ไม่ใช่แค่ฉินชีหู่ไม่เข้าใจ แม่ทัพนายกองคนอื่นก็ไม่เข้าใจเช่นกัน“เรื่องนี้กลับไปข้าค่อยอธิบายกับพวกเจ้า”หยุนเจิงหยุดการซักไซ้ไล่เรียงของพวกแม่ทัพ “สิ่งที่เรียกว่าคำบัญชาสวรรค์ ต้องมีความคลุมเครือ ทั้งยังต้องทำให้คนคิดเชื่อมโยงไปถึงเถี่ยสงก่อกบฎ ทุกคนล้วนคิดดูให้ดี คำบัญชานี้ควรเขียนเช่นไร? ไม่จำเป็นต้องเยอะเกินไป บทกวีสองประโยคก็ได้แล้ว”เขียนบทกวี?คราวนี้ ทุกคนลำบากใจแล้วพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพสายบุ๋น แม้ไม่ถึงขั้นกล่าวว่าไม่รู้จักสักคำ ทว่าเพื่อนร่วมเรียนของพวกเขาก็ไม่ได้สูงส่งไปถึงที่ใดให้เขียนโคลงกลอนที่ท่องด้วยปากเปล่ายังทำได้ ให้พวกเขาเขียนบทกวี ทำให้พวกเขาลำบากใจแล้วอีกทั้ง หยุนเจิงยังต้องการให้ทั้งคลุมเครือทั้งต้องทำให้คนคิดถึงความหมายโดยประมาณได้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขายากลำบากยิ่งขึ้นฉินชีหู่เป็นคนแรกที่ตีกลองล่าถอย “เรื่องวางเพลิงศัตรูมาหาข้าได้ เรื่องนี้ข้าขอไม่มีส่วนร่วม! พวกเจ้าค่อยๆ คิด ข้าไปทำงานก่อน”กล่าวจบ ฉินชีหู่ตัดบทแล้วหลบไปอย่างรวดเร็วจากนั้น เติ่งเป่า หวังชี่ อวี๋ซื่อจงงและคนอื่นๆ พากันหาข้ออ้างแล้วจากไปให้พวกเขาแม่ทัพฝ่ายบุ๋นทำเรื่องนี้ ฝืนบังคับกัน
เกี่ยวกับการรบครั้งนี้ หยุนเจิงมีแผนการรบทว่าหยุนเจิงกับพวกอวี๋ซื่อจงเหมือนกัน ต่างก็คิดถึงด่านเทียนฉงไม่ลืมเลือนนี่ก็ไม่โทษพวกเขามีความคิดแผลงๆที่สำคัญคือด่านเทียนฉงมีความสำคัญกับโฉวฉื่อมากทันทีที่พวกเขายึดด่านเฉียนฉงมาได้ กองทหารมณฑลทางเหนือก็สามารถเคลื่อนทัพเข้าไปได้โดยตรงพวกเขาอยากตีโฉวฉือเมื่อใด ก็สามารถตีได้ตลอดเวลาอารมณ์ไม่ดี ก็ลากโฉวฉื่อออกมาตีสักยกถึงเช่นไรตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปิดศึกอย่างเป็นทางการ หยุนเจิงคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูที่ปากภูเขาเทียนฉง ดูว่าสามารถหาวิธีตีทะลวงด่านเทียนฉงหรือไม่สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้ สำหรับพวกเขาการยึดด่านเทียนฉงย่อมมีผลดีทว่า นอกจากเถี่ยสงมอบด่านให้และยอมจำนน มิฉะนั้นยังต้องอาศัยการโจมตีจึงจะยึดเอามาได้เมื่อรู้ว่าหยุนเจิงจะไปปากภูเขาเทียนฉง เหล่าขุนพลในค่ายเขาห่านป่าหวนกลับพากันคัดค้านปากภูเขาเทียนฉงตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทุ่งหญ้ามู่หม่าที่นั่นก็เป็นสถานที่จุดเชื่อมต่อดินแดนโฉวฉื่อ เป่ยหมัวถัวและดินแดนต้าเฉียนในตอนนี้กองทหารมณฑลทางเหนือแม่จะมีคนลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ทว่าไม่มีทหารประจำการ กองทั
ระหว่างทาง ฉินชีหู่ถามด้วยความกังวลฉินชีหู่แม้จะไม่ได้มีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ก็ไม่ได้โง่จากที่เขารู้จักหยุนเจิง หยุนเจิงให้ความสำคัญกับด่านเทียนฉงเช่นนี้ ถึงขั้นไม่ฟังคำห้ามปรามของทุกคน พาคนนิดหน่อยไปตรวจสอบสถานการณ์ด่านเทียนฉงด้วยตัวเอง ย่อมมีความคิดจะตีด่านเทียนฉงไม่ ไม่เพียงความคิดตีด่านเทียนฉงธรรมดาเช่นนี้!ขอแค่มีโอกาสเล็กน้อย เกรงว่าเขาคงต้องเปลี่ยนแผนการเดิม โจมตีด่านเทียนฉงโดยตรง!“ย่อมคิดอยู่แล้ว!”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย “การยึดด่านเทียนฉงมีข้อดีมากมาย เจ้าไม่อยากโจมตีด่านเทียนฉงหรือ?”“อยาก! อยากอยู่แล้ว!” ฉินชีหู่ตอบโดยไม่ต้องคิด จากนั้นก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่ด่านเทียนฉงไม่ได้โจมตีง่ายดายเช่นนั้น! หากโจมตีไม่ราบรื่น เกรงว่าพวกเราคงเสียหายสาหัส!”ขอแค่คนที่รู้เรื่องการบัญชาทหารเล็กน้อยล้วนเห็นประโยชน์ของการยึดด่านเทียนฉงก็เหมือนทุกคนต่างรู้ถึงประโยชน์ในการยึดครองด่านเป่ยลู่หากมีความมั่นใจร้อยทั้งร้อยในการยึดด่านเทียนฉง ฉินชีหู่ยินดีรบแนวหน้าแต่ปัญหาคือ ต่อให้หยุนเจิงคิดวิธีตีทะลวงด่านเทียนฉงได้ ก็ไม่จำเป็นต้องตีทะลวงได้สำเร็จ!พวกเขามีวิธี ทัพศัตรูก็สามารถทำลา
ตกกลางดึก ขบวนอาซือน่าถูกพามาที่ค่ายชั่วคราวของพวกหยุนเจิงพวกอาซือน่ามีไม่มาก ประมาณห้าสิบคนนอกจากเกอาอาซูที่เป็นทูตพิเศษแล้ว คนอื่นล้วนเป็นทหารคุ้มกันติดตามได้พบหยุนเจิงที่นี่โดยไม่คาดคิด เกอซือน่าตื่นเต้นอย่างมากหลังขบวนของพวกเขาทำความเคารพเสร็จ หยุนเจิงจึงถามอาซือน่า “พวกเจ้าส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์สงครามของโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์หรือไม่?”“มี มี!”อาซือน่าพยักหน้า ตอบอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด! ที่ได้ฟังมา หลายวันก่อนพวกเขามีการต่อสู้รุนแรงหนึ่งสนาม ทั้งสองฝ่ายล้วนเสียหายสาหัส หลายวันนี้พักรบกันชั่วคราว...”“เสียหายสาหัส?”หยุนเจิงถามด้วยความสนใจ “ลายละเอียดความเสียหายของพวกเขาเป็นเช่นไร?”“นี่...”อาซือย่าเผยสีหน้าดูยาก “ลายละเอียดความเสียหายไม่ชัดเจน แต่ทั้งสองฝ่ายอย่างนั้นสูญเสียจำนวนนับหมื่นคน...”นับหมื่นคน?หยุนเจิงหรี่ดวงตาเล็กน้อย จากนั้นก็ถามต่อ “พวกเจ้าเห็นกับตาว่าความเสียหายของพวกเขามากมายเพียงนี้?”“เรื่องนี้ข้าเปล่า”อาซือน่าส่ายหน้าตอบ “พวกเราจับทหารปราชัยที่หนีออกมาสองคน ได้ข่าวมาจากพวกเขา...”ทหารปราชัย?
“ไม่ว่าเช่นไร คืนนี้เจ้ามีลาภปากแล้ว!”หยุนเจิงหัวเราะ “ข้าสั่งให้คนพกเหล้ามาด้วย คืนนี้ ข้าต้องดื่มกับเจ้าให้ดีสักตั้ง เป็นการฉลองความสำเร็จให้เจ้าล่วงหน้า!”สุรา เขาไม่ได้พกมาแต่แอลกอฮอล์พกมาบางส่วนผสมน้ำหน่อย ก็สามารถดื่มแทนสุราได้ไม่ว่าเช่นไร รสชาติดีกว่าสุราห่วยๆ ของเป่ยหมัวถัวมาก “ขอบคุณท่านอ๋อง!”อาซือน่าใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ทำความเคารพอย่างนอบน้อม“เอาล่ะ พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อน!”หยุนเจิงโบกมือรอให้พวกอาซือน่าไปแล้ว หยุนเจิงเรียกนักรบภูตเก้ามาทันที จากนั้นก็กระซิบสั่งการ “ส่งคนไปถ่ายทอดคำสั่งให้ตู๋กูเช่อเดี๋ยวนี้ สั่งให้กองกำลังตู๋กูเช่อ ส่งทหารม้าห้าพันคน เดินทางกลางคืนมาเข้าใกล้พวกเรา ระยะห่างจากพวกเรา จำเป็นต้องรักษาเอาไว้ในระยะสี่สิบลี้ขึ้นไป...”ไม่นาน นักรบภูตเก้ารับคำสั่งจากไปมองแผ่นหลังของนักรบภูตเก้า หยุนเจิงและฉินชีหู่อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันแล้วยิ้มคืนนี้ หยุนเจิงใช้กวางย่างสองตัวที่ฉินชีหู่พาคนไปล่ามาได้จัดงานเลี้ยงให้อาซือน่าแม้เงื่อนไขมีจำกัด ดื่มสุราชั่วคราวที่ได้มากจากแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ แต่ทุกคนก็ยังดื่มอย่างมีความสุขมากโดยเฉพาะอาซือน
วันที่สองเช้าตรู่ อาซูน่าหลังจากเมาค้างก็ยังปวดหัวนิดหน่อยแต่เพื่อสร้างความดีความชอบ อาซือน่าที่ยังปวดหัวออกเดินทางแต่เช้าหลังจากอาซือน่าออกเดินทางสักระยะ พวกหยุนเจิงก็ออกเดินทางเช่นกันหยุนเจิงยังคงให้นักรบภูตสิบแปดสำรวจเส้นทาง พวกเขาติดตามพวกอาซือน่าก็พอแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ทัพศัตรูมีการซุ่มโจมตีอยู่ข้างหน้า ก็จะหาพวกอาซือน่าก่อนเวลาตอนบ่าย นักรบภูตห้ารีบร้อนกลับมารายงาน“องค์ชาย ด้านหน้ามีการซุ่มโจมตี!”นักรบภูตห้ามองหยุนเจิงด้วยความเลื่อมใสนึกไม่ถึง ถูกหยุนเจิงเดาเอาไว้แล้วทัพศัตรูมีการซุ่มโจมตีจริงด้วย“อ๋อ?”หยุนเจิงตาเป็นประกาย ถามสถานการณ์โดยละเอียดทันทีนักรบภูตห้ารายงานอย่างละเอียดละออพวกคนหลายคนแบบตามหลังคณะของอาซือน่าเงียบๆ มาโดยตลอดพวกอาซือน่าอยู่ห่างจากด่านเทียนฉงอีกประมาณสิบลี้ก็พบกับวงล้อมของทัพศัตรูที่แอบอยู่ในที่ลับมองผ่านด้วยกล้องส่องทางไกล สามารถยืนยันได้ว่าคนพวกนั้นคือทหารของโฉวฉื่อพวกเขาไม่รู้ว่าทัพศัตรูสนทนาเรื่องใดกับขบวนคณะอาซือน่า ถึงเช่นไรทัพศัตรูซุ่มโจมตีไม่ได้สร้างความลำบากให้พวกอาซือน่า เพียงแค่ส่งไม่กี่คนพาพวกอาซือน่าเข้าไป
หยุนเจิงสั่งเสียงเฉียบ“ขอรับ!”นักรบภูตหกรับคำสั่ง หันหลังกลับไปเงียบๆ ทันที“พวกเราต้องไปช่วยเหลือหรือไม่?”ฉินชีหู่กระซิบถาม“ไม่ต้อง”หยุนเจิงส่ายหน้ากล่าว “สิ่งที่พวกเขาชำนาญก็คือแทรกซึมจู่โจมและฆ่า พวกเขาส่งคนอื่นไปช่วย ในทางกลับกันก็จะสร้างความเคลื่อนไหวได้ง่าย ให้ทัพศัตรูเพิ่มความระมัดระวัง”สำหรับนักรบภูตสิบแปด หยุนเจิงมีความเชื่อใจมากอย่าเห็นว่าจำนวนทัพศัตรูมากมายกว่าพวกเขาหลายเท่าต่อให้เป็นการต่อสู้ซึ่งหน้า ทัพศัตรูเล็กน้อยเท่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้นักรบภูตสิบแปดยิ่งไปกว่านั้น นักรบภูตสิบแปดต้องฉวยโอกาสตอนทัพศัตรูหลับสนิทเปิดฉากจู่โจมทัพศัตรูเล็กน้อยนี้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาไปช่วย“ก็ได้!”ในเมื่อหยุนเจิงกล่าวเช่นนี้ ฉินชีหู่ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกล่าวมากความหลังจากจัดคนจำนวนน้อยเฝ้ายามตอนกลางคืน ทุกคนพากันนอนหลับตอนที่ฟ้าใกล้สว่าง นักรบภูตหกย้อนกลับมาอีกครั้ง และนำข่าวที่หยุนเจิงอยากได้กลับมาทัพศัตรูซ่อนทหารซุ่มโจมตีทางนั้นล้วนถูกพวกเขากำจัดหมดแล้วพวกเขาทำตามคำสั่งหยุนเจิง เหลือรอดชีวิตไว้สองสามคน“พวกเจ้ามีคนบาดเจ็บหรือไม่?”หยุนเจิงถาม“ไม่มี”นับรบภ
ภายในระยะเวลาอันสั้น หยุนเจิงคิดหลายวิธีทำลายด่านหลอกลวงเปิดประตูเมืองเอย ใช้น้ำท่วมไฟเผาเอย หยุนเจิงทยอยคิดหนึ่งรอบแต่ล้วนไม่ค่อยได้ผลหากภายในด่านเทียนฉงมีกำแพงเมืองเล็กโอบล้อมรอบประตูเมือง การหลอกลวงเปิดประตูเมือง ก็ไร้ความหมายน้ำท่วม บริเรณแถวนี้ไม่มีแม่น้ำเผาไฟ ต้องอาศัยทิศทางลมมากเกินไปผืนดินแคบๆ ระหว่างภูเขาสองลูกนี้ มีแต่ผีที่รู้ว่าลมจะเปลี่ยนทิศเมื่อใดดีไม่ดี ลมเปลี่ยนทิศ พวกเขาก็ต้องติดร่างแหไปด้วยส่งคนฉวยโอกาสตอนกลางคืนปืนกำแพงเมืองหรือ?ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลด่านประเภทนี้ ตอนกลางคืนล้วนจุดไฟสว่างไสวโดยรอบบริเวณกำแพงเมืองส่งคนมากไป คนของพวกเขายังไม่ทันเข้าใกล้ เกรงว่าคนถูกพบตัวแล้วส่งคนน้อยไป ต่อให้ปีนกำแพงเมืองได้อย่างราบรื่น ก็แค่ส่งคนไปตามเท่านั้นให้ตายสิ ค่อนข้างลำบาก!หยุนเจิงกลัดกลุ้ม จากนั้นก็คว้าดวงตาพันลี้จากในมือฉินชีหู่มองสำรวจอย่างละเอียดเรียนแบบเติ่งอ้ายลอบบุกอิมเป๋ง?ในสมองหยุนเจิงผุดความคิดนี้ขึ้นมาแต่ว่า เขาก็ล้มเลิกความคิดไร้สาระนี้อย่างรวดเร็วพวกเขาแม้แผนที่ของดินแดนโฉวฉื่อยังไม่มีด้วยซ้ำ เล่นด้ายคนสัตว์หรือ!ต่อให้มีแผนที่
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห