สถานการณ์ตรงหน้า นับว่าเป็นจุดจบที่ชนะทั้งสองฝ่าย!“คิดเช่นเดียวกันกับข้า”เจียเหยายิ้มถากถาง จากนั้นก็กล่าวถาม “ยี่สิบปีต่อไป เป่ยหวนจะยังคงอยู่หรือไม่?”“ไม่รู้”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องยี่สิบปีถัดไป ใครจะบอกได้อย่างชัดเจน! บางที ยี่สิบปีต่อไป แม้แต่ต้าเฉียนก็ล้วนไม่อยู่แล้ว นับประสาสิ่งใดกับเป่ยหวน? แต่ว่า เป่ยหวนไม่จำเป็นต้องคงอยู่ แต่ชาวเป่ยหวนคงอยู่ก็พอแล้ว”เขาสามารถจิตนาการได้ว่าโลกในยี่สิบปีให้หลังเป็นเช่นไรแต่เขาไม่สามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามที่เขาจินตนาการได้อย่างอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่ดินปืนอย่างเดียวก็สามารถทำให้จบเห่ได้แล้วเขาทำดินปืนออกมาได้นานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังหาเหมืองดินประสิวไม่พบเรื่องราวมากมาย ล้วนไม่สามารถดำเนินไปตามที่เขาคาดการณ์ได้เขาสามารถลองไปเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ แต่ไม่ใช่โค่นล้มโลกใบนี้ช่วงวิถีแห่งประวัติศาสตร์ สามารถไปขับเคลื่อนได้ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละก้าวหวังหมั่งผู้นี้ถูกสงสัยอย่างหนักว่าเป็นนักเดินทางข้ามเวลามา นี่เป็นกรณีตัวอย่างที่ดีที่สุด“ใช่หรือ?”เจียเหยาครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ถาม “หลังต่อสู้กับเป่ยหวนจบแล
สภาพลำบากยากแค้นของเป่ยหวน นางเคยได้ยินอาจารย์ปานปู้กล่าวมานานหลายปีแล้วเป่ยหวนแม้จะทำการเพาะปลูก แต่ที่ดินของเป่ยหวนและสภาพอากาศเป็นตัวตัดสิน พืชเกษตรมากมายไม่อาจเพาะปลูกได้ชาวเป่ยหวนไม่ใช่ไม่ชอบบริโภคข้าวเปลือกหรืออาหารประเทภเส้นแต่เป็นเพราะเป่ยหวนมีพื้นที่เหมาะกับการเพาะปลูกข้าวเปลือกและข้าวสาลีไม่มากผลผลิตของข้าวสาลีหยวนก็น้อยจนน่าสงสารดังนั้น เป่ยหวนมักไม่สามารถทนต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เมื่อเกิดโรคระบาดทำให้ปศุสัตว์ล้มตายเป็นจำนวนมาก เป่ยหวนจำเป็นต้องใช้เวลานานจึงสามารถพื้นฟูพลังหยวนได้เพราะข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้เป่ยหวนมีพื้นที่กว้างขวางแต่ประชากรบางตานับดูแล้ว ดินแดนของเป่ยหวนกว้างขวางกว่าต้าเฉียนมากหากประชากรทุกคนของเป่ยหวนล้วนสามารถกินอิ่ม ทุกครัวเรือนทำงานและอยู่อาศัยกันอย่างมีความสุข ประชากรของเป่ยหวนคงยกระดับไปนานแล้ว“เอาล่ะ อย่าเอาแต่คิดถึงมันเทศดินเลย”หยุนเจิงกล่าวอย่างจนใจ “มีของที่ดีกว่ามันเทศดินเยอะแยะไป! ข้าก็ว่าพวกเจ้านี่จริงๆ เลย ที่ดินมากมายเพียงนี้ เลี้ยงสัตว์ประเภทเป็ดเลี้ยงไก่หน่อยไม่ดีหรือ? หากพวกเจ้ามีเป็ดไก่จำนวนหลายหมื่นตัว พวกตั๊กแตน
นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ เจียเหยาจึงกล่าวกับหยุนเจิง “ผู้เฒ่าผู้นั้นมาจากแคว้นที่เชื่อว่าลาถูย่า เป็นแคว้นที่อยู่ห่างไกลจากพวกเรามาก พวกเขาเพื่อสร้างเรือที่สามารถแล่นเดินทางไกลนั้น ก็ใช้เวลาสิบปีเต็มๆ...”ต่อมา เจียเหยาก็เล่ารายละเอียดของแคว้นที่ผู้เฒ่าผู้นั้นอาศัยอยู่ให้หยุนเจิงฟังจากการบรรยายของชายชราผู้นั้น ลาถูย่าน่าจะไม่ได้อุดมสมบูรณ์ไปมากกวาแคว้นต้าเฉียน ผลผลิตก็ไม่อาจเทียบต้าเฉียนได้แต่ว่า ชาวลาถูย่ามีจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยพวกเขาได้สำรวจโลกที่ปลายมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ก่อนหน้าผู้เฒ่าผู้นั้น ก็มีคนเริ่มทำเรื่องนี้แล้วแต่คนเหล่านั้นออกเดินทางไปตั้งหลายปีก็ไม่ได้กลับไป น่าจะถูกฝังไว้ในมหาสมุทรกว้างใหญ่แล้วตามที่ผู้เฒ่าผู้นั้นกล่าว พวกเขาเดินสมุทรมาตั้งนานหลายปี ไปยังสถานที่ที่เจียเหยาไม่เคยได้ยินมาก่อนมากมายผู้เฒ่ากล่าวว่า โลกใบนี้กว้างใหญ่มากแต่กว้างใหญ่เพียงใด ผู้เฒ่าเองก็กล่าวไม่ชัดเจนเพราะว่า เขาก็ยังไม่ได้ไปถึงยังทุกมุมของโลกใบนี้กล่าวจบเรื่องเหล่านี้ เจียเหยาเตือนด้วยความจริงใจ “ถ้าหากเจ้าต้องการส่งคนออกทะเลไปตามหาลาถูย่า ข้าแนะนำเจ้าทางที่ต้องสร้างเรือขนาดยัก
หลังจากสนทนามากมายกับเจียเหยา หยุนเจิงตัดสินใจแล้วชีวิตของเจียเหยา เขาไม่ต้องการชั่วคราวข้อดีที่ใหญ่ที่สุดของเจียเหยาคือสายตาของนางกว้างไกลกว่าชาวเป่ยหวนคนอื่น อีกทั้ง ภายในใจนางมีชาวเป่ยหวนอยู่ ไม่เอาชีวิตของชาวเป่ยหวนมาเป็นเบี้ยล่างขอแค่นางไม่ทำสิ่งใดแผลงๆ ผลประโยชน์ที่เป่ยหวนนำมาให้ต้าเฉียนจะมีมากขึ้นหากนางทำสิ่งใดแผลงๆ เช่นนั้นเขาก็คงต้องใช้วิธีเด็ดขาดรุ่นแรงเหล่านั้นแล้วแม้เรื่องของเจียเหยาจัดการได้แล้ว แต่ชีวิตเคล้าสุรานารีในจินตนาการของหยุนเจิงยังไม่มาถึงต่อให้มีพวกเยี่ยจื่อคอยช่วยจัดการดูแลการปกครอง แต่ทุกวันก็มีเรื่องราวทุกรูปแบบมาหาเขา เรื่องราวมากมาย ล้วนต้องให้เขาตัดสินใจ ทำเอาหยุนเจิงมีความคิดอยากส่งคนไปลักพาตัวคนที่เมืองจักรพรรดิมาใช้งานที่ซั่วเป่ยแล้วเรื่องออกทะเล หยุนเจิงยังคิดไม่ตกแต่ว่า ก่อนออกทะเล ต้องสร้างท่าเรือก่อนส่วนเรื่องเรือ ตอนนี้หยุนเจิงยังไม่คิดจะสร้างเอง ด้านหนึ่งเพราะซั่วเป่ยมีช่างฝีมือสร้างเรือน้อยมาก อีกด้านหนึ่งคือเพราะการสร้างเรือด้วยตัวเองใช้เวลานานเกินไปมีเวลา ส่งคนไปยังอี๋โจว อวี้โจวซื้อเรือสินค้าขนาดใหญ่เอาพืชเกษตรที่ให้ผลผลิ
เขาเขียนสาส์นที่กราบทูลเรียบร้อยแล้ว คิดจะขอให้จักรพรรดิเหวินส่งสมาชิกทหารเรือและเรือรบมาให้เขาถึงเช่นไรต้าเฉียนก็ไม่ให้ความสำคัญกับทหารเรือ มาหาเขาที่นี่ ก็ยังสามารถแสดงความสามารถที่เป็นประโยชน์ได้แต่ว่า เขาไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินจะใจกว้างเช่นนั้นหรือไม่ดังนั้น หากจางซูสามารถซื้อเรือรบของทหารเรือได้จะดีที่สุดแน่นอน นี่เป็นเพียงความคิดที่ใจกล้าเท่านั้น ไม่ได้บีบบังคับ“เรือรบเกรงว่าจะค่อยข้างยากกระมัง?”จางซูลูบคาง “พวกเราไปซื้อเรือรบของทหารเรือ ฝ่าบาทรู้ ต้องเฆี่ยนพวกเรา?”นั่นคือเรือรบเชียว!นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครคิดจะซื้อก็สามารถซื้อได้!“เฆี่ยนหรือไม่ ยังไม่ต้องสนใจ”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงเช่นไรทหารเรือต้าเฉียนพวกเราก็เป็นลูกเมียน้อย ไม่แน่มีคนกล้ารวบรวมเรือรบเป็นการส่วนตัวเล่า? หากมีโอกาส เจ้าสามาถบอกพวกเขา หากมีเรือรบของทหารเรือแล่นมายังซั่วเป่ยจริง ค่าจ้างทหารเพิ่มขึ้นสองเท่า ตั้งแต่ทหารราบจนถึงแม่ทัพ ล้วนมีรางวัลหนัก!”เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง จางซูหน้าดำอึมครึมในทันทีองค์ชายช่างกล้าคิดเสียจริง!คิดจะเลื่อยเก้าอี้ตาแก่ของเขาหรือ?เขาไม่กลัวตาแก่ของเขาบุก
“ขาย...ขายตำแหน่งขุนนาง?”ภายในลานด้านหลัง เมื่อได้รู้ความคิดของหยุนเจิง ทุกคนต่างตกตะลึงเยี่ยจื่อมองหยุนเจิงด้วยความอึ้ง วิธีที่เขาบอกว่าได้เงินมาอย่างรวดเร็ว ก็คือขายตำแหน่งขุนนาง?ไม่ใช่...เหตุใดเขาคิดเช่นนี้!ถึงเช่นไรเขาก็เป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ!ซั่วเป่ยแห่งนี้เป็นถิ่นฐานของเขาเหตุใดเขาจึงคิดวิธีขายตำแหน่งประเภทนี้?อย่าว่าแต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ยากจนถึงขั้นบ้าไปแล้ว ต่อให้ยากจน ก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้!นี่เขาไม่ใช่ทำลายรากฐานกิจการของตัวเองหรือ?“มันเรื่องใหญ่เท่าใดกันเชียว!”หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง “ดูท่าทางของพวกเจ้าสิ!”“นี่เรียกเรื่องเล็กหรือ?” คิ้วของฮูหยินเสิ่นใกล้ขมวดรวมเข้าด้วยกันแล้ว “เจ้าเป็นถึงองค์ชายตำแหน่งซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อคิดขายตำแหน่งขุนนาง เจ้าคิดจะสร้างความวุ่นวายที่ซั่วเป่ยหรือ? ลูกเขต เจ้าเลอะเลือนเช่นนี้ไม่ได้นะ!”หลังจากฮูหยินเสิ่นเอ่ยปาก ทุกคนก็พากันเกลี่ยกล่อม“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ทำไม่ได้จริงๆ!”“องค์ชาย เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด...”“องร์ชาย หากท่านขาดแคลนเงิน ข้าไปช่วยหาเงิน ข้าจางซูรู้ข้อเสียของการขายตำแหน่งขุนนาง องค์ชายไม่รู้ได้เช่น
หลังจากเล่นหูเล่นตากับเยี่ยจื่อแล้ว หยุนเจิงกล่าวต่อไป “หากเป็นคนของเจ้าสาม แล้วก็เป็นคนมีความสามารถ ก็ปล่อยให้เขาทำงานตามปกติ! หากคิดหาเรื่อง ก็ต้องได้รับความเชื่อใจจากข้าก่อนกระมัง? หากไม่มีความสามารถ ก็ทิ้งให้ไปดูแลชาวเป่ยหวน!”“นี่...”เยี่ยจื่อกล่าวสิ่งใดไม่ออกแต่คิดอย่างละเอียด นี่ก็มีเหตุผลถึงเช่นไร เป็นจางซูที่ขายตำแหน่งขุนนางหยุนเจิงล้วนถูกทำให้งมโข่ง คนที่คิดละโมบถูกพบตัวแล้ว ต่อให้หยุนเจิงสั่งประหารเขาหลังพบเข้า คนอื่นก็กล่าวหาสิ่งใดไม่ไดทิ้งไปขุดเหมือง ดีไม่ดียังได้รับนามว่าเป็นคนมีเมตตาอารีส่วนคนสอดแนมเหล่านั้น หากคิดจะได้รับความเชื่อใจจากหยุนเจิง ตอนเริ่มต้น ก็พยายามแสดงออกอย่างเต็มที่รอให้ใช้งานเสร็จ คนมีความสามารถที่เซ่วเป่ยต้องการก็ขุดขึ้นมาได้แล้ว คนเหล่านั้นสมควรถูกลงโทษก็ต้องถูกลงโทษหากเขาสามารถทำให้คนเหล่านั้นก่อกบฏ หยุนลี่ก็นับว่าจ่ายงานส่งขุนนางมาให้หยุนเจิงใช้แล้วเรื่องนี้ ขอแค่จัดการให้ดี เหมือนว่าเช่นไรแล้วก็จะไม่ขาดทุนจักรพรรดิในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ใช้ขุนนางชั่วเสร็จแล้วก็กำจัดทิ้งหรือ“หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว”ฮูหยิ
บนรถม้า หยุนเจิงกับผู้หญิงสามคนของเขานั่งด้วยกัน ทั้งยังเกยขาของเขาไว้บนเรียวขาของเมี่ยวอินอย่างสบายอกสบายใจ ทั้งยังคอยเอารัดเอาเปรียบผู้หญิงทั้งสามคนตลอดเวลา เป็นชีวิตที่สุขสบายอย่างยิ่งนี่สิเรียกว่าชีวิต!ใครอยากจะข้ามเวลามาแล้วมีเอาแต่หมกมุ่นทำงานเล่า?ผู้กอบกู้โลก ใครอยากจะเป็นก็เป็นไป ถึงเช่นไรเขาก็ไม่เป็น!หยุนเจิงกำลังคิดเรื่อยเปื่อย พยายามสงบความคิดไร้ความทะเยอทะยานของเขาเขาแค่อยากจะเป็นปลาเค็มที่สามารถจะปกป้องตัวเองได้เท่านั้นเห็นใบหน้าเพลิดเพลินของหยุนเจิง หญิงทั้งสามคนพากันกรอกตาบนและกำหมัดทว่า ขณะที่หยุนเจิงไม่สนใจสิ่งใด เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่หายากและน่ารื่นรมย์นี้ให้จุใจ“ข้าสงสัยอย่างแรง เจ้าพาพวกเราไปเขาลั่วเสียต้องไม่เป็นเรื่องดี!”เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าว ทั้งยังมองไปมาระหว่างหยุนเจิงและเมี่ยวอินด้วยสายตาแฝงเลศนัยนางไม่ลืมที่ทั้งสองคนทำเรื่องที่น้ำพุร้อนก่อนหน้านี้เผชิญกับสายตาของเสิ่นลั่วเยี่ยน แม้แต่เมี่ยวอินที่นิสัยเปิดเผยยังอดหน้าแดงไม่ได้ไม่เพียงเสิ่นลั่วเยี่ยนคิดเช่นนี้ แม้แต่นางก็คิดเช่นนี้!นางถึงขั้นสงสัย หยุนเจิงคนหน้าไม่อายคิดจะพาพวกนางสา
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห