แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดแต่คุณพ่อของบ้านมีหน้าที่ต้องออกไปสะสางงานกับผู้จัดการส่วนตัวเล็กน้อยทำให้ตั้งแต่เวลาแปดโมงถึงบ่ายโมงครึ่งภายในบ้านจึงมีเพียงคุณย่า หลานสาว และแม่นางรำสามคน พวกเขาทราบกันดีว่าช่วงนี้เจ้าตัวออกไปทำธุระค่อนข้างบ่อย จึงมักหาอะไรทำอย่างเขาก็ฝึกทำอาหารให้คล่อง บางครั้งก็สอนหนังสือน้องขวัญเวลาเด็กหญิงได้รับการบ้านมาแต่วันนี้นับเป็นวันพิเศษ กิจกรรมภายในครัวเรือนรอบนี้จึงเป็นการ'จัดงานวันเกิด'ให้พ่อทหาร
แต่เดิมคุณแม่เล่าว่าเมื่อถึงวันเกิดใครในบ้านลูกชายหล่อนจะพาออกทานมื้อพิเศษนอกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นร้านวิภาโภชนาหรือไม่ก็ร้านที่คนคนนั้นสนใจ ทว่าสำหรับวันเกิดของตนเองแล้วนั้นเจ้าตัวกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไรนัก มีวันหนึ่งเขาเคยถามวันเกิดกับพี่ดินแต่คำตอบที่ได้คือ
'ผมลืมไปแล้วครับ'
มันน่าหยิกเสียจริง ทีวันเกิดลูก วันเกิดเขาจำได้แม่น ไม่รู้ว่าหากบอกเวลาเกิดไปด้วยเจ้าตัวคงนั่งจับนาฬิกาสุขสันต์วันเกิดเลยกระมัง
ดีหน่อยที่คุณแม่จำได้ว่าวันเกิดเจ้าลูกชายเป็นวันที่เท่าไร เขาจึงพอกะเกณฑ์เวลาที่จะไปซื้อของขวัญได้
"สองปีผ่านไปไวจังน้า"เป็นหญิงแววเจ้าประจำพูดเปิดประเด็น เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของภาคเรียนที่สี่แต่ละคนล้วนมีสภาพไม่ต่างจากผีตายซากจึงเลื่อนนัดกินเลี้ยงมาเป็นวันเสาร์แทน กระนั้นก็ยังคงมีปัญหาเพราะต่างคนต่างต้องเริ่มเตรียมตัวฝึกงานกว่าจะหาเวลาตรงกันได้ก็ปาไปบ่ายสามโมง"ทีแรกเราไม่อยากมาเรียนต่อเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้มาแล้วก็สนุกดีนะครับ""เราก็คิดว่าไม่น่าจะหาเพื่อนได้ตั้งแต่วันแรกเหมือนกัน"เพื่อนทั้งสองได้ยินที่แก้วพูดก็หัวเราะ อย่างเจ้าตัวน่ะเหรอจะหาเพื่อนไม่ได้ เรียนมาสองปีใคร ๆ ก็รู้ว่าแก้วเป็นหน้าเป็นตาให้แก่กลุ่มมากขนาดไหน อาจเพราะเป็นพี่โตสุดในห้องเรียนกระมัง จึงพูดคุยสื่อสารถูกคอกับคณาจารย์ ทั้งยังเป็นที่พึ่งพาให้แก่เพื่อน ๆ คนอื่นในห้องได้อีกแบบนี้จะไม่ให้เป็นที่รักได้อย่างไรไม่นานบริกรสาวก็ถือถาดสังกะสีเคลือบเงามาพร้อมกับค่อย ๆ จัดเรียงจานบนโต๊ะไม้กลม ร้านที่พวกเขานัดมาทานร่วมกันเป็นร้านอาหารไทยทั่วไปมีรสชาติที่ไม่หวือหวามากทั้งยังใกล้กับวิทยาลัย กระนั้นเครื่องเรือนภายในร้านดูสวยสะดุดตาเสริมบรรยากาศให้ลูกค้าที่เข้ามาอ
แม้ท้องฟ้าภายนอกยังคงเป็นสีเมฆครามดำมืดมองเห็นดวงจันทร์สีขาวเรืองรองเด่นชัด ทว่าคนงามบนเตียงนอนกลับหยัดตัวลุกขึ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแว่นตากรอบเงินหัวเตียง ทว่าจู่ ๆ ก็มีน้ำหนักกดลงมาบริเวณช่วงเอวทำให้คนเด็กกว่าต้องก้มหน้ามองลงไปก่อนจะเห็นเป็นพ่อนักแสดงที่คงตื่นเพราะเขาพิภพคล้องแขนกกกอดเอวสอบแน่นซุกไซ้ใบหน้าคมจุ่มเนื้อนุ่มไม่ยอมให้แม่คนรักลุกออกไปจากเตียง"พี่ ปล่อยน้อง"แม้ตรีศูลจะพูดไปเช่นนั้นพ่อคนขี้เซาก็ยังคงกอดเอวไว้แนบแน่นประหนึ่งฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไอ้คนอย่างเขารู้อยู่แก่ใจว่าแม้จะใช้กำลังงัดท่อนแขนออกก็คงไม่เป็นผล เพราะเขาลองมาเป็นสิบเป็นร้อยรอบแต่กลับไม่สามารถสู้แรงของอดีตทหารคนนี้ได้สักนิด"น้องต้องไปเตรียมแต่งตัวแต่งหน้า ฤกษ์หกโมงไม่ใช่เหรอ""ไม่ต้องแต่งแก้วของพี่ก็สวย"นี่น่ะหรือประโยคของคนพึ่งตื่น เขาล่ะเพลียใจเสียจริง"มันใช้เวลานาน""นี่พึ่งตีสองเอง เรานอนต่อเถอะ""ถ้าไม่ปล่อยน้องจะหยิกหูแล้วนะ""ไม่ปล่อ-โอ๊ย!"ทันทีเมื่อร่างกำยำสะดุ้งเพราะความเจ็บแสบบร
1. นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในช่วงปีพ.ศ.2484(ค.ศ.1941) และภาพยนตร์เรื่อง'ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ' ซึ่งอาจมีเนื้อหาคล้ายคลึง แต่อยากให้ทราบเอาไว้ว่า ทุกตัวละคร และบางสถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจ คู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน) และ เคะหนวด4. บางส่วนในนิยายอาจมีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงระหว่างสองความคิดในแง่การเมือง/สถาบันศาสนา5. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึงองค์กรทางศาสนา, ความรุนแรง, สภาวะทางจิต, สารเสพติด, การล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .จำนวนตอน
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นแล้ว หากแต่สยามที่ได้เปลี่ยนนามเป็นไทยนั้นยังคงไว้ซึ่งความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้นกระนั้นก็เป็นรู้กันปากต่อปากว่าการเลือกเป็นกลางนั้นถือเป็นการเลือกฝักฝ่ายไปแล้วสิ้น ทว่าเรื่องเช่นนั้นไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของชายแดนและเหล่าประชาชนที่อาจถูกรุกรานจากชาติญี่ปุ่นที่กดดันเข้ามาไม่ต่างจากนาฬิกาปลุกที่เมื่อยามใดเข็มทั้งสองมาบรรจบกันเวลาอันเหมาะ นกน้อยจะออกมาร่ำร้องเป็นทำนอง. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพรขบวนรถไฟสีดำขลับแล่นผ่านหมู่แมกไม้รายทาง สายลมที่เกิดจากความเร็วของล้อที่เคลื่อนตัวด้วยแรงไอน้ำพัดพากลีบดอกสีขาวไม่ทราบนามสวนทางผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดรับลมธรรมชาติทันทีที่ดอกน้อยร่วงหล่นแตะพื้นที่นั่งข้างชายร่างกำยำในชุดทหารภูมิฐาน มือหยาบกร้านจากการฝึกอาวุธมาตลอดร่วมสิบปีก็จับกลีบบางโปร่งแสงนั้นขึ้นมามองฆ่าเวลาก่อนจะโยนมันทิ้งไปประหนึ่งสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
เมื่อมาถึงสิบเอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่พลาดโอกาสถลาลงจากเบาะคนขับลงไปสอดส่องภายในงานทันทีทั้งยังชักชวนเขาอีกนะว่า'สาวแจ่ม ๆ ตรึมเลยนะคร้าบ ไม่ลงมาดูหน่อยเหรอครับร้อย เผื่อจะได้หาแม่ใหม่ให้น้องขวัญไง'รุ่นน้องเขานี่ก็ขยันสะกิดปมเขาตลอดเลยสินะแต่ไม่ว่าเปล่าหลังจากเขาเห็นหลังของทหารยศสิบเอกหายไปแล้วเขาจึงลงมาจากรถ เดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายเสียหน่อย บางทีอาจจะได้ข้าวเย็นเก็บใส่ตู้กินไปได้หลายวัน จนเดินมาเห็นเจ้าปลื้มมันสนทนากับหญิงสาวอย่างออกรสออกชาติ นี่เขาชักสงสัยแล้วนะว่าไอ้คนนี้มันไปเอาแรงพูดมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่รุ่นน้องเขาก็หาเรื่องอู้ได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือไม่ ทั้งยังติดนิสัยอ้อล้อแม่ค้ารายทางเป็นว่าเล่นแล้วก็มาเป็นภาระหูของเขาที่ต้องฟังเจ้านี่บ่นว่าทำไมสาวไม่รักบ้างล่ะ ทำไมหาเมียไม่ได้บ้างล่ะ และส่วนใหญ่ที่ตอบกลับไปก็จะเป็นคำว่าสมน้ำหน้าพิภพทอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน การที่เขาได้มาที่นี่มันไม่ได้มาจากสาเหตุที่น่าอภิรมย์อย่างการอาสามาเป็นครูอะไรเทือกนั้น แต่เป็นการกลั่นแกล้งกันในหมู่ทหารเสีย
"พี่ครับ"เสียงของเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดผมสั้นเกรียนพร่ำเรียกคนอายุมากกว่าที่ยังคงนอนสลบไสลไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ให้ทำอย่างไรเล่าก็เมื่อวานพี่ของเขากว่าจะขึ้นแสดงก็ปาไปหนึ่งทุ่มเศษทั้งหลังจากทักทายปวงประชาเสร็จก็ออกตามหา'ทหาร'ที่เจ้าตัวเห็นว่าเป็นคนเก็บปิ่นแสนแพงนั่นได้ก็กินเวลาไปจนงานเลิกสองทุ่มครึ่งนั่นแหละกว่าจะยอมกลับบ้านมาทั้งที่คว้าน้ำเหลวอยู่อย่างนั้น"พี่ครับ วันนี้พี่ต้องไปประชุมผู้ปกครองให้ผมนะครับ""อือ... แป๊บหนึ่งศร พี่ขอสิบนาที"เจ้าของชื่ออดิศรถอนหายใจเพราะพี่เจ้าพูดคำว่าสิบนาทีมาสองรอบเห็นจะได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาดเนื่องด้วยเรือนหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับคณะนางรำเช้าตรู่จึงมีศิษย์ร่วมสำนักมาทำความสะอาดและฝึกซ้อมรอเจ้าของคณะตื่นตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเพื่อตระเตรียมของ ขายาวเดินปรี่ไปที่พี่ผู้ชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งที่นุ่งโจงกระเบนจับผ้าขี้ริ้วเช็ดราวบันไดอยู่"พี่นพครับ ผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ"ศรจับดึงลากคนอายุมากกว่าตนสองปีมายืนดูอาจารย์ของตนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
"อุแหม วันนี้ผมขอบคุณครูแก้วอีกครั้งนะครับ พิธีมีสีสันขึ้นเยอะ"ชายร่างท้วมดูอารีกล่าวยินดีแก่แม่นางรำด้วยความจริงใจ เพราะการจะจองตัวแม่นางรำคนนี้มาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดือนหนึ่งครูแกรับแค่งานเดียว หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น ยากนักที่จะได้ตัวมาร่วมงาน"ผมยินดีครับ แล้วจะยินดีมากเลยหากวันข้างหน้าเด็ก ๆ ในคณะจะได้มารำด้วย"ตรีศูลอมยิ้มพร้อมกล่าวตอบผู้ว่าจ้างประนมมือขอบคุณ ชายสูงอายุหัวเราะร่าพูดคุยโต้ตอบกับนางรำที่ตนว่าจ้างมารำถวายศาลทุกครั้งที่มีโอกาส จนผู้คนที่นั่งโต๊ะจีนอยู่โดยรอบอยากจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่า'ครูแก้ว'แห่งคณะนางรำประจำชุมพรนี้มีความสามารถมากมายนัก ทั้งใบหน้ายังสะสวยเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบุรุษ เพียงแต้มชาด ปัดแก้มเพียงนิดก็งามหยาดเยิ้มจนใครที่เดินผ่านต่างก็ไถ่ถามว่าสตรีนางนี้คือใครตรีศูลในชุดเครื่องทรงกินรีรีบเปิดกล่องแว่นหยิบเลนส์ขึ้นมาสวม บรรจงถอดเล็บปลอมสีทองนำมาวางเก็บไว้ในกล่องน้อยพกพา ก่อนจะค่อย ๆ จับตะเกียบประคองชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างสุภาพเป็นภาพที่น่ามองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะย
นายสิบปลื้มปีติรู้สึกว่าตัวเองทำงานคุ้มเงินเดือนก็วันนี้แล เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยมีสายตาอาฆาตของผู้ปกครองจ้องมองมาก็รู้สึกพลังชีวิตจากหนึ่งร้อยลงมาติดลบจนอยากออกไปแรดฟื้นฟูสัพพะกำลังแล้วความสามารถพูดคล่องน้ำไหลไฟดับของพ่อหนุ่มทะเล้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ร้อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วเดินมานั่งรับกรรมเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนนี้สักทีเถอะครับ!ตรีศูลนั่งจิบน้ำไปกัดฟันกรอด ๆ ไป ใครมันบางอาจมาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของเขาหากเป็นนักเรียนเขาจะตามไปชำระถึงหน้าประตูบ้าน หรือหากเป็นเจ้าทหารสองคนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าพรุ่งนี้จะได้มีชีวิตอยู่อย่างครบสามสิบสอง"ขออภัยที่ชักช้านะครับ"นางรำหนุ่มวางแก้วน้ำลงบนตัก ตวัดหางตามองนายทหารร่างกำยำที่กำลังเดินหอบเอกสารรายชื่อบางอย่างมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก"ไม่ทราบว่า คุณเป็นผู้ปกครองของยุวชนทหารคนไหนเหรอครับ?""นายอดิศร วิศิษฐ์สกุล ม.๕ ครับ"แม้จะพูดสุภาพแต่คนงามก็คล้ายจะกัดฟันพูด ทำเอาพ่อปลื้มอกสั่นขวัญแขวนไม่เคยเจอคนงามสายโหดมาก่อน เขานั่งเกร็งสั่นสู้ประหนึ่งเ
แม้ท้องฟ้าภายนอกยังคงเป็นสีเมฆครามดำมืดมองเห็นดวงจันทร์สีขาวเรืองรองเด่นชัด ทว่าคนงามบนเตียงนอนกลับหยัดตัวลุกขึ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแว่นตากรอบเงินหัวเตียง ทว่าจู่ ๆ ก็มีน้ำหนักกดลงมาบริเวณช่วงเอวทำให้คนเด็กกว่าต้องก้มหน้ามองลงไปก่อนจะเห็นเป็นพ่อนักแสดงที่คงตื่นเพราะเขาพิภพคล้องแขนกกกอดเอวสอบแน่นซุกไซ้ใบหน้าคมจุ่มเนื้อนุ่มไม่ยอมให้แม่คนรักลุกออกไปจากเตียง"พี่ ปล่อยน้อง"แม้ตรีศูลจะพูดไปเช่นนั้นพ่อคนขี้เซาก็ยังคงกอดเอวไว้แนบแน่นประหนึ่งฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไอ้คนอย่างเขารู้อยู่แก่ใจว่าแม้จะใช้กำลังงัดท่อนแขนออกก็คงไม่เป็นผล เพราะเขาลองมาเป็นสิบเป็นร้อยรอบแต่กลับไม่สามารถสู้แรงของอดีตทหารคนนี้ได้สักนิด"น้องต้องไปเตรียมแต่งตัวแต่งหน้า ฤกษ์หกโมงไม่ใช่เหรอ""ไม่ต้องแต่งแก้วของพี่ก็สวย"นี่น่ะหรือประโยคของคนพึ่งตื่น เขาล่ะเพลียใจเสียจริง"มันใช้เวลานาน""นี่พึ่งตีสองเอง เรานอนต่อเถอะ""ถ้าไม่ปล่อยน้องจะหยิกหูแล้วนะ""ไม่ปล่อ-โอ๊ย!"ทันทีเมื่อร่างกำยำสะดุ้งเพราะความเจ็บแสบบร
"สองปีผ่านไปไวจังน้า"เป็นหญิงแววเจ้าประจำพูดเปิดประเด็น เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของภาคเรียนที่สี่แต่ละคนล้วนมีสภาพไม่ต่างจากผีตายซากจึงเลื่อนนัดกินเลี้ยงมาเป็นวันเสาร์แทน กระนั้นก็ยังคงมีปัญหาเพราะต่างคนต่างต้องเริ่มเตรียมตัวฝึกงานกว่าจะหาเวลาตรงกันได้ก็ปาไปบ่ายสามโมง"ทีแรกเราไม่อยากมาเรียนต่อเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้มาแล้วก็สนุกดีนะครับ""เราก็คิดว่าไม่น่าจะหาเพื่อนได้ตั้งแต่วันแรกเหมือนกัน"เพื่อนทั้งสองได้ยินที่แก้วพูดก็หัวเราะ อย่างเจ้าตัวน่ะเหรอจะหาเพื่อนไม่ได้ เรียนมาสองปีใคร ๆ ก็รู้ว่าแก้วเป็นหน้าเป็นตาให้แก่กลุ่มมากขนาดไหน อาจเพราะเป็นพี่โตสุดในห้องเรียนกระมัง จึงพูดคุยสื่อสารถูกคอกับคณาจารย์ ทั้งยังเป็นที่พึ่งพาให้แก่เพื่อน ๆ คนอื่นในห้องได้อีกแบบนี้จะไม่ให้เป็นที่รักได้อย่างไรไม่นานบริกรสาวก็ถือถาดสังกะสีเคลือบเงามาพร้อมกับค่อย ๆ จัดเรียงจานบนโต๊ะไม้กลม ร้านที่พวกเขานัดมาทานร่วมกันเป็นร้านอาหารไทยทั่วไปมีรสชาติที่ไม่หวือหวามากทั้งยังใกล้กับวิทยาลัย กระนั้นเครื่องเรือนภายในร้านดูสวยสะดุดตาเสริมบรรยากาศให้ลูกค้าที่เข้ามาอ
แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดแต่คุณพ่อของบ้านมีหน้าที่ต้องออกไปสะสางงานกับผู้จัดการส่วนตัวเล็กน้อยทำให้ตั้งแต่เวลาแปดโมงถึงบ่ายโมงครึ่งภายในบ้านจึงมีเพียงคุณย่า หลานสาว และแม่นางรำสามคน พวกเขาทราบกันดีว่าช่วงนี้เจ้าตัวออกไปทำธุระค่อนข้างบ่อย จึงมักหาอะไรทำอย่างเขาก็ฝึกทำอาหารให้คล่อง บางครั้งก็สอนหนังสือน้องขวัญเวลาเด็กหญิงได้รับการบ้านมาแต่วันนี้นับเป็นวันพิเศษกิจกรรมภายในครัวเรือนรอบนี้จึงเป็นการ'จัดงานวันเกิด'ให้พ่อทหารแต่เดิมคุณแม่เล่าว่าเมื่อถึงวันเกิดใครในบ้านลูกชายหล่อนจะพาออกทานมื้อพิเศษนอกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นร้านวิภาโภชนาหรือไม่ก็ร้านที่คนคนนั้นสนใจ ทว่าสำหรับวันเกิดของตนเองแล้วนั้นเจ้าตัวกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไรนัก มีวันหนึ่งเขาเคยถามวันเกิดกับพี่ดินแต่คำตอบที่ได้คือ'ผมลืมไปแล้วครับ'มันน่าหยิกเสียจริง ทีวันเกิดลูก วันเกิดเขาจำได้แม่น ไม่รู้ว่าหากบอกเวลาเกิดไปด้วยเจ้าตัวคงนั่งจับนาฬิกาสุขสันต์วันเกิดเลยกระมังดีหน่อยที่คุณแม่จำได้ว่าวันเกิดเจ้าลูกชายเป็นวันที่เท่าไร เขาจึงพอกะเกณฑ์เวลาที่จะไปซื้อของขวัญได้
นิสัยดื้อดึงของโฉมงามคนรักยังคงเป็นปัญหาภายในของเขาที่ยังคงแก้ไม่หาย ไม่ว่าจะตื๊อจะยกเหตุผลนานานับสิบประการมากรอกหูแม่นางรำก็มักจะไม่ฟังรวมไปถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน"ผมไปก่อนนะครับ""ที่จริงเราไม่ต้องไปก็ได้นะครับ"พิภพเอ่ยไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร แต่ที่แน่ ๆ เขาพูดประโยคนี้ทุกครั้งที่มาส่งคนรักไปชุมพร เพราะเจ้าตัวบอกว่ามีคณะนางรำก็ต้องกลับไปดูแลไม่อยากปล่อยสองตาเอาไว้เพราะเป็นห่วงเกรงว่าคณะดนตรีจะกลายเป็นซุ้มยาดองไปเสียก่อน บวกกับท่านทั้งสองอายุมากแล้วควรหมั่นกลับไปเป็นระยะเพื่อบรรเทางานที่เข้ามา เพราะอย่างไรเสียแม้จะขึ้นชื่อว่าคณะนางรำแต่นักดนตรีก็มีเพิ่มขึ้นมาหลังจากมีสองตากลับมาช่วยฝึกซ้อมอย่างเต็มตัว ตารางงานอะไรก็ควรทำให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เสียชื่อในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นสิ่งพิภพเข้าใจโฉมงามในฐานะเจ้าของคณะคนปัจจุบันเป็นอย่างดีทว่าเรื่องของเรื่องคือเจ้าตัวบอกกับเขาแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าอยากออกค่าเทอมค่าบำรุงการศึกษาของวิทยาลัยด้วยตนเองเพราะมันไม่ได้มากมายอะไร อย่างไรเสียก็พึ่งจะขอทุนได้ไปเมื่อต้นปี ตลอดหนึ่งปีมานี่อีกฝ่ายจึงเพิ่มตารางงานเข้
เนื่องจากแม่นางรำบอกกับเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าช่วงนี้เป็นช่วงของสัปดาห์สอบจึงขออ่านหนังสือดึกหน่อย ซึ่งเขาไม่ได้ว่าอะไรทั้งยังสนับสนุนและซื้อโคมไฟตั้งโต๊ะมาให้ใช้แทนตะเกียงจะได้ไม่เสียสายตา ดังนั้นคืนนี้เขาจึงต้องเข้านอนไปคนเดียวและปล่อยให้ว่าที่คุณครูทบทวนตำราทว่านานวันเข้าแม้จะผ่านช่วงสอบไปแล้วแก้วก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่ยอมหลับยอมนอน"แก้วนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปเรียนไม่ไหว"พิภพกล่าวขึ้นพลางมองไปยังโต๊ะเขียนหนังสือมุมห้องนอน ตอนนี้ก็ใกล้สี่ทุ่มแล้ว เขางีบหลับไปพักหนึ่งก่อนตื่นมากะจะเข้าห้องน้ำก็ยังคงเห็นแม่นางรำนั่งอ่านหนังสืออยู่"ขออีกแป๊บหนึ่ง""แป๊บหนึ่งอะไร ตาจะปิดอยู่แล้วนั่น"แม้โฉมงามจะขอเวลาแต่สภาพตอนนี้ใกล้จะหลับเต็มที ไม่รู้ที่วิทยาลัยโครงการให้มาทำหรือเปล่าแก้วถึงได้ตั้งอกตั้งใจอ่านขนาดนี้พิภพเดินเข้าไปใกล้กะจะดูเสียหน่อยว่าแม่นางรำกำลังเครียดกับเนื้อหาอะไร ทว่าเมื่อคนบนเก้าอี้จับได้ว่าเขากำลังเดินเข้าไปใกล้ก็รีบปิดหนังสือพึ่บพั่บแล้วหากระดาษสมุดอะไรมาบังไม่ให้เห็นหน้าปก อย
"ขวัญวันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยค่ะ"ว่าที่คุณครูคนสวยที่เอ่ยชมสาวน้อยประจำบ้านซึ่งกำลังเดินเตาะแตะออกมาในชุดกระโปรงสีเหลืองลายปักดอกไม้เข้าคู่กับกระเป๋าใบจิ๋วพร้อมกับผมสีดำที่ยาวขึ้นจนสามารถถักเปียสองข้างได้เด็กน้อยจูงมือคุณย่าออกมายังหน้าบ้าน ก่อนที่หญิงมีอายุจะหันกลับไปปิดประตูลงกลอนบ้านเพราะวันนี้ทั้งครอบครัวมีนัดไปทานมื้อพิเศษร่วมกันเนื่องจากเด็กหญิงขวัญฤดีสอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของห้องและครูแก้วที่สอบเข้าวิทยาลัยได้สำเร็จตรีศูลรับหน้าที่เป็นคนจูงมือเด็กหญิง ทั้งสองแต่งตัวเข้าคู่กันอย่างกับนัดกันมา กางเกงสีน้ำตาลไหม้และเสื้อเนื้อละเอียดสีเกาลัดเป็นภาพอันน่าดูชมแก่พ่อทหารเสาหลักของบ้านที่ใส่เสื้อผ้าพอให้ดูได้ ถ้าเมื่อเช้าแม่นางรำไม่ลากเขาเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อคงได้ไปทานมื้อเย็นพร้อมเสื้อขาด ๆ เป็นแน่"ตายจริง แบบนี้แม่ก็ไม่เข้าพวกอยู่คนเดียวสิจ๊ะ"แม่เอี่ยมหันมามองเด็ก ๆ ก็นึกอยากจะกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ หล่อนติดใส่เสื้อถักลูกไม้แขนสามส่วนสีขาวรู้แบบนี้น่าจะหยิบตัวที่สีออกเหลืองมาเสียหน่อย"ใครว่าล่ะจ้ะ กระเป๋าแม่ก
ตรีศูลที่รีบออกมาก่อนเพราะอายปาก แม้มันจะเป็นคำพูดปกติไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายทว่ามันกลับทำให้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เสียอย่างนั้น ของที่คิดว่าง่ายมันกลับไม่ง่ายเลยจริง ๆ แต่คุณแม่บอกว่าพี่เขาชอบเขาก็จะลองทำไปเรื่อย ๆ ดูจะได้ปรับสมดุลอารมณ์เขินเป็นเด็กแบบนี้ไปในตัวเดินมาเพียงสิบห้านาทีเข้าประตูใหญ่และเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงหอประชุมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาหน้าใหม่กันทั้งนั้น แล้วเขาที่อายุย่างเข้าเลขสามแล้วยังเนียนกับฝูงชนอยู่ไหมล่ะนี่ว่าที่คุณครูถอนหายใจไปพลางหย่อนกายทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สาธารณะใต้ร่มไม้มองเหล่าเด็ก ๆ ที่ต่างจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นกลุ่มย่อย ๆ ทำให้นึกถึงลูกศิษย์ตัวเองที่ได้ข่าวมาว่าตอนนี้เจ้านพสอบติดและได้เข้าศึกษาต่อเป็นที่เรียบร้อย ในตอนนี้ที่คณะก็มีเพียงแค่ตาเทิดตาไฮ้คอยสอนดนตรี อย่างว่าเขาต้องกลับไปดูแลคณะบ้างในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ งานคงจะหนักน่าดูแต่ก็คงสนุกพอกันพิธีปฐมนิเทศถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย นักศึกษาแต่ละคณะถูกจัดแบ่งเป็นระเบียบแถวตามป้ายทำให้เขารู้ว่าหลักสูตรที่เขากำลังเรียนมีคนน้อยกว่าใครเพื่อน ทั้งยังมีคนที่น่าจะอยู่รุ่นราวคร
แม้ยามนี้อาทิตย์จะยังไม่ขึ้น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีขาบดำ บรรยากาศรอบข้างเย็นสบายเนื่องด้วยไอความหนาวที่โชยพัดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้สำหรับระบายอากาศ ริ้วมุ้งบางปลิวอย่างเชื่องช้าก่อนจะถูกมือคู่สวยรวบมัดเข้ากับเสาเรียบร้อยตรีศูลในเสื้อคอปกแข็งสีขาวสะอาดกางเกงสีดำครามและเข็มขัดเข้าเอวจัดแจงผ้าโปร่งให้เข้าทีก่อนจะหย่อนกายนั่งอยู่ขอบเตียง พินิจมองเจ้าของบ้านหลังเก่าแก่อย่างนึกสนุก มือคู่บางจากที่เอาไว้ค้ำยันตัวกับผืนผ้ากลับค่อย ๆ ยื่นปลายนิ้วไปแตะยังปลายจมูกของพ่อทหารที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง ทันใดนั้นหว่างคิ้วก็ย่นเข้าหากันเป็นที่ขบขันแก่แม่นางรำ คนเด็กกว่าจึงถือโอกาสอีกครั้งโดยการเคลื่อนร่างไปนั่งบนเตียงอย่างเต็มตัว และจึงเมียงมองหาจุดน่าแกล้งต่อ"อ๊ะ!"ไม่ทันจะได้เล่นต่อแขนก็ถูกดึงไปข้างหน้าพร้อมกับน้ำหนักที่มากดเอวเอาไว้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีตรีศูลจึงรู้ว่าตัวเองได้คร่อมพ่อทหารเสียแล้ว"ซนจังเลยเรา"พิภพกล่าวอย่างคนพึ่งตื่น เขาก็คิดอยู่ว่าแมวตัวไหนมาเอาอุ้งมือจิ้มหน้าที่แท้ก็เป็นแม่แมวนี่เอง นายทหารยกยิ้มก่อนจะหยัดตัวขึ้นโดยท
ทั้งสองมาขึ้นรถราง นั่งรอผู้โดยสารคนอื่นขึ้นจนครบไม่นานรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทีแรกพ่อทหารกะจะกลับไปนอนบ้านด้วยตัวเองแล้วค่อยตื่นมารับคนรักในวันรุ่งขึ้นทว่าด้วยสายตาอันเว้าวอนของนางรำตัวน้อยเขาจึงตอบตกลงที่จะมานอนค้างแรมอยู่ที่'บ้านใหญ่'ของเจ้าตัวหนึ่งคืนแทนทว่าเมื่อถึงเขาก็ต้องหน้าเหวอ เขาทราบดีจากเรื่องที่แม่นางรำเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าเจ้าตัวมาจากบ้านที่มีกินมีใช้ แต่ไม่คิดว่ามันจะมากมายขนาดนี้ พิภพยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งอึ้งสวนเอยน้ำพุเอยมันชวนให้เขานึกถึงเรื่องราวในละครอย่างไรอย่างนั้น"พี่ตรีกลับมาแล้วเหรอครับ"เสียงสดใสของเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยคุณลุงคนสวนเล็มพุ่มไม้แว่วมา เสียงรองเท้าหนังเนื้อดีกระทบพื้นปูนเรียบเป็นจังหวะ อดิศรในเสื้อคอปกลายทางกางเกงขาสั้นวิ่งมาต้อนรับพร้อมยกมือสวัสดีอดีตครูฝึก ใบหน้าผ่องใส เครื่องแต่งกายอันมีราคาชวนให้พิภพสงสัยว่า ถ้าเอ็งรวยขนาดนี้แล้วจะมาสมัครเป็นทหารเพื่อ!?เดินเข้ามาภายในแน่นอนว่าถูกต้อนรับเป็นอย่างดี แม้จะบอกว่าเขาเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บเองได้แต่เหล่าคนใช้ในบ้านก็อาสาจนเขาปฏิเสธไม่ได้"คุณดิน ใช่