ยังไม่ทันวิ่งไปได้กี่ก้าว เธอก็ถูกตำรวจที่รออยู่ด้านนอกกดลงกับพื้นทันที"วิ่งหนีทำไม? คิดว่าจะหนีรอดเหรอ?"เฉินเยวี่ยเงยหน้าขึ้น สีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา"คุณตำรวจ คุณจับผิดคนหรือเปล่า? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!""จับเธอนี่แหละ!" ตำรวจพูดพลางล็อกกุญแจมือที่ข้อมือของเฉินเยวี่ยอย่างคล่องแคล่วบรรยากาศในห้องเรียนที่เคยเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบดังขึ้นอีก"โห จริงเหรอ? มาจับเฉินเยวี่ยเลยเหรอ? เธอไปทำอะไรเข้าเนี่ย?""ฉันว่าแล้วว่าเธอไม่น่าใช่คนดีหรอก ครั้งก่อนก็ใส่ร้ายเฉียวซิงลั่วว่าเป็นขโมย แต่สุดท้ายโดนแฉกลับหน้าแหกไปเลย""ได้ยินมาว่าเธอมีเส้นสายใหญ่มาก ครั้งก่อนเรื่องก็วุ่นวายขนาดนั้น แต่เธอไม่เป็นอะไรเลย"เฉินเยวี่ยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลิงในกรงที่โดนคนมอง เธออับอายจนใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหูแต่ตำรวจที่มาจับตัวกลับไม่ไว้หน้าเธอเลยหัวหน้าทีมสืบสวนที่มาด้วยหยิบตราตำรวจขึ้นมาแสดง พร้อมกับกระชากเธอขึ้นอย่างไม่ปรานี"ฉันคือหัวหน้าทีมสืบสวนคดีอาญาแห่งสถานีตำรวจปักกิ่ง เธอต้องสงสัยว่าเป็นผู้จ้างวานลักพาตัวและทำร้ายร่างกาย มีหลักฐานชัดเจน ตอนนี้เราจะจับเธอ!"เสียงซุบซิบในห้องเรียนยิ่งดังกระหึ
เฉียวเจี้ยนกั๋วรู้สึกเหงื่อเย็นไหลซึมเต็มแผ่นหลัง ความกลัวทำให้เขาพูดจาติดขัด “ไม่...ไม่ใช่ครับ ทุกอย่างยังต้องพึ่งพาความเมตตาของท่านเสมอ”กู้เซิ่งเหยียนแค่นเสียงเย็นชา “นายก็ฉลาดใช้ได้ แต่น่าเสียดายที่ลูกนายโง่สิ้นดี!”“ฉันจำได้ว่าเฉียวกรุ๊ปของแกมีสัญญาหลายฉบับกับบริษัทย่อยของกู้กรุ๊ป ขอแค่ฉันพูดคำเดียว สัญญาเหล่านั้นก็จะเป็นแค่เศษกระดาษ!”เฉียวเจี้ยนกั๋วได้ยินดังนั้น รีบโบกมือพลางพูดอย่างลนลาน “คุณกู้ คุณไม่ทราบหรอกครับ ลูกสาวของผมไม่เคยเชื่อฟังตั้งแต่เล็ก ถ้าเธอทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ผมจะพาเธอกลับมา อยากจัดการยังไงก็ได้เลยครับ”เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ใช้มือลูบหน้าเพื่อสงบใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “แต่ผมไม่ทราบเลยว่าเธอทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ และขอความกรุณาอย่าเพิ่งลงโทษที่เฉียวกรุ๊ปได้ไหมครับ?”เฉียวเจี้ยนกั๋วค่อย ๆ รินน้ำชาใส่ถ้วยชาอย่างระมัดระวัง น้ำชาล้นออกมาจนเกือบเต็ม ก่อนจะหยดลงบนตัวกบทอง[footnoteRef:0]ที่ส่งประกายสีแดงออกมา [0: ของตกแต่งบนโต๊ะน้ำชา] “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับลูกสาวของแกว่าจะทำยังไง กลับไปสั่งสอนเธอให้ดี!”“เอ่อ ครับ ๆ ท่าน ผมจะกลับไปสั่งสอนเธออ
ฉันไม่รับสาย เฉียวเจี้ยนกั๋วจึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความมาถล่มแทน : ‘เฉียวซิงลั่ว! แกกล้าแอบถ่ายฉันเหรอ! ฉันเตือนแกนะ ถ้าแกกล้าปล่อยวิดีโอออกไป ฉันจะฆ่าย่าแก!’ : ‘เฉียวซิงลั่ว! แกมันลูกอกตัญญู! ฉันเลี้ยงแกมากินดีอยู่ดีขนาดนี้ แต่แกกลับกล้ามาขู่ฉัน!’ : ‘แกมันเนรคุณ ฉันไม่น่าเลย...ไม่น่ามีลูกอย่างแกเลยสักนิด!’ข้อความเด้งขึ้นมาทีละข้อความ ทุกข้อความฉันอ่านอย่างละเอียดทุกคำเฉียวเจี้ยนกั๋วตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากความโกรธที่แสดงออกมาแบบไร้ประโยชน์ฉันไร้ความรู้สึก กดที่มุมขวาบนของแอปพลิเคชัน และบล็อกเฉียวเจี้ยนกั๋วในทันทีโลกกลับมาสงบอีกครั้งการที่กู้เซิ่งเหยียนไปหาเฉียวเจี้ยนกั๋ว หมายความว่าเขารู้เรื่องที่เฉินเยวี่ยถูกจับกุมแล้วถ้ากู้เซิ่งเหยียนเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ ฉันไม่แน่ใจว่าเฉินเยวี่ยจะต้องติดคุกหรือไม่ และไม่แน่ใจว่าเฉียวเจี้ยนกั๋วที่กำลังจนตรอกจะกล้าลงมือทำอะไรกับย่าฉันจริง ๆ หรือเปล่าฉันกลัว...แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นฉันไม่อยากถูกเฉียวเจี้ยนกั๋วขู่ต่อไป และไม่ต้องการก้มหัวให้เขา ทางเดียวที่ทำได้คือเสี่ยงเดิมพันครั้งนี้ และรอข่าวจากลั่วอี้ฝานหลายวันแล้วที่
ฉันพลิกดูรูปถ่ายที่ถ่ายกับคุณย่า พลางพึมพำเบา ๆ ไม่ทันรู้ตัว น้ำตาก็ไหลรินอาบใบหน้าไปเสียแล้วปวดท้องจนฉันต้องขดตัวเองเข้าหากัน ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ถาโถมเข้ามาท่วมทั้งร่างกายผ่านไปอีกประมาณสิบนาทีกว่า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง“สวัสดีครับ เม่าโถวเดลิเวอรี่ครับ”เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้น“คุณวางไว้หน้าประตูเลยค่ะ” ฉันไม่แน่ใจว่ากู้จือโม่ออกไปแล้วหรือยัง เลยไม่กล้าเปิดประตู“งั้นรบกวนให้คะแนนดี ๆ ด้วยนะครับ!” หลังจากพูดประโยคนี้ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอก ฟังดูเหมือนจะเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วผ่านไปสักพักใหญ่ ฉันถึงได้มองออกไปข้างนอกผ่านรูตาแมวเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันจึงเปิดประตูและหยิบยาเข้ามากู้จือโม่จากไปจริง ๆ แล้วฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรินน้ำใส่แก้วแล้วกินยาเข้าไป จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมาไถเล่นแก้เบื่อความเจ็บปวดจากกระเพาะค่อย ๆ เริ่มทุเลาลง แต่ฉันกลับนอนไม่หลับอีกเลยไม่ได้นอนทั้งคืนเลย จนกระทั่งฟ้าสว่าง ความง่วงถึงค่อย ๆ ถาโถมเข้ามาฉันกำลังจะวางมือถือแล้วนอน ลั่วอี้ฝานก็ส่งข้อความมาพอดีในวินาทีถัดมา ฉันก็ดีดตัวลุกขึ้นจ
ฉันตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุดราวกับไม่มีค่าแล้วจะทำยังไงล่ะ? ฉันควรทำยังไงดี?ในตอนนี้ ลั่วอี้ฝานกลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ“ซิงลั่ว เธอรีบมาที่นี่ก่อน เราค่อยมาวางแผนกัน ถึงฉันจะส่งคนไปสืบข้อมูลมาแล้ว แต่การลงมือแบบหุนหันพลันแล่นแบบนี้คงไม่ได้ผลแน่”ฉันบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง แล้วเริ่มจองตั๋วเครื่องบินทันทีสองชั่วโมงต่อมา ฉันก็ได้ขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นเฉิงสำเร็จตลอดทาง ฉันเอาแต่คิดว่าจะพาคุณย่ากลับมาอยู่ข้างกายอย่างปลอดภัยได้อย่างไรในขณะเดียวกัน เฉียวเจี้ยนกั๋วก็ถูกเชิญไปที่คฤหาสน์ตระกูลกู้อีกครั้งตั้งแต่กู้จือโม่กลับไปเมืองหลวง โทรศัพท์ของเขาก็ปิดมาตลอด เห็นได้ชัดว่าจงใจหลีกเลี่ยงความจริงเมื่อคืนกู้เซิ่งเหยียนได้ส่งคนไปที่โรงเรียนเพื่อตามหาเฉียวซิงลั่ว แต่กลับได้รับแจ้งว่าเธอไม่ได้มาโรงเรียนหลายวันแล้วไม่มีทางเลือก เขาจึงทำได้แค่กดดันเฉียวเจี้ยนกั๋วเท่านั้น“ฉันไม่อยากพูดไร้สาระอีกแล้ว เฉียวซิงลั่วจะถอนฟ้องได้เมื่อไหร่?” กู้เซิ่งเหยียนพูดด้วยสีหน้าเย็นชาและหมดความอดทนโดยสิ้นเชิงคำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้เฉียวเจี้ยนกั๋วเหงื่อเย็นไหลท่
ลมหนาวอันเย็นเยียบพัดผ่าน ในขณะนั้นเขาก็ได้รับสายจากบ้านพักคนชรา“สวัสดีค่ะ คุณเฉียว ที่นี่คือบ้านพักคนชราซีหยางนะคะ เช้านี้มีคนอ้างตัวว่าเป็นญาติของคุณมาเยี่ยมผู้สูงอายุในครอบครัวของคุณค่ะ”“ตอนนั้นเราโทรหาคุณ แต่ติดต่อไม่ได้ จึงไม่ได้อนุญาตให้เขาเข้าเยี่ยมค่ะ”“ขอถามหน่อยนะคะ เป็นคนในครอบครัวของคุณหรือเปล่าคะ?”เฉียวเจี้ยนกั๋วถึงกับขมวดคิ้วกระตุกทันที ก่อนจะเข้าใจได้ทันทีว่าต้องเป็นคนของเฉียวซิงลั่ว “พวกคุณทำงานกันยังไง? คนแปลกหน้าก็ปล่อยให้เข้าไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? บอกไว้เลยนะ ถ้าแม่ผมเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ผมไม่ปล่อยพวกคุณไว้แน่!”เขาวางสายด้วยความโมโหสุดขีด ก่อนจะตะโกนสั่งคนขับรถว่า “กลับรถ! ไปที่บ้านพักคนชรา!”ภายในบ้านพักคนชรา เฉียวเจี้ยนกั๋วนำพาผู้ติดตามบุกเข้าไปอย่างรวดเร็วผู้รับผิดชอบรีบรุดมาด้วยความเร่งรีบ แต่กลับถูกกันไว้ด้านนอกเฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งคนให้เก็บของไปด้วย ในขณะเดียวกันก็คว้าคอเสื้อของแม่ตัวเองขึ้นมาอย่างแรง “แก่ไม่ตายสักทีนะ แต่อยากบอกเลยว่าหลานสาวของแม่นี่มันเก่งจริง ๆ จำเอาไว้นะ ไม่ใช่ว่าฉันอยากทำร้ายแม่ แต่เป็นเพราะเฉียวซิงลั่ว ตัวดีนั่นไม่อยากให้แม่อยู
ใจฉันหล่นวูบ คว้ามือพนักงานทำความสะอาดไว้แน่นแล้วถามว่า “คนที่อยู่ในห้องนี้ล่ะ?”พนักงานทำความสะอาดดูงงเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบว่า “ย้ายไปแล้วค่ะ”ย้ายไปแล้ว? ย้ายไปแล้วหมายความว่ายังไง?ฉันตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว ร่างกายอ่อนแรงจนหมดเรี่ยวแรงลั่วอี้ฝานเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ รีบประคองฉันที่กำลังจะทรุดลง“อะไรคือย้ายไปแล้ว? อธิบายให้ชัดเจนหน่อย!”“ก็ถูกคนพาตัวไปแล้วไง” พนักงานทำความสะอาดคงเห็นว่าฉันร้อนใจจริง ๆ จึงมองสำรวจพวกเราอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “พวกคุณเป็นอะไรกันกับเธอ?”“พาไปที่ไหน? พาไปเมื่อไหร่? ใครเป็นคนพาไป?” ฉันไม่สนใจน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสาย รีบพูดด้วยความร้อนใจว่า “ฉันเป็นหลานสาวของเธอ ขอร้องล่ะ บอกพวกเราทีเถอะค่ะ”พนักงานทำความสะอาดถึงกับตกใจจนเห็นได้ชัด “ที่แท้เธอยังมีญาติคนอื่นอยู่อีกเหรอ! โอ๊ย หนูจ๋า เธอมาช้าไปแล้วล่ะ”“เมื่อสองชั่วโมงก่อน มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพาคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาแล้วพาตัวเธอไปแล้ว”“หนูจ๋า ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นพ่อเธอหรือเปล่า?”“เธอกลับไปต้องดูแลคุณย่าให้ดี ๆ นะ เธอไม่รู้หรอกว่าพ่อเธอเอาคุณย่ามาทิ้งไว้ที่นี่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องการอะไร? เธอไปทำอะไรให้ตระกูลกู้โกรธกันแน่? บอกไว้เลยนะ ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ชาตินี้เธออย่าหวังว่าจะได้เจอย่าเธออีก!” “ยาถูกหยุดไปแล้ว ถ้าเธอยังไม่ทำให้ตระกูลกู้หายโกรธล่ะก็ ฉันจะไม่ให้เธอเห็นแม้แต่ศพของย่าเธอ!” เขาพูดจบก็วางสายไปทันที ฉันจ้องมองโทรศัพท์ด้วยความงง ก่อนจะได้สติและกดโทรกลับไปอย่างบ้าคลั่ง ยาของคุณย่าจะขาดไม่ได้เด็ดขาด! แต่ไม่ว่าฉันจะโทรไปกี่ครั้ง อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลย เมื่อเสียงแจ้งว่าไม่มีผู้รับสายดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดฉันก็หมดแรงและท้อใจ ลั่วอี้ฝานโกรธจนสบถด่าออกมา ส่วนฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉันถึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกดโทรหาเบอร์ของกู้จือโม่ แทบจะทันทีที่กดโทรออก สายก็ถูกรับอย่างรวดเร็วหลังจากความเงียบไม่กี่วินาที ฉันก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า “กู้จือโม่ พวกนายชนะแล้ว” “อะไรนะ?” ดูเหมือนเขาจะงงเล็กน้อย “เลิกแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรได้แล้ว ตระกูลกู้ของพวกนายนี่ช่างมีวิธีการที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ” ฉันไม่อยากเสียเวลาพูดไร้สาระกับเขามากนัก “ฉันตกลงถ
มองส่งชายคนนั้นจากไป ฉันยืนอยู่ท่ามกลางสายลมเย็น สายลมอันหนาวเหน็บพัดผ่าน ฉันกระชับเสื้อคลุมบางเบาให้แนบตัว แสงไฟข้างทางที่ริบหรี่สลับสว่างส่งแสงสีส้มทอดลงบนตัวฉัน ฉันก้าวเดินช้า ๆ ท่ามกลางสายลมเย็นในรองเท้าส้นสูง แสงไฟถนนสีส้มสะท้อนให้เห็นเงาหลังที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างของฉัน ระยะทางไม่ไกลนัก ฉันเดินกลับถึงบ้านแล้วถอดรองเท้าที่กัดเท้าทิ้งไว้บนพื้น เท้าที่ปวดหนึบค่อย ๆ ก้าวไปบนพรมขนแกะ รอยเลือดจาง ๆ ประหนึ่งดอกเหมยที่ประทับลงบนพรม ฉันหยิบแอลกอฮอล์และสำลีก้านมา ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาดบาดแผล ฉันกัดฟันอดทนกับความเจ็บ ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หลังจากทำความสะอาดเสร็จ เปลือกตาหนักอึ้งจนฉันฝืนต่อไปไม่ไหว สุดท้ายจึงค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ ในความฝัน ฉันรู้สึกถึงไออุ่นอันแผ่วเบา ราวกับบ่ายแก่ในสวนที่แสงแดดอ่อนโยนสาดส่องลงบนร่างกาย เงาร่างเลือนรางค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน เห็นเพียงคุณย่าหลังค่อมยิ้มแย้มเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้า ๆ “คุณย่า! คุณย่า!” ฉันร้องไห้จนใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา วิ่งตรงไปหาคุณย่า ฉันอยากอยู่กับคุณย่ามากแค่ไหนกัน! ฉันอยากย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ไร
สายตาที่จริงจังจ้องฉันเขม็ง ฉันสัมผัสได้ถึงความดื้อรั้นและท่าทางที่ครอบงำของเขา จึงแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “รัก? นายรู้เหรอว่าความรักคืออะไร?” เขาพูดอยู่ตลอดว่ารักฉัน แต่กลับไม่เคยทำอะไรเลย บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีของฉันที่เด็ดขาดเกินไป ทำให้ในสายตาของเขามีแววความกังวลเจืออยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะคาดไม่ถึงว่าฉันจะพูดแบบนี้ และไม่คิดว่าฉันจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาอย่างชัดเจน หลังจากดื่มไปไม่น้อย ฉันก็รู้สึกได้ว่ากระเพาะของตัวเองเริ่มมีอาการแสบร้อน แต่การจะยืนหยัดในสังคมและสร้างพื้นที่ของตัวเองให้ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น ฉันเม้มริมฝีปาก พยายามฝืนยืนตัวตรงอย่างมั่นคง เงยหน้ามองเขาอย่างไม่ยอมก้มหัวและไม่หยิ่งผยอง ดูเหมือนว่าในชาติก่อนก็ไม่ต่างจากตอนนี้เลย ฉันเอาแต่เงยหน้ามองเขาอยู่ตลอด ฉันก็เหมือนต้นไม้ที่หยั่งรากอยู่ในโคลนตม เงยหน้าขึ้นมองกู้จือโม่ที่อยู่บนเมฆอันบริสุทธิ์ไร้ที่ติ “ฉันรักเธอจริง ๆ ความรู้สึกระหว่างเรากับเฉินเยวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย ฉันมองผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น” เขาขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะมีความรู้สึกต่อต้านเฉินเยวี่ยอยู่เล
ตระกูลเฉียวในตอนนั้นพยายามจะผูกมัดฉันไว้ ราวกับว่าความรุ่งเรืองหรือความล่มจมของเราต้องไปด้วยกัน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมาตลอดไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการก็แค่เหยียบย่ำบนตัวฉัน คอยดูดซับพลังและประโยชน์จากฉันเรื่อยไปเท่านั้น และเขารู้ดีถึงสถานการณ์ของฉัน แต่กลับให้โอกาสพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่ฉันพลิกสถานการณ์ด้วยความพยายามของตัวเองจนกลายเป็นที่สองได้ ฉันก็รู้แล้วว่าการเอาชนะที่หนึ่งนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันสามารถเป็นที่สองที่ไม่มีใครเหมือนได้ “คุณกู้ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เราสองคนก็ยังคงอยู่กันคนละโลก คุณสามารถมีอนาคตที่ดีกับคุณเฉินได้ แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไป คดีที่มีหลักฐานชัดเจนกลับถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ นั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าตระกูลกู้ของพวกคุณอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ในเมื่อพวกคุณแยกแยะถูกผิดไม่ได้ ฉันจะทำให้โลกสีเทานี้มีสีสันเอง” ฉันรู้ว่าตอนนี้คำพูดที่ฉันเอ่ยออกมานั้นฟังดูเหมือนคำประกาศที่ยิ่งใหญ่เกินตัว แต่สักวันหนึ่งฉันจะพยายามจนได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด และทำให้ทุกคนรู้ถึงความสามารถของฉัน ที่จริงแล้วฉันก็แค่ต้องการความยุติธรรมเท
บีบบังคับผู้หญิงให้ลงน้ำแล้วค่อยช่วยให้ขึ้นฝั่งใหม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนพวกนี้ถนัดที่สุดหรอกเหรอ? แต่เขาพูดแบบนี้ ไม่เหมือนกับเศรษฐีใหญ่ที่กำลังไล่ขอทานไปหรืออย่างไร คิดจะตัดฉันออกไปให้พ้นทางเหรอ? “นายรู้อยู่แล้วว่าฉันถูกบีบบังคับ แต่นายกลับเลือกที่จะช่วยตระกูลเฉียว เป้าหมายของนายก็เพื่อทำให้ฉันกลายเป็นหุ่นเชิดแบบนั้นใช่ไหม? นายคิดจะทำอะไรกันแน่ แค่กระดิกนิ้วฉันก็ต้องวิ่งเข้าหานายงั้นเหรอ? นายคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร ของเล่น? ทาสรับใช้? หรือนายคิดว่าฉันไม่มีศักดิ์ศรี สามารถเหยียบย่ำฉันได้ตลอดไปงั้นเหรอ?” ตอนนั้นเขารู้ดีว่าฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยฉันเลย แถมยังคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นผลจากการกระทำของฉันเองด้วย แม้สุดท้ายจะรู้ว่าใครคือฆาตกร เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรกับฉัน เอาแต่บอกว่าจะช่วยฉันเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาคือทุกอย่างกลับเงียบหายไป ทั้ง ๆ ที่คดีนี้มีหลักฐานชัดเจนแต่กลับถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ทั้งตระกูลกู้ติดค้างฉันไม่น้อยเลยว่าไหม? “ฉันไม่เคยคิดจะล้อเล่นกับเธอ หรือดูถูกเธอเลย เพียงแต่บางเรื่องฉันทำไม่ได้จริง ๆ ฉันหวังว่าเธอ
การไม่รบกวนเขา คือสิ่งที่ฉันสามารถทำได้มากที่สุด เมื่อฉันก้าวเข้าไปในโรงแรมด้วยชุดเดรสยาวสีฟ้าน้ำทะเล สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาที่ฉันในทันที บางทีสำหรับฉันในตอนนี้ ความอ่อนเยาว์และความงามอาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด คนจำนวนมากมักจะมองแต่เปลือกนอกของผู้อื่นอย่างผิวเผิน หากแม้แต่ความตั้งใจที่จะทำความเข้าใจยังไม่มี แล้วโอกาสที่จะพัฒนาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? โชคดีที่ตอนนี้ฉันมีทุกอย่างแล้ว ใบหน้าที่ซีดเซียวในอดีตหายไปแล้ว แต่สิ่งที่ได้มาคือร่างกายที่สดใหม่ อ่อนเยาว์ และงดงามกว่าเดิม เมื่อฉันไปร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง มองดูอาหารอันโอชะบนโต๊ะและกลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใจฉันก็พอจะเข้าใจแล้วว่างานเลี้ยงคืนนี้มีความหมายว่าอย่างไรไม่ใช่เงินทุกก้อนที่จะหามาได้ง่าย ๆ บางก้อนนั้นต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อแสดงถึงความจริงใจของตัวเอง และเพื่อให้โดดเด่นท่ามกลางคนเหล่านี้ ฉันยกแก้วขึ้นกล่าวคำเชิญดื่มก่อนเป็นคนแรก จากนั้นก็แสดงเจตจำนงของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาและมั่นใจ คนเหล่านี้ก็ดูจะคอแข็งกันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะเก่งเรื่องงานสังคม พอดื่มไปได้สักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย
เดิมทีอากาศค่อนข้างแจ่มใส แต่ตอนนี้กลับมีฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายยิ่งขึ้น และยังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาในใจ โชคดีที่ไม่นานฉันก็กลับถึงบ้าน และพอถึงบ้าน ฉันรีบลงไปแช่น้ำร้อนในอ่างทันที ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปล่อยวางทุกอย่าง ทำให้จิตใจของตัวเองค่อย ๆ กลับมาสงบอีกครั้ง อย่าให้เรื่องใดมาส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของฉัน และอย่าให้ความรู้สึกใด ๆ มาควบคุมเส้นทางชีวิตของฉัน ชาติที่แล้วฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจ แถมยังทำให้ฉันรู้สึกขำตัวเอง เพราะการทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดไปกับความรักนั้น สุดท้ายก็แค่ทำให้ตัวเองยิ่งลำบากและน่าสมเพชมากขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้ ฉันมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้หรือไม่ เมื่อฉันยืนอยู่ในห้องมืด ๆ สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ มองลงไปข้างล่างผ่านหน้าต่าง ฝนที่เทกระหน่ำภายใต้แสงไฟถนนกลับดูงดงามอย่างน่าเศร้าใจ พาให้ความคิดของฉันย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นค่ำคืนฝนตกที่เย็นชาและเงียบงันไม่ต่างกัน วันนั้นฉันสวมเสื้อโค้ตผ้าขนสั
เขาเป็นพ่อของฉันจริง ๆ ซึ่งฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อนี้ได้ แต่เขากลับต้องการขายลูกสาวเพื่อไต่เต้า แถมยังมองฉันเป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ตามใจอีก เขามีลูกสาวสองคน แต่ชีวิตของเราสองคนกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวกับว่าฉันเป็นเพียงรองเท้าคู่หนึ่งที่ใครก็สามารถหยิบไปใส่ได้ เขาไม่เคยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับฉันเลย บางทีอาจเป็นเพราะฉันคาดหวังในความสัมพันธ์นี้มากเกินไป หรือเพราะฉันต้องการความรักจากครอบครัวที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จึงผลักดันตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงทางตัน “ตอนนั้นตระกูลเฉียวได้รับผลประโยชน์จากฉันไปไม่น้อย ฉันก็หวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ แต่ภายหลังก็เพิ่งเข้าใจว่า เรื่องดี ๆ จะมีมากมายขนาดนั้นได้ยังไงกัน?” บางทีอาจมีเพียงในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้นที่ฉันจะพูดอะไรออกมาได้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะช่วยให้ฉันสงบลงได้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเรื่องตลกที่น่าขัน ทำได้เพียงบอกความในใจที่ไม่กล้าพูดออกไปให้คนข้าง ๆ ฟัง เขาเพียงรับฟังอย่างเงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ซื่อสัตย์ที่สุด ส่วนฉันในตอนนั้นก็ได้แต่ครุ่นคิดทุกสิ่งเงียบ ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ระบายความเจ็บปวดในใจออก
ผู้อาวุโสหนานเผยรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ท่าทีที่มองฉันก็แฝงไว้ด้วยความภูมิใจเล็กน้อย ฉันรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก แต่การจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของฉันเองล้วน ๆ “สาวน้อยเฉียว เธออย่าเพิ่งดีใจไป ฉันอยากแนะนำเขาให้เธอก็จริง แต่เขานิสัยประหลาดกว่าฉันอีกนะ จะทำให้เขายอมรับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ผู้อาวุโสหนานรีบพูดขัดทันที ทำให้ฉันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าตอนที่ฉันกำลังตกอยู่ในวิกฤต ฉันคว้าไว้ได้เพียงฟางเส้นสุดท้าย แต่กลับพบว่าฟางเส้นนี้ช่วยอะไรฉันไม่ได้เลย “แต่ด้วยความสามารถของเธอ ฉันเชื่อว่าเธอจัดการได้แน่นอน” ความกดดันถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาล จนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มลง และในชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ทุกสิ่งในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย การจะดำเนินไปตามเส้นทางในชาติที่แล้วนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน แต่ข้อมูลที่ฉันมีอยู่มากพอที่จะทำให้ฉันคว้าความได้เปรียบล่วงหน้ามื้อนี้เป็นมื้อที่น่าพึงพอใจ แม้จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ก็ได้พบกับวิธีแก้ไขใหม่ ๆ แทน เม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรตลอดทางกลับบ้าน นั่งอยู่
เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ฉันรู้สึกผิดหวังทันที แต่ก็รีบรวบรวมกำลังใจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ฉันรู้ดีว่าโอกาสมักเป็นของคนที่เตรียมพร้อม ฉันจึงไม่อาจยอมแพ้ไปง่าย ๆ แบบนี้ นี่คือหนทางเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ตัวเองได้ และยังเป็นก้าวแรกในชีวิตของฉันด้วย ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ผู้อาวุโสหนาน ฉันเข้าใจถึงความกังวลของคุณค่ะ แต่ได้โปรดเชื่อว่าโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานใหม่สำหรับคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สามารถทำให้แสงแห่งศิลปะของคุณเปล่งประกายได้อีกครั้งด้วย อีกทั้งฉันเชื่อว่าโครงการที่คุณกำลังทำอยู่และโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ต้องมีความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง ซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ค่ะ” หลังจากที่ผู้อาวุโสหนานได้ยินดังนั้น แววตาก็ฉายแววความสงสัยขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนคำพูดของฉันจะดึงดูดความสนใจของเขา จนเขาเริ่มพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกครั้ง ฉันรีบฉวยโอกาสกล่าวต่อไปว่า “ผู้อาวุโสหนาน คุณทราบหรือเปล่าคะว่าฉันชื่นชมคุณมาโดยตลอด ผลงานของคุณมอบทั้งแรงบันดาลใจและข้อคิดให้ฉันมากมาย ส่วนโครงการเซาท์เ