พวกเขาไม่เคยปรึกษาหารือกันแต่ทั้งคู่ต่างรู้ดี ทุกครั้งที่มีความสัมพันธ์กันหลังจากเฉียวซุนกลับมา ล้วนไม่ได้รับการยินยอมจากเธอ ถึงแม้บางครั้งเธอก็รู้สึกแต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิมชายหนุ่มผู้อ่อนโยนภายใต้แสงไฟสลัว ๆ เหมือนกับว่ากำลังพิจารณาทุกการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ ด้วยกลัวว่าจะทำร้ายเธอและทำให้เธอต่อต้าน......เขาโน้มตัวลงไปที่หลังใบหูเล็ก ถามเธอด้วยเสียงต่ำว่ารู้สึกดีไหมเฉียวซุนรั้งคอของเขาไว้ ไม่ยอมพูดอะไรแต่ร่างกายของเธอไม่สามารถโกหกได้ คืนนี้คือคืนที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตการแต่งงาน 3 ปี ทั้งคู่พอใจซึ่งกันและกันอย่างมากหลังจากเสร็จกิจ เฉียวซุนก็เข้าไปอาบน้ำลู่เจ๋อสวมกางเกงและเสื้อยืดเสร็จ จึงเดินไปรับลม และสูบบุหรี่ที่ระเบียงปลายผมที่เซตอย่างดีปลิวไปตามแรงลมที่ผ่านพัดไปมา นาน ๆ ครั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาจะดูอ่อนโยน......ไม่นานก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้องน้ำ เขาเดาว่าเฉียวซุนน่าจะอาบน้ำเสร็จแล้ว แต่เขารู้ดีว่ากว่าที่เธอจะเป่าผมและทาครีมบำรุงเสร็จคงอีกนานลู่เจ๋อเอนตัวพิงเก้าอี้ พลางหยิบโทรศัพท์มาไถไปมาในไลน์มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเป็นคุณหมอที่ดูแลไป๋เซียวเซียวส่งข้อมู
เฉียวซุนกังวลมาโดยตลอด พวกเขาพึ่งมีอะไรกันก่อนหน้านี้ แต่หลังจากนั้นเขากลับบอกว่าที่บริษัทมีปัญหาเล็กน้อย ต้องไปจัดการ พอไปจัดการก็กลางเป็นว่าต้องจัดการตั้งหนึ่งคืน เป็นธุระอะไร ถึงขนาดต้องใช้เวลาทั้งคืน?เฉียวซุนไม่อยากคิดมากอีก แต่ในใจเธอกลับรู้ชัดเจน ว่าลู่เจ๋อกำลังทำเรื่องนี้เพื่อผู้หญิงคนอื่น ขณะที่กำลังรีดเสื้อผ้าของเขา เธอกลับคิดถึงเรื่องที่เขาเคยพูดกับเธออีกแล้ว เขาพูดว่าจะไม่ไปเจอไป๋เซียวเซียวอีก...เธอตกอยู่ในภวังค์อยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงเท้ากำลังเดินขึ้นมาลู่เจ๋อน่าจะกลับมาแล้ว!ลู่เจ๋อดูซีดเซียวเล็กน้อยหลังจากผ่านคืนที่วุ่นวายมา เธอได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ในตอนที่เขากอดเธอจากด้านหลัง......มันเป็นกลิ่นเอกลักษณ์จากโรงพยาบาลอ้อมกอดของเขาช่างอ่อนโยนแต่ในใจเฉียวซุนเหมือนกำลังถูกเตือนอย่างรุนแรง เขาไปโรงพยาบาล เขาไปเจอไป๋เซียวเซียวสิ่งที่เศร้าที่สุดคือ คำพูดหวาน ๆ ที่เขาเคยพูดกับเธอยังไม่ทันถึง 1 สัปดาห์ด้วยซ้ำเฉียวซุนไม่ได้ซักถาม มันดูไม่มีคุณค่าเกินไปเธอหรี่ตาลงและเอ่ยเสียงเบา : “เลขาฉินโทรมาตั้งแต่เช้า บอกว่าช่วงสายมีประชุมสำคัญ เตือนให้คุณไปให้ทันเวลา”ลู่เ
ลู่เจ๋อมองไปยังใบหน้าที่เรียบนิ่งของเธอในยามพลบค่ำจะส่องแสงสว่างสวยงาม และอ่อนโยนเขาอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงมาข้างหูเธอ และพูดประโยคคลุมเครือออกมา คำพูดหวาน ๆ เป็นเรื่องธรรมดาของสามีภรรยา แต่เฉียวซุนฟังแล้วกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนด้านหลังของลู่เจ๋อ มีคนรับใช้กำลังมองอยู่ไกล ๆ เธอเอ่ยเตือนเสียงเบา : “ได้เวลาทานข้าวเย็นแล้วล่ะ!”ลู่เจ๋อคว้าข้อมือบาง พลางเดินและหยอกล้อไปกับเธอ เขาบอกว่าปูในมื้อเย็นวันนี้เพิ่งซื้อมาเมื่อตอนบ่าย ยังคงสดใหม่อยู่ : “คุณชอบปูมากที่สุดไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวก็ทานเยอะ ๆ หน่อยสิ”เฉียวซุนยิ้มเบา ๆ อย่างเย็นชาขณะรับประทานอาหารเย็น เธอไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา และยิ่งไม่ได้ซักไซ้สามีของตนเขากำลังแสดงความจริงใจ เธอก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างดีกลางดึกเขาอยากทำเรื่องพวกนั้น เฉียวซุนก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ในช่วงคับขันเธอจะเอื้อมมือไปที่ลิ้นชักหัวเตียง แล้วหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมา เพื่อให้เขาสวมใส่ลู่เจ๋อรู้สึกตกใจอยู่ครู่หนึ่งอันที่จริงเขาไม่ชอบใช้มัน เฉียวซุนเองก็อาจจะไม่ชอบเขาก้มลงจูบเธอ กระซิบเสียงเบาว่าอยากมีลูก เขาพูดว่าตนเองใกล้จะ 30 แล้ว เพื่อนที่เคยเล่
ลู่เจ๋อไม่ได้คิดกับเธอด้วยความรู้สึกชายหญิงแบบนั้น เขาเพียงแต่ละอายใจเขาเคยสัญญากับเฉียวซุนว่าจะไม่ไปเจอไป๋เซียวเซียวอีก จริง ๆ แล้วเขาแค่ต้องใจแข็งและส่งไป๋เซียวเซียวไปให้เลขาฉินกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ดูแล จากนั้นเขาก็จะมีภรรยาที่อ่อนโยนและลูกที่น่ารัก เขาไม่อยากทำเรื่องอันตรายให้เฉียวซุนรู้อีก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เฉียวซุนก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขามากขนาดนั้นเขาเพียงแค่อยากมีเฉียวซุนไว้ข้างกาย แต่ไม่ใช่ผู้หญิงที่รัก......ถ้าหากวันไหนเธอรู้ เธอคงจะน้อยใจจนร้องไห้เสียใจและเย็นชาไปทั้งใจ สิ่งที่แย่ที่สุดคือความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่คงจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแต่ลู่เจ๋อก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักลู่เจ๋อนั่งทบทวนความรู้สึกตนที่มีต่อเฉียวซุน เขาคิดทั้งข้อดีและไม่ดี สุดท้ายเขาก็ดับบุหรี่ลงและโทรกลับไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ : “เดี๋ยวผมจะไปที่นั่น!”ลู่เจ๋อไม่ได้ลุกไปทันทีหลังจากที่วางสายเขาเปิดอัลบั้ม ก่อนจะหยิบรูปหนึ่งออกมา เป็นภาพที่เฉียวซุนกำลังนอนหลับอยู่เขามองมันเงียบ ๆ อยู่นาน......กลับมาที่ห้องนอน มีแต่ความเงียบสงัด ดูเหมือนว่าเฉียวซุนจะหลับแล้วลู่เจ๋อลงไปนั่งอยู่ข้างเตียงเขา
ประมาณว่าลู่เจ๋ออยู่กับไป๋เซียวเซียวมากเกินไป เสิ่นชิงต่างก็ได้ยินข่าวลือพวกนี้เธอคิดถึงความเอาใจใส่ของลู่เจ๋อ เมื่อครั้งกลับบ้านรอบก่อน เธอกังวลเกี่ยวกับเฉียวซุนเป็นอย่างมาก จึงตั้งใจนัดเธอออกมากินกาแฟแบบลำพัง เสิ่นชิงหัวเราะอย่างเลือดเย็น “ได้ยินว่าจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว! คนแบบเธอไม่คู่ควรกับสุภาษิตที่ว่า ไม้งามกระรอกเจาะ” หรอกนะ เธอหยุดไปเพียงชั่วครู่แล้วถามเฉียวซุน “เธอวางแผนไว้ยังไงบ้างล่ะ?”ท้ายที่สุดแล้วเสิ่นชิงก็คือคนหัวโบราณ มักจะคิดว่าถ้าไม่สามารถกอบกุมหัวใจของผู้ชายเอาไว้ได้ การกอบกุมถุงเงินของเค้าไว้ก็นับว่าดีเหมือนกัน แต่ทางที่ดีที่สุดคือการที่การมีโซ่ทองคล้องใจ เพื่อยืนยันสถานะตำแหน่งคุณนายลู่อย่างสมบูรณ์เฉียวซุนก้มหน้า พลางคนกาแฟความจริงแล้ว ลู่เจ๋อก็อยากมีลูก แต่เป็นเฉียวซุนเสียเองที่ไม่อยากมี ตอนนี้เธอตาสว่างแล้ว เธอถือหุ้นของกลุ่มบริษัทสกุลลู่อยู่สองเปอร์เซ็นต์ อีกครึ่งค่อนชีวิตที่เหลือของเธอก็ไม่ต้องลำบากลำบนอีกต่อไปแล้ว ทำไมยังจะต้องมามีลูกแล้วเป็นคู่เวรคู่กรรมกับลู่เจ๋อไปตลอดชีวีตอีกล่ะ! เธอมีความคิดที่จะจากไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายังต้องวางแผนไปเรื่อย
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแสดงถึงความเหนื่อยล้า อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความเหนื่อยหน่ายที่ถ้าไม่สังเกตก็แทบจะดูไม่ออก “เลขาฉินบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่า ช่วงนี้มีการประชุมในบริษัทเยอะมากและผมอาจจะมาไม่ได้! แล้วทำไมยังรออยู่จนถึงตอนนี้อีก?”เขาก็เหมือนจะหิวแล้ว เลยเริ่มรับประทานอาหารเฉียวซุนลอบมองเขาเงียบ ๆ ตั้งแต่เขาเหยียบเท้าเข้ามาที่นี่ประมาณ 2 นาที เขาพูดไปสองประโยคแต่กลับไม่ใช้สายตามองเธอเลยสักครั้ง ในใจเขาคงมีความกังวล คงจะกำลังตำหนิว่าภรรยาคนนี้นี่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย!เขายุ่งเสียขนาดนี้ ยังกล้าจะเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นวันครบรอบแต่งงานมารบกวนเขาอีก เฉียวซุนก้มหน้าลงต่ำ นิ้วเรียวสวยลูบเบา ๆ ที่ติ่งหูบาง เธอดูเหมือนภรรยาทั่วไปที่ตอบสนองต่อคำบ่นตำหนิของสามี เธอไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยซักนิด อีกทั้งยังยิ้มอ่อนออกมาเสียได้เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “จะฉลองด้วยกันกับคุณนี่มันยากจริง ๆ ขืนคุณยังไม่มาอีกเดี๋ยวฉันก็ว่าจะไปแล้ว”เธอปริปากด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังนัก “ลู่เจ๋อ ขอโทษจริงๆนะที่รบกวนคุณ!”ลู่เจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเขานั่งอยู่ภายใต้โคมไฟคริสตัลระย้านั่นพลางลอบมองภรรยาของต
เฉียวซุนลงจากตึกแล้วขึ้นรถไป สารถีดูออกว่าตอนนี้เธอกำลังไม่สบอารมณ์ เขากล่าวด้วยเสียงเบาและดูผ่อนคลาย “คุณนายครับ พวกเราจะกลับกันเลยไหมครับ?”เฉียวซุนนั่งนิ่งไม่ได้เอ่ยตอบกลับสารถีไป เธอมองวิวยามค่ำคืนที่มีดวงไฟบนถนนระยิบระยับประดับค่ำคืนอันมืดมิดผ่านกระจกรถที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในที่สุดเธอก็ปริปากออกคำสั่ง “ลุงหลิน หนูอยากกลับแล้ว ออกรถได้เลยค่ะ!”สารถีหลินขมวดคิ้ว “กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกันครับ สามทุ่มแล้วคุณนายท่านยังไม่กลับบ้าน ถ้าคุณชายทราบต้องเป็นห่วงแน่ ๆ ครับ!”เฉียวซุนส่งเสียงหัวเราะหึ ๆ เบา ๆ “เขาจะรู้ได้ยังไงคะ?”สารถีหลินใช้มือลูบริมปากหนาชั่วครู่ ดึกดื่นแบบนี้ผู้ชายที่ยังไม่กลับถึงบ้านช่องแน่นอนว่าคงต้องโดนเหล่าคนใช้พูดลับหลังอยู่แล้ว ถ้าจะพูดว่าเขาไม่รู้เรื่องเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่สารถีหลินก็ไม่วางใจจริง ๆ ในเมื่อดึกดื่นขนาดนี้เฉียวซุนยังคงเตร็ดเตร่อยู่บนถนนคนเดียว เขาจึงขับรถตามเธอเงียบ ๆเฉียวซุนไม่รู้เลยว่าเธอออกมานานขนาดไหนแล้ว เวลาตีสอง เธอมาถึงกำแพงที่ถูกเขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยบริเวณในเมือง บนกำแพงนั่นประปรายไปด้วยคำสารภาพโง่ ๆ เต็มไปหมด เฉียวซุนนั่งลง อาศ
“ผมต้องไปแล้ว!”ลู่เจ๋อพูดตัดบทเธอ เหมือนว่าความโกรธของเขาจะคุกรุ่นอยู่ เขายังเอ่ยต่ออีกว่า “เสร็จธุระแล้วผมค่อยมาอยู่กับเธอ”เฉียวซุนยิ้ม แล้วรีบไปเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เขาภายในห้องบิ้วอินโครเซทและแสงไฟที่สาดส่อง เฉียวซุนเลือกชุดสูทตัวเก่งออกมาพร้อมกับเนคไทและนาฬิกา การเจรจาธุรกิจครั้งนี้ดูไม่ทางการนัก เธอแอบลอบคิดในใจ ถ้าไป๋เซียวเซียวเห็นเข้าคงต้องมองด้วยสายตาที่มีความรักและชื่นชมเป็นแน่อยู่ ๆ ร่างกายของเธอก็ถูกสวมกอดมาจากด้านหลัง แขนกำยำโอบกอดรอบเอวบางของเธอ และถือวิสาสะวางคางไว้บนต้นคอระหงส์พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “โกรธกันรึป่าวครับ?” ขณะที่พูด เขาค่อย ๆ ลูบไล้หยอกล้อเธอเพื่อแสดงถึงความต้องการ ณ ตอนนั้น เฉียวซุนได้กลิ่นยาจาง ๆ บนตัวของเขาในใจของเธอรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่ยังเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกไป “จะมีประชุมสำคัญที่บริษัทไม่ใช่เหรอคะ ถ้าประธานลู่ไปสายซะเอง ลูกน้องจะนินทาเอาได้นะ”ลู่เจ๋อพูดด้วยเสียงเร่าร้อน “ผมต้องเก็บมาใส่ใจเหรอ?”เฉียวซุนงุนงงไปชั่วขณะ คิดถึงความแนบชิดจากการแสดงความรักเมื่อครั้งก่อนใจก็พลันเต้นรัวขึ้นมา เธอเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนซั