หยุนเจิงเป็นใครนั่นคือองค์ชายหกแห่งต้าเฉียน!คือจิ้งเป่ยอ๋อง!ซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ!เขาคือคนที่เป็นจิตวิญญาณของทั้งกองทหารมณฑลทางเหนือ!เพราะหยุนเจิงบัญชาการด้วยตัวเอง เป่ยหวนที่เผด็จการจึงถูกตีพ่ายแพ้จนล่าถอย ตอนนี้หลบอยู่ที่ทางตอนเหนือของทะเลทรายเหลืองแล้วและคนที่เป็นภัยคุกคามโฉวฉื่อมากที่สุด ก็คือหยุนเจิง!ขอแค่กำจัดหยุนเจิงได้ ต้องเป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่เทียมฟ้าถึงเวลานั้น ถึงขั้นได้ตำแหน่งแม่ทัพอันดับหนึ่งของโฉวฉื่อลูกน้องทั้งหมดที่อยู่ภายใต้เถี่ยสง ก็จะได้รับรางวัลอย่างมากมายโอกาสเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งเมื่อได้ฟังคำพูดของทั้งสองคน เถี่ยสงอดไม่ได้ที่จะจมสู่ความมคิดจู่โจมสังหารหยุนเจิงหรือ?เขาย่อมมีความคิดเช่นนี้ขอแค่จู่โจมสังหารหยุนเจิงได้ พวกเขาทั้งหมเดก็สามารถร่วมแรงกับกุ่ยฟางและแคว้นต้าเย่ว์ ฉวยโอกาสตอนกองทหารมณฑลทางเหนือไร้ผู้นำจัดการทำลายกองทหารมณฑลทางเหนือในคราวเดียว ทำลายภัยคุกตามจากกองทหารมณฑลทางเหนือ!ส่วนความดีความชอบในการจู่โจมสังหารหยุนเจิง แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้เขาย่อมอยากได้ความดีความชอบนี้ทว่า เถี่ยสงลังเลอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิด
พวกหยุนเจิงอยู่ที่หุบเขารอหนึ่งวันสุดท้าย ก็รอไม่ถึงอูต๋าย้อนกลับมานักรบภูตเก้าที่สำรวจใกล้ด่านเทียนฉงส่งคนกลับมารายงาน ด่านเทียนฉงไม่มีความผิดปกติใด“ดูเหมือน อูต๋าเผยพิรุธแล้ว เถี่ยสงไม่มีทางส่งทหารมาจู่โจมสังหารพวกเรา”หยุนเจิงยิ้ม จากนั้นก็สั่งนักรบภูตสิบเอ็ดที่กลับมารายงาน “แจ้งพวกนักรบภูตเก้ากลับมาทันที เตรียมตัวล่าถอย!”รอนักรบภูตสิบเอ็ดรับคำสั่งจากไปแล้ว ฉินชีหู่ถามอย่างไม่ยอมแพ้ “พวกเรารออีกหน่อยดีหรือไม่?”“ไม่จำเป็นต้องรอแล้ว”หยุนเจิงส่ายหน้ากล่าว “หากเถี่ยสงจู่โจมฆ่าพวกเรา ก็ควรฉวยโอกาสไปนานแล้ว ไม่ใช่ไม่เคลื่อนไหวอยู่เช่นนี้! เจ้าคิดดูสิ อูต๋าไปตั้งนานไม่กลับมา หรือพวกเราไม่ควรสงสัยหรือ? แม้แต่พวกเราล้วนเดาได้แล้วว่าอูต๋าเผยพิรุธ ย่อมคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะส่งคนจู่โจมสังหารพวกเรา! เถี่ยสงตอนนี้ไม่เคลื่อนไหว ก็เท่าบอกกับข้า เขามองแผนการข้าออกแล้ว”ฉินชีหู่ครุ่นคิด ดูเหมือนนี่จะมีเหตุผล“ให้ตายสิ เช่นนี้พวกเราไม่เสียเวลาไปสูญเปล่าหลายวันหรือ?”ฉินชีหู่มองทิศทางด่านเทียนฉงอย่างโหดร้าย “หากมีโอกาส ข้าต้องบุกด่านเทียนฉงแน่นอน ตัดหัวสุนัขเถี่ยสง!”“ไม่จำเป็นต้องโกรธ!”
สุดท้าย เป็นหยุนเจิงที่คิดมากเกินไป ไม่มีผู้ใดตามมาหลังออกจากหุบเขาไม่นาน พวกเขาก็รวมตัวกับทหารม้าห้าพันคนที่รออยู่ด้านหลังทหารม้าห้าพันคนนี้เฝิงอวี้นำทัพด้วยตัวเองหยุนเจิงสั่งคนเรียกเฝิงอวี้มา “ถอยทัพไปหนึ่งร้อยลี้ทันที!”“ขอรับ!”เฝิงอวี้รับคำสั่ง สั่งให้คนไปถ่ายทอดคำสั่งของหยุนเจิงเมี่ยวอินไม่เข้าใจ ถามด้วยความอยากได้รับการสั่งการ “เจ้าไม่ใช่ต้องการให้คนรักษาการณ์ที่นี่หรือ? เหตุใดจึงจะถอยกะทันหัน?”เดินทางไปๆ มาๆ เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารบางส่วนโดยเสียเปล่าไม่ใช่หรือ?นางล้วนมองปัญหาออก หยุนเจิงย่อมต้องมองออกหยุนเจิงทำเช่นนี้ ย่อมมีเจตนาอื่นหยุนเจิงหัวเราะ อธิบาย “ถอยกลับก่อน ให้พวกเขากับกองทัพด้านหลังรวมตัวกันแล้ว ค่อยกลับมากดดันอีกครั้ง! ถือโอกาส ดูว่าสามารถหลอกเถี่ยสงได้หรือไม่!”“ยังจะหลอกเถี่ยสง?”ฉินชีหู่ตาโตขึ้นมา ถามด้วยความสนใจใคร่รู้ “มีวิธีหลอกใด?”“ไม่แน่ว่าจะสามารถหลอกได้ ก็แค่ลองเสี่ยงโชคเท่านั้น”หยุนเจิงยิ้มอธิบาย “พวกเราให้ทหารห้าพันคนถอยทัพก่อน ผ่านไปหลายวันค่อยมากดดัน คนของด่านเทียนฉงเมื่อรู้ข่าวว่าพวกเขาถูกกดดัน สามารถติดตามความเร็วในการเค
หลายวันต่อมา ทุกหน่วยถึงแล้วหยุนเจิงระดมแม่ทัพทุกหน่วยงานประชุมกันที่ชายแดนต้าเฉียนและเป่ยหมัวถัวเป็นอันดับแรกจู่หลู่หัวหน้าเป่ยหมัวถัวก็ถูกเรียกมาด้วยภายในกระโจมใหญ่ หยุนเจิงและแม่ทัพทุกหน่วยยังไม่ได้นั่งกลางกระโจมใหญ่ เป็นถาดทรายที่หยุนเจิงทำด้วยความเร่งรีบง่ายๆไม่มีการกล่าวมากความ หยุนเจิงตรงเข้าประเด็น แจ้งนโยบายเชิงกลยุทธ์ของเขาให้ทุกหน่วยทราบอย่างชัดเจน“ฮ่าๆ องค์ชานแผนการนี้ดี!”“คราวนี้ พวกเราเท่ากับโยนปัญหายากไปให้ทัพศัตรูแล้ว!”“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าทัพศัตรูจะโจมตีหรือไม่ สำหรับพวกเราแล้วล้วนเป็นประโยชน์!”“ยึดตามแผนการขององค์ชาย พวกเราก็เท่ากับกลับมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจในการต่อสู้ครั้งนี้อีกครั้ง”“เป็นองค์ชายที่สายตามองการณ์ไกล พวกเราคนมากมาย กลับไม่มีสักคนคิดถึงจุดนี้...”เมื่อฟังแผนการของหยุนเจิงจบ ทุกคนต่างตบมือร้องว่าดี จากนั้นก็ถือโอกาสประจบหยุนเจิงมองขาดเรื่องนับพันหมื่น ยกเว้นเพียงประจบสอพลอแม้หยุนเจิงจะไม่มีมาดใด แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครมาประจบสอพลอ แต่ได้รับการประจบสอพลอบ้างก็ไม่ได้เลวร้ายอีกทั้ง แผนการนี้ยอดเยี่ยมจริงๆรอจนศัตรูได้รับข่าวพวกเขาส
เมืองที่ประชากรสี่แสนกว่าคน หากอยู่ที่ต้าเฉียนก็นับว่าเป็นเมืองใหญ่ นับประสาสิ่งใดกับโฉวฉื่อหลายปีผ่านมา ไม่ว่าระบอบการปกครองของโฉวฉื่อจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร เมืองอวี้เฟิงเป็นเมืองหลวงไม่เคยเปลี่ยนแปลงลึกเข้าไปในพระราชวัง หยวนซู่กษัตริย์โฉวฉื่อกำลังฟังรายงานจากขันทีเหยาชั่วเทวะรูปสำแดงฤทธิ์!เมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอวี้เฟิง ปรากฏเทวะรูปองค์หนึ่งขึ้นเทวะรูปองค์นั้นทุกวันจะงอกขึ้นมาหนึ่งนิ้ว อัศจรรย์มากตอนนี้ ถึงขั้นคนจำนวนไม่น้อยในเมืองอวี้เฟิงไปกราบไว้เทวะรูปที่สำแดงฤทธิ์ทางนั้นตามการงอกที่สูงขึ้นของเทวะรูปนั้น คำทำนายบนเทวะรูปก็เลื่องลือออกมาสำหรับคำทำนายประโยคนี้ มีการตีความจากชาวบ้านมากมายทว่า เนื่องจากชาวบ้านโดยพื้นฐานแล้วไม่รู้ว่าโฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่ว์กำลังแสดงละครกัน ดังนั้นคนมากมายจึงตีความหมายคำทำนายนี้ว่าโฉวฉื่อสุดท้ายจะเอาชนะแคว้นต้าเย่ว์ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านมากมายในแคว้นโฉวฉื่อถึงขั้นฉลองชัยชนะล่วงหน้า“เกล็ดทองคำในบ่อน้ำ พบพานวายุเมฆาแปรเปลี่ยนเป็นมังกร...”หยวนซู่พึมพำเบาๆ ลิ้มรสชาตของประโยคนี้อย่างละเอียด หันไปมองซาติงที่อยู่ข้างกาย “ราชครู เจ้าว่าป
ไม่นาน ขุนนางใหญ่ของโฉวฉื่อทยายกันมาในพระราชวังหยวยซู่นั่งบนบัลลังก์ ให้เหยาชั่วบอกสถานการณ์เคร่าๆ กับขุนนางทุกคนความจริง ต่อให้เหยาซูไม่พูด คนมากมายต่างรู้เรื่องนี้ถึงเช่นไร โฉวฉื่อสถานที่เล็กเพียงเท่านี้เรื่องเทวะรูปสำแดงฤทธิ์ ได้แพระสะพัดไปทั้งเมืองหลวงแล้วขุนนางใหญ่มากมายถึงขึ้นนำเรื่องนี้เขียนฎีกาเสร็จแล้ว ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยถวายฎีกาของตัวเองนึกไม่ถึง หยวนซู่ตจะเรียกระดมพวกเขามาหารือเรื่องนี้ก่อนหนึ่งก้าวแล้วรอเหยาชั่วกล่าวจบ หยวนซู่ไม่ได้ถามเรื่องคำทำนายกับเหล่าขุนนาง เพียงถามทุกคน มีวิธีใดสามารถทำให้เทวะรูปงอกสูงขึ้นตามธรรมชาติทุกวันหรือไม่หยวนซู่แม้จะไล่ตามความปรารถในการเป็นอมตะและบรรลุเซียนดั่งเช่นกษัตริย์คนอื่นๆ แต่เขาไม่ใช่กษัตริย์ที่โง่เขลาโดยสมบูรณ์เรื่องนี้ เขาเองก็เคยสงสัยว่าสายต้าเฉียนแทรกซึมเข้ามาก่อความวุ่นวายที่โฉวฉื่อแต่ภารกิจที่เร่งด่วนที่สุดที่ต้องทำให้กระจ่าง ก็คือเหตุใดเทวะรูปจึงงอกสูงขึ้นตามธรรมชาติทุกวันหากมีคนสร้างความวุ่นวาน เรื่องนี้ก็สามารถกลายเป็นแค่เรื่องขบขันแต่หากเป็นคำทำนายจากสวรรค์จริง เช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญแล้ว
“เจ้าคิดว่าหยุนเจิงฆ่าง่ายดายเช่นนั้นหรือ? เจ้ารู้ได้เช่นไรนั่นไม่ใช่แผนการร้ายของหยุนเจิง?”“ใครจะรู้เล่า? เถี่ยสงไม่ลองดู เหตุใดจะรู้ว่าฆ่าหยุนเจิงไม่ได้?”“นั่นสิ ต่อให้เถี่ยงสงไม่มีใจก่อกบฏ การกระทำนี้ก็ขี้ขลาดอย่างไม่ต้องสงสัย!”“ภารกิจของแม่ทัพเถี่ยคืออารักขาด่านเทียนฉง รับประกันว่าจะไม่สูญด่านเทียนฉง! ระวังสักหน่อย ผิดตรงที่ใด?”“เจ้ายืนยันได้เช่นไรว่าเขาระมัดระวัง ไม่ใช่มีเจตนาแอบแฝง?”“……”ฉับพลันนั้น เหล่าขุนนางโต้เถียงกันต่อหน้าหยวนซู่ไม่ว่าแคว้นใดล้วนมีความแตกแยก ไม่ว่าแคว้นใดล้วนมีขุนนางจงรักภักดีและขุนนางชั่วเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันอุตลุด ใครต่างก็ไม่ยอมใครฟังเสียงทะเลาะวิวาทอยู่ข้างหู สีหน้าของหยวนซูยิ่งอยู่ยิ่งแย่ยังมีอีกเรื่อง ขุนนางในราชสำนักไม่รู้เขาได้รับรายงายลับ ลูกชายของเถี่ยสงและรองแม่ทัพร้องขอ คิดอยากนำทัพจู่โจมสังหารหยุนเจิงแต่เถี่ยสงกลับขัดขวางทั้งสองคนเด็ดขาด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความคิดส่งทหารจู่โจมสังหารหยุนเจิงแม้แต่น้อยการกระทำนี้ของเถี่ยสง แท้จริงแล้วเป็นความระแวดระวังหรือความหวาดกลัว หรืออาจเป็นอย่างอื่น ตอนนี้ไม่อาจกล่าวได้ในตอ
รายงานกองทัพด่วนที่มากะทันหันอีกครั้งทำให้เหล่าขุนนางสงบลงเป็นรายงานกองทัพด่วนของอวี้ไท่?กองทหารมณฑลทางเหนือเริ่มบุกโจมตีแล้วหรือ?ไม่นาน รายงานกองทัพด่วนที่อวี้ไท่ส่งกลับมาก็อยู่ในมือหยวนซู่หยวนซู่เปิดรายงานกองทัพด่วน อ่านรายละเอียดเนื้อหาอ่านไปอ่านมา สีหน้าของหยวนซู่เปลี่ยนไปทันทีเห็นสีหน้าของหยวนซู่ไม่ถูกต้อง ภายในใจของเหล่าขุนนางหวาดหวั่นเห็นได้ชัด สิ่งที่หยวนซู่ได้รับไม่ใช่ข่าวดีอีกทั้งยังเป็นรายงานกองทัพด่วน!หรือว่า เป็นเหมือนที่พวกเขาคิด ต้าเฉียนเริ่มเคลื่อนไหวโจมตีแล้ว?กองทัพแนวหน้าพ่ายแพ้แล้ว?กองกำลังหลักของโฉวฉื่อรวมพลอยู่ที่แนวชายแดนของแคว้นต้าเย่ว์เพื่อรวมกองหนุน เมืองมากมายด้านหลังของพวกเขาโดยพื้นฐานนับว่าไร้การป้องกันหากกองทัพของอวี้ไท่พ่ายแพ้ โฉวฉื่อก็จบเห่แล้ว!คราวนี้ ไม่ว่าเป็นขุนนางจงรักภักดีหรือขุนนางชั่วต่างก็ตึงเครียดขึ้นมาทุกคนต่างก็มองหยวนซู่ตาปริบๆ อยากรู้อยากเห็นเนื้อหาในรายงานด่วนทว่า หยวนซู่เดิมทีก็ไม่ได้สนใจกลุ่มขุนนางความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่ที่รายงานกองทัพด่วนจนกระทั่งหยวนซู่พลิกอ่านจดหมายในมือหลายรอบ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ