากของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางในราชสำนักนั้น ทั้งต้องใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยให้พวกเขามีอำนาจมากเกินไป จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้งานกับการควบคุมพวกเขา ในราชสำนัก ย่อมไม่อาจปล่อยให้ขุนนางผู้ใดมีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่ผู้ที่เขาไว้วางใจที่สุด! … ยามโพล้เพล้ ณ จวนฮั่ว "ฮั่วผิง นี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจะออกไปไหน?" พ่อบ้านที่ประจำอยู่หน้าจวนฮั่วทักขึ้นเมื่อเห็นฮั่วผิงกำลังจูงม้าเทียมเกวียนออกจากจวน ฮั่วผิงตอบกลับ "ฟืนถ่านในจวนใกล้หมดแล้ว นายท่านสั่งให้ข้ารีบออกไปซื้อก่อนที่ฟ้าจะมืด" "เช่นนั้นเจ้าต้องรีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะ ถ้าพลาดเวลาอาหารก็ต้องอดข้าวแล้ว" พ่อบ้านที่เฝ้าประตูเตือนขึ้น ฮั่วผิงยิ้มขื่นๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะขับเกวียนออกไป ไม่นาน ฮั่วผิงก็มาถึงตลาดขายถ่านทางตอนใต้ของเมือง ขณะที่เขามาถึง ร้านค้าถ่านก็เตรียมจะปิดร้านกันแล้ว "พ่อค้า รอก่อน! ข้าจะซื้อถ่าน" ฮั่วผิงตะโกนเรียกพ่อค้าผู้กำลังจะปิดร้าน พ่อค้าหันมามอง ก่อนจะชะงักมือที่กำลังปิดประตูร้าน "พี่ฮั่ว ทำไมเจ้าถึง
แม้กู้ซิวจะคัดค้านอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของหยุนลี่ได้ ท้ายที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดลงไป หยุนลี่ยังสั่งกำชับทั้งห้าว่าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เมื่อทุกคนค่อยๆ ถอนตัวออกไป สวีสือฝู่กลับอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับหยุนลี่ และขออยู่ต่อ "ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?" สวีสือฝู่ขมวดคิ้ว ถามหยุนลี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ตกปลา!" หยุนลี่เผยรอยยิ้มลึกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ความกังวลของกู้ซิวนั้นช่างเกินเหตุไป เขาคือองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ และเป็นจักรพรรดิในอนาคต! ย่อมเข้าใจผลกระทบของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นปล่อยเงินปลอมเข้าสู่ตลาดโดยตรง "ตกปลา?" แววตาของสวีสือฝู่ฉายแววเย็นเยียบ "ฝ่าบาททรงสงสัยว่ามีคนในพวกเราห้าคนนี้ไม่น่าไว้วางใจหรือ?" "ไม่ ไม่ใช่!" หยุนลี่รีบโบกมือ "ข้าย่อมเชื่อใจท่านลุงและพ่อตาแน่นอน! ข้าเพียงแต่สงสัยฮั่วเหวินจิ้งเท่านั้น…" กล่าวพลาง หยุนลี่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฮั่วเหวินจิ้งพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เดินทางไปฟู่โจว เขาถึงขั้นสงสัยว่า ครั้งก่อนท
หากกองทัพเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ ต้าเฉียนก็จะเข้าสู่กลียุคในไม่ช้า"พวกเจ้าดูเถิด!" หยุนลี่ใบหน้ามืดครึ้ม หยิบจดหมายสองฉบับบนโต๊ะส่งให้ทั้งห้าคนดู ทั้งห้าคนไม่กล้าชักช้า รีบรุดเข้ามาอ่านเนื้อหาในจดหมาย "สามล้านตำลึงเงิน เสบียงอาหารสองแสนชั่ง ช่างต่อเรือหนึ่งพันคน เขาช่างกล้าขอจริงๆ…" "ก็ต้องให้สิ! ไม่ให้แล้วจะทำอย่างไร? นี่ล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทฝ่าบาทรับปากไว้ไม่ใช่หรือ?" "ต่อให้รับปากแล้ว ก็ยังสามารถถ่วงเวลาไปก่อนได้มิใช่หรือ?" "จะถ่วงเวลาอย่างไร? หากถ่วงไปอีก ก็จะเลยฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศแล้ว!" "ค่าไถ่ตัวหยางหุยโจวก็ต้องจ่าย หากปล่อยให้หยุนเจิงประหารหยางหุยโจว เช่นนั้นจะกระทบต่อพระเกียรติยศของฝ่าบาท…" ยังไม่ทันที่หยุนลี่จะเอ่ยถาม ทั้งห้าก็ถกเถียงกันขึ้นมาเอง การถ่วงเวลาออกไป ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเขา แต่ปัญหาก็คือ หยุนเจิงได้เตือนมาในจดหมายแล้ว หากยังไม่ส่งเงิน เสบียง และช่างต่อเรือไปยังฟู่โจว ฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศก็จะผ่านพ้นไป และหากต้องการมันเทศอีก ก็ต้องรอจนถึงปีหน้า ขณะที่ทั้งห้าคนยังวิตกกังวล หยุนลี่กลับเผยรอยยิ้มออกมา "ต้องให้แน่นอน! มันเทศต้