เห็นท่าท่างหน้านิ่วคิ้วขมวดของหยุนเจิง เมี่ยวอินหัวเราะอย่างจนปัญญา จากนั้นก็เดินทางนั่งลงข้างกายหยุนเจิง กล่าวเกลี้ยกล่อม “หากเรื่องนี้ไม่อาจทำได้ ก็อย่าทำให้ตัวเองลำบากเลย”“ข้ารู้”หยุนเจิงผ่อนคลายหัวคิ้ว “ดูสถานการณ์ก่อนเถอะ! หากไม่ได้จริงๆ ก็ช่าง!”บางเรื่อง เดิมก็ไม่อาจฝืนบังคับเขาไม่ถึงขั้นหัวรั้นต้องไปสู้ตายกับเถี่ยฉงที่ด่านเทียนฉงให้ได้“ในเมื่อเจ้าล้วนคิดเช่นนี้แล้ว ก็เลือกทำหน้ามุ้ยได้แล้ว”เมี่ยวอินหัวเราะ จงใจเปลี่ยนประเด็น “เมื่อก่อนข้าไม่รู้ โฉวฉื่อมีคนมากมายล้วนชื่อสกุลคล้ายกันกับต้าเฉียนพวกเรา!”“มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อยกล่าว “ไม่เพียงโฉวฉื่อ แคว้นต้าเย่ว์และชนเผ่าโม่ซีก็มีคนที่ชื่อสกุลคล้ายกับต้าเฉียน...”โฉวฉื่อเดิมก็เป็นแคว้นที่มีชนกลุ่มน้อยผสมเข้าด้วยกันราชวงศ์ต้ายงซึ่งเป็นบรรพบุรุษของต้าเฉียนก็เจริญรุ่งเรืองมาระยะหนึ่งเช่นกันบรรพบุรุษของเป่ยหวน ครั้งหนึ่งเขาถูกขับไล่ไปทางเหนือของทะเลทรายเหลืองโดยราชวงศ์ต้ายงที่รุ่งเรืองอำนาจตอนที่ราชวงศ์ต้ายงเรืองอำนาจสูงสุด ส่วนหนึ่งของชนเผ่าโม่ซีก็เป็นของราชวงศ์ต้ายงต่อมาอำนาจของราชวงศ์ต้ายงเส
หยุนเจิงเพ็งมอง คนผู้นั้นก็คือทหารคุ้มกันอาซือน่าไปยังด่านเทียนฉง“เหตุใดมีแค่เจ้าคนเดียว?”หยุนเจิงสายตาเย็นชาจ้องทหารคุ้มกันผู้นี้ “พวกอาซือน่าเล่า?”“ท่านอ๋อง...”ทหารคุ้มกันร้องไห้แล้วคุกเขาเสียงดึงกึก “ขอร้องท่านอ๋องล้างแค้นให้พวกเรา...”ล้างแค้น?หยุนเจิงใจเต้นรัว ตะโกนถามด้วยใบหน้าเย็นกระด้าง “เถี่ยสงฆ่าพวกอาซือน่าแล้ว?”ทหารคุ้มกันพยักหน้า ร้องไห้กล่าว “เถี่ยสงฆ่าพวกเขาหมดแล้ว เอาหัวของพวกเขาแขวนไว้ที่กำแพงเมืองด่านเทียนฉง เหลือข้าน้อยคนเดียวกลับมานำคำพูดมอบให้ท่านอ๋อง...”“ทำพูดใด?”หยุนเจิงถามหน้าดำคร่ำเคร่งทหารคุ้มกันมองหยุนเจิงอย่างระมัดระวัง กล่าวตะกุกตะกัก “เถี่ยสงบอกว่า เขาไม่มีทางจำนนต่อท่านอ๋อง หากท่านอ๋องมี...ความกล้า ก็มาเอาศีรษะของเขาที่ด่านเทียนฉง...”“ผายลมสิ!”ฉินชีหู่โมโหเดือดดาล “รอให้พวกเราตีโฉวฉือแตก จะต้องตัดหัวสุนัขของเถี่ยสงมาเป็นกระโถน!”ฉินชีหู่โมโหเกรี้ยวกราดอาซือน่าคือทูตพิเศษของหยุนเจิงบอกได้ว่าระหว่างสองทัพทำศึกไม่ประหารทูตเถี่ยสงคนธรรมดา นึกไม่ถึงจะกล้าฆ่าอาซือน่าและทหารคุ้มกันของเขาโดยตรง แล้วยังส่งคนฝากข้อความให้หยุนเจิงด้วยเ
หยุนเจิงครุ่นคิดเงียบๆ ตอบกลับ “ข้าค่อยคิดดูอีกครั้ง!”คิดดู?ฉินชีหู่มองหยุนเจิงด้วยความงงงวยเป็นเช่นนี้แล้ว ยังมีสิ่งใดต้องคิด?ตอนนี้ ใช้วีธีลอบส่งทหารโจมตีด่านเทียนฉง น่าจะไม่มีโอกาสแล้วหวังให้กษัตริย์โฉวฉื่อสงสัยเถี่ยสง บังคับให้เถี่ยสงจำเป็นต้องยอมจำนนหยุนเจิง ดูเหมือนจะไม่มีความหวังแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ยึดด้านเทียนฉงแทบกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยหยุนเจิงต้องคิดจะตีด่านเทียนฉง?หยุนเจิงไม่พูดจา เพียงแค่ครุ่นคิดเงียบๆฉินชีหู่แอบกังวล ส่งสายตาให้เมี่ยวอินเงียบๆ เป็นสัญญาณบอกให้เมี่ยวอินเกลี้ยกล่อมหยุนเจิงตอนนี้เขากลัวว่าหยุนเจิงจะต้องการสู้ตายกับด่านเทียนฉงต่อให้หยุนเจิงไม่ใช้กำลังโจมตีด่านเทียนฉง เพียงแค่ส่งกองทัพข่มขวัญเถี่ยสง ตราบใดที่ยึดด่านเทียนฉงไม่ได้ พวกเขาล้วนเสียเปรียบถึงบ้านป้าแล้วถึงเช่นไร ทหารและม้ามากมายเช่นนี้ก็ต้องบริโภคเสบียงอาหารจำนวนมหาศาลเผชิญกับสายตาฉินชีหู่ เมี่ยวอินส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา บ่งบอกว่านางไม่อยากรบกวนหยุนเจิงหยุนเจิงไม่ยอมก็ดี กล่ำกลืนความโกรธนี้ลงไปก็ช่าง ล้วนรอให้หยุนเจิงคิดเสร็จแล้วค่อยว่ากันตอนนี้พวกเขาไปห้าม เป็นเพี
“เจ้าชื่ออะไร?”หยุนเจิงถามทหาร“อู...อูต๋า...”ทหารไม่กล้าสบตาหยุนเจิง ก้มหน้าต่ำ ตอบด้วยความระมัดระวัง“อูต่าใช่หรือไม่?”หยุนเจิงจ้องอูต๋า “ตอนนี้ เจ้าฆ่าพี่น้องด้วยมือตัวเองแล้ว เจ้ามีเพียงสองทางเลือก ทำงานแทนข้า รอสร้างความดีความชอบใหญ่ ไม่มีปัญหาที่จะได้รับตำแหน่งนายพล หรือไม่ รอให้เถี่ยสงรู้เรื่องที่เจ้าทำ ตัดศีรษะเจ้าต่อหน้าสาธารณะชน ให้ครอบครัวเจ้ากลายเป็นทาส! บอกมา เจ้าคิดจะเลือกเช่นไร?”อูต๋ามองหยุนเจิงด้วยความตัวสั่น ลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็คุกเข่า กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าน้อย ยินดีทำทุกอย่างเพื่อท่านอ๋อง...”หยุนเจิงบอกว่าให้เขาสองทางเลือก แต่เดิมทีเขาก็ไม่มีโอกาสเลือกตอนที่เขาฆ่าหกคนที่เหลือ เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้ว“ดีมาก!”หยุนเจิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าเลือกได้ถูกต้องแล้ว! เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”กล่าวจบ หยุนเจิงก็ส่งสายตาให้องครักษ์ข้างกายหลังจากอูต๋าถูกพาไปแล้ว ฉินชีหู่ถามอย่างทนรอไม่ไหว “น้องชาย เจ้าคิดทำสิ่งใดกันแน่?”หยุนเจิงสายตาฉาบด้วยความเย็นชา กล่าวเสียงเฉียบ “ยึดด่านเทียนฉง!”“อะไรนะ?”เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ฉินชีหู
“แน่นอนเพื่อได้อาวุธและชุดเกราะของพวกเขา!”หยุนเจิงกล่าวยิ้มเล็กน้อย “พวกเราทางนี้มีอาวุธชุดเกราะของโฉวฉือเกือบสองร้อยชุด ขโมยอาวุธและชุดเกราะของโฉวฉื่อ ก็สามารถได้อาวุธชุดเกราะสาม สี่ร้อยตัวออกมา...”สาม สี่ร้อยคิด บางทีอาจมีประโยชน์ไม่มากสำหรับการยึดด่านเทียนฉงแต่หากสามารถแทรกซึมเข้าไปในด่านเทียนฉงได้ ย่อมมีโอกาสเผาเสบียงอาหารของกองทหารประจำการด่านเทียนฉงแน่นอนต่อให้เส้นทางนี้ไม่ได้ผล หลายร้อยคนก็สามารถแทรกซึมเข้าสู่ดินแดนโฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่ว์ได้ หาโอกาสกำจัดทหารของแคว้นต้าเย่ว์บางส่วน ยุแยงความสัมพันธ์แคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉื่อหากสามารถทำให้พวกเขาจากแสดงละครเป็นสู้กันจริงขึ้นมา เช่นนั้นก็ดีมากเลย“วิธีนี้ไม่เลวเลย”ฉินชีหู่จิ๊จ๊ะริมฝีปาก “แต่ปัญหาคือ แผนการนี้ไม่จำเป็นต้องได้ผลลัพธ์ตามที่เจ้าต้องการ! พวกเราโยกย้ายกองทัพใหญ่มา หากทั้งยึดด่านเทียนฉงไม่ได้ พวกเราก็เท่ากลับทรมานเสียเปล่าแล้ว...”ความคิดของหยุนเจิงนั้นดีแต่ความคิดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ได้ผลจริง!ไม่ว่าเผาเสบียงหรือยุแยงต้าเย่ว์และโฉวฉื่อเปิดศึก ล้วนต้องอาศัยดวงหากหยุนเจิงดวงไม่ดี หลายร้อยคนนี้ดีไม่ดีก็เท่ากับ
ป้อมปราการ ก็ต้องทำให้เหมือนป้อมปราการแค่ทำจำลองเท่านั้น ไหนเลยต้องลำบากเช่นนั้น?“เหตุใดเจ้าตัดสินใจให้พวกเราสร้างป้อมปราการที่นั่น ทัพศัตรูจะเป็นฝ่ายบุกหรือ?”ฉินชีหู่ยังไม่เข้าใจ “ทัพศัตรูไม่บุกมา ถ่วงเวลากับพวกเรา พวกเราจะทำเช่นไรได้?”เมี่ยวอินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง คล้ายกับเห็นด้วยกับคำพูดของฉินชีหู่มาก“……”หยุนเจิงใบหน้าดำอึมครึมมองทั้งสองคน “ข้าอยากจะแยกสมองของพวกเจ้าสองคนออก แล้วนำสมองของตัวเองยัดเข้าไปจริงๆ!”ตอนนั้นที่เมืองจักรพรรดิ เมี่ยวอินคิดยากตามเขาไปเข้าร่วมการฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้หนานย่วน ยังบอกว่านางเคยอ่านหนังสือการรบมาก่อนท่าทางเมี่ยวอินตอนนี้ ที่ใดเหมือนคนเคยอ่านหนังสือการรบคำถามง่ายดายเช่นนี้ นางก็พยักหน้าเห็นด้วย?เปลี่ยนเป็นอวี๋ซื่อจง ตู๋กูเช่อหรือพวกต่งกังพวกเขาคนใดคนหนึ่ง พวกเราสามารถเขาใจความหมายของเขาได้ในชั่วพริบตาคาดว่า แม้แต่เยี่ยจื่อยังสามารถเส้นทางคดเคี้ยวในเรื่องนี้ได้“เดิมทีก็เช่นอยู่แล้ว!”เมี่ยวอินถูกหยุนเจิงมองจนรู้สึกเก้อเขิน “ทัพศัตรูไม่เคลื่อนไหว เจ้าสามารถโยกย้ายทัพศัตรูไม่ได้?”“ข้าเดิมทีก็กำลังโยกย้ายพวกเขา!”หยุนเจิง
ความจริง เดิมทีแม่น้ำซัวเล่ยก็มีแหล่งน้ำทว่า หากต้องได้แหล่งน้ำของแม่น้ำซัวเลย ต้องหาสถานที่ขุดเจาะลงไป ไม่ได้สะสวดสบายเหมือนทะเลสาบเทพธิดายืนยันว่ามีแหล่งน้ำใกล้บริเวณนั้น หยุนเจิงดีใจมาก สั่งทหารคุ้มกันทันที “เจ้ารีบกลับไปถ่ายทอดคำสั่งของข้าให้จู่หลู่ สั่งจู่หลู่กบไประดมชาสเผ่าฟังคำสั่ง ชาย หญิง เด็ก ชราได้ทั้งหมด!”ทหารคุ้มกันชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง หากหัวหน้าถามข้าน้อย เหตุใดต้องระดมชาวเผ่าเหล่านี้ ข้าน้อยควรตอบเช่นไร?”หยุนเจิงขี้เกียจอธิบาย ตอบโดยตรง “ข้าทดสอบเขาและเป่ยหมัวถัว!”“ขอรับ!”ทหารคุ้มกันไม่กล้าถามมากหยุนเจิงสั่งคนให้อาหารแห้งและม้าหนึ่งตัวกับทหารคุ้มกัน ให้ทหารคุ้มกันนำคำสั่งของเขาส่งถึงจู่หลู่โดยเร็วที่สุด“เจ้าไม่วางใจจู่หลู่?”ทหารคุ้มกันจากไปแล้ว เมี่ยวอินจึงเอ่ยปากถาม“นิดหน่อยกระมัง!”หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆ “หากจู่หลู่นำถามการสร้างป้อมปราการที่แม่น้ำซัวเล่ยเผยแพร่ออกไป ทหารและเสบียงของพวกเรายังไปไม่ถึงตำแหน่ง ทัพศัตรูเกรงว่าคงบุกโจมตีมาแล้ว!”“มันก็จริง”เมี่ยวอินพยักหน้าเบาๆ ภายในใจรู้สึกเลื่อมใสหยุนเจิงละเอียดรอบครอบ
สองวันให้หลัง ด่านเทียนฉงอูต๋ากลับไปรายงานสถานการณ์ที่ด่านเทียนฉงตามความต้องการของหยุนเจิงสองวันนี้ หยุนเจิงฝึกอบรมเร่งด่วนให้อูต๋าโดยเฉพาะต้องเพิ่มคุณภาพทางจิตวิทยาให้อูต๋าแม้อูต๋าไม่ได้รายงานเถี่ยสงโดยตรง แต่เขาก็ต้องป้องกันเอาไว้หน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้อูต๋าอ้าปากก็เผยพิรุธแล้วทว่า หยุนเจิงประเมินอูต๋าสูงเกินไปแล้วหลังสนทนาสองสามประโยค เถี่ยถูลูกชายของเถี่ยสงสังเกตเห็นความตึงเครียดของอูต๋าเถี่ยถูขมวดคิ้วเล็กน้อย มองอูต๋าด้วยความสงสัย “ทางนั้นไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นจริงหรือ?”“ไม่...ไม่มี”ถูกเถี่ยถูถามเช่นนี้ อูต๋าที่มีผีในใจยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมเถี่ยถูดูออกว่าอูต๋าผิดปกติ ใบหน้าบึ้งตึง คำรามเสียงเกรี้ยวกราด “พูด เกิดเรื่องใดกันแน่? หากไม่บอกมาตามตรง จะให้เจ้าได้ทดลองโทษประหารชีวิตภายในค่ายทหาร!”เผชิญกับการซักไซ้ของเถี่ยถู สภาพจิตใจของอูต๋าพังทลายลงในพริบตา“ปึก...”อูต๋าคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรก ร้องไห้ทั้งน้ำตา “ข้าน้อยถูกบีบบังคับ ขอแม่ทัพไว้ชีวิตด้วย...”เถี่ยถูสายตาเย็นชา ใบหน้าบึ้งตึง “ขอแค่เจ้าบอกตามความจริง ข้ารับประกันชีวิตเจ้า!”สภาพจิตใจของอูต๋าย่ำแย่ห
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ