ฉันกำลังจะโมโหใส่เขาให้หลีกทาง แต่พอได้ยินคำถามนั้นกลับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอียงคอมองอย่างงุนงงกู้จือโม่โน้มตัวลงจนระดับสายตาเท่ากันกับฉัน “หืม? หึงใช่ไหม?”“ไปให้พ้น!”ฉันทั้งโกรธทั้งเขิน รู้สึกเหมือนเขาจี้จุดเข้าอย่างจัง และในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจเขามากเขาอยากจะทำตัวเป็นผู้ชายแสนอบอุ่นก็ให้เป็นไป แต่ถ้าจะอบอุ่นแบบนี้ก็ช่วยอบอุ่นให้ห่าง ๆ หน่อยเถอะอีกอย่าง เขาเอาโครงการมาแลกกับบ้านกู้เพื่อให้ฉันปล่อยเรื่องที่เฉินเยวี่ยใส่ร้ายฉัน แม้ฉันจะได้ประโยชน์จากมัน แต่ความรู้สึกระหว่างการถูกบังคับกับการเลือกเองมันแตกต่างกันมากหลังจากฉันพูด ‘ไปให้พ้น’ ออกไป กู้จือโม่นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เหมือนจะโดนจี้จุดขำจนหัวเราะไม่หยุดฉันจ้องเขา แต่เขาหัวเราะจนตัวงอ ไม่สามารถยืนตรงได้แต่ไม่นาน เสียงหัวเราะก็หยุดลงทันที เพราะเขาดันไปกระเทือนแผลที่ตัวเอง สีหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดตอนนี้เป็นตาเขาที่เสียหน้า ส่วนฉันกลับยิ้มแย้มด้วยความสะใจฉันยิ้มพลางพูดอย่างเน้นย้ำทีละคำ “สมน้ำหน้า”พอฉันพูดจบ พอดีผู้ดูแลของกู้จือโม่เคาะประตูเข้ามา เห็นเจ้านายของเขานั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบเตียงคนไข้ ทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นมาบังหน้าโดยไม่รู้ตัวฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา และพบว่าลั่วอี้ฝานส่งข้อความมาหลายข้อความตอนดึก: ‘หลับหรือยัง?’: ‘ถ้าตื่นแล้วรีบตอบกลับด้วย!’ฉันอ่านด้วยความสงสัย ก่อนพิมพ์ตอบกลับไปว่า : ‘มีอะไร ทำไมถึงดูร้อนรนแบบนี้’ข้อความถูกส่งออกไป ฉันจึงเข็นรถเข็นเข้าไปในห้องน้ำพร้อมโทรศัพท์ เพื่อเริ่มต้นล้างหน้าแปรงฟันคำตอบกลับมาทันที ราวกับว่าเขานั่งรอฉันอยู่ตลอดเวลา: ‘ฉันเจอตัวคนอยู่เบื้องหลังแล้ว’หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นในทันที ทำงานเร็วจริง ๆฉันวางแปรงสีฟันลง แล้วโทรกลับไปทันที“ใคร?” ฉันถาม น้ำเสียงตึงเครียด ขณะมองเงาสะท้อนในกระจกที่ขมวดคิ้วแน่นในใจฉันก็มีคำตอบอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เฉียวเจี้ยนกั๋ว ก็เหลืออยู่แค่…เสียงลั่วอี้ฝานตอบกลับมา พร้อมชื่อที่ฉันคาดไว้“เธอเดาถูกแล้ว เป็นเฉินเยวี่ย”ลั่วอี้ฝานถอนหายใจ หนักแน่นและเหมือนหมดคำพูด“ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรของเธอ? วัน ๆ ไม่ทำอะไร คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเธอตลอดเนี่ยนะ”"ยังไงก็เพราะกู้จือโม่ใช่ไหม? ยายนี่อยากเข้าหาเขาเอง ทำเรื่องงี่เง่าไปเรื่อยแบบนี้ ลากเธอมาเกี่ยวด้วยทำไม
มองดูเขาในตอนนี้ ก็พลันนึกถึงเรื่องในชีวิตครั้งก่อนคืนหนึ่งฉันมีไข้สูง โทรหากู้จือโม่เท่าไหร่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ คนใช้ในบ้านพยายามจะพาฉันไปโรงพยาบาล แต่ฉันดื้อดึงจะรอให้กู้จือโม่กลับบ้านเองสุดท้ายฉันไข้ขึ้นจนหมดสติ ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลถึงสามวันเต็ม และในสามวันนั้น โทรศัพท์ของกู้จือโม่ก็ปิดเครื่องตลอด ฉันถึงขั้นคิดไปว่าเขาอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแต่ทว่า ฉันกลับบังเอิญเจอเขาที่มุมทางเดินในโรงพยาบาลเขากำลังดูแลเฉินเยว่ด้วยความระมัดระวัง ในขณะที่เฉินเยว่แกล้งออดอ้อนเขาทันทีที่เห็นฉัน “อาโม่ ฉันแค่ข้อเท้าแพลงเอง อยู่โรงพยาบาลมาตั้งสามวันแล้ว บริษัทต้องการนาย นายกลับไปเถอะ”เธอยิ้มอย่างสดใส แต่สายตาของเธอนั้นทิ่มแทงใจฉันตอนนั้นกู้จือโม่พูดว่าอะไรนะ?เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร เรื่องของบริษัทไม่สำคัญเท่าเธอ”สรุปแล้วคือเรื่องของบริษัทไม่สำคัญ หรือว่าฉันไม่สำคัญกันแน่?เมื่อดึงตัวเองกลับมาจากความทรงจำ ความเจ็บปวดในใจก็ยังคงเหมือนเดิมตอนนี้ถึงเวลาต้องเลือกอีกแล้ว“แล้วนายล่ะ กู้จือโม่ นายก็เป็นหนี้บุญคุณเฉินเยว่ด้วยเหรอ?” ฉันพูดด้วยเสียงสั่นสะกดกลั้นความรู้สึก ไม่อยากเผยความอ
ความรู้สึกมึนงงและคลื่นไส้ถาโถมเข้ามาในทันที ฉันจับที่พักแขนของรถเข็นเพื่อประคองตัวเองลุกขึ้น เดินโซเซไปที่ห้องน้ำแม้ว่าจะพยายามอาเจียนแต่กลับไม่มีอะไรออกมา มีเพียงกระเพาะที่หดเกร็งเป็นระลอกมันทรมานมาก ไม่ใช่แค่ร่างกาย ความรู้สึกในใจก็ย่ำแย่ไม่แพ้กันน้ำตาหยดใหญ่ ๆ ไหลลงมาเพราะอาการอาเจียน ฉันยกมือขึ้นปาดออก แล้วเดินออกมาสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป พยาบาลจึงเข้ามาฉีดยาคลายความเครียดให้ ฉันเอนตัวลงบนเตียงโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากู้จือโม่ เอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาหวิวว่า“บอกเขาให้ออกไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา”หลังพูดจบ ฉันหันหน้าหนีไปอีกทาง แค่เห็นเขาอีกครั้งฉันก็รู้สึกขยะแขยงแล้วบางทีอาจเป็นเพราะสีหน้ารังเกียจของฉันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด กู้จือโม่เม้มปากแน่น ท่าทางเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรฉันรู้สึกสมเพช เขารู้ดีว่าการตัดสินใจของเขาจะทำให้ฉันเจ็บปวด แต่เขาก็ยังเลือกทำ แล้วตอนนี้เขาจะมาเสแสร้งทำตัวลำบากใจเพื่ออะไร?“ฉันไม่อยากเห็นเขา! บอกให้เขาออกไปเดี๋ยวนี้!”เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มอารมณ์เสียอีกครั้ง พยาบาลจึงเดินไปบอกกู้จือโม่ว่า “คนไข้ไม่อยากเห็นคุณ หากคุณอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะก
เมืองอวิ๋นเฉิง บ้านตระกูลกู้กู้จือโม่ผู้มีร่างกายผอมบางยืนอยู่ตรงหน้ากู้เซิ่งเหยียน บรรยากาศระหว่างปู่หลานเต็มไปด้วยความตึงเครียดและดุดัน“คุณปู่ ปกป้องเฉินเยวี่ยแบบนี้เท่ากับสนับสนุนการกระทำของเธอนะครับ” กู้จือโม่พูดด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาจ้องมองกู้เซิ่งเหยียนผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยอำนาจ “เธอไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิงไร้เดียงสาและน่าสงสารเหมือนที่เคยคิดอีกแล้วนะครับ!”“ครั้งก่อนเธอจ้างคนสร้างข่าวเสียหายให้กับเฉียวซิงลั่ว จนเกือบทำลายชื่อเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง”“ตอนนั้นปู่บอกว่าเธอยังเด็ก ยังไม่รู้ผลของการกระทำ ให้ผมไปช่วยเธอ ผมก็ทำตามแล้ว แต่ผลลัพธ์เป็นยังไงล่ะครับ?”“ตอนนี้เธอถึงขั้นจ้างคนมาลักพาตัวเฉียวซิงลั่ว และสั่งให้คนพวกนั้นถ่ายรูปอนาจารและทำร้ายเธอด้วย”“ยังคิดว่าเธอไม่รู้เรื่องอยู่หรือเปล่าครับ?”คำพูดของกู้จือโม่จบลง กู้เซิ่งเหยียนยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองกู้จือโม่นิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสี่ยวเยวี่ยไม่ได้มีจิตใจชั่วร้าย แกก็รู้ดีว่าเธอทำแบบนี้เพราะใส่ใจแก”“ส่วนเฉียวซิงลั่ว...” เขาหยุดพูดไปครู่ห
ยามรุ่งสางฉันฟังเสียงฝีเท้าข้างนอกที่เริ่มเบาบางลงเรื่อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาเปลี่ยนสิบกว่านาทีต่อมา เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นฉันเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูแง้มออก ก็พบกับสายตาของลั่วอี้ฝานที่เต็มไปด้วยความเย้าแหย่ “เป็นไงล่ะ? ถึงเวลาสำคัญก็ต้องพึ่งฉันอยู่ดีใช่ไหม?”ฉันชำเลืองมองรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ลดเสียงลงต่ำถามเขาว่า “แล้วบอดี้การ์ดล่ะ?”“เรียบร้อย”ลั่วอี้ฝานยกมือทำท่าปาดคอ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ฉันกลอกตาอย่างอดไม่ได้ ดึงหมวกลงปิดหน้าให้ต่ำที่สุดแล้วรีบเดินออกไป “นายน่ะเหรอ?” “ทำไม? ไม่เชื่อหรือไง?” ลั่วอี้ฝานพูดพลางเดินตามฉัน ปากก็ยังไม่หยุดบ่น แต่ฝีเท้าก็ไวใช่ย่อย “เฮ้อ...สมัยก่อนฉันเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวนะ บอดี้การ์ดตัวเบ้อเริ่มนั่น ฉันจัดการได้สองคนสบาย ๆ...”เดินมาถึงมุมบันได ฉันหยุดนิ่ง เมื่อมองไปเห็นบอดี้การ์ดคนนั้นตอนนี้พยาบาลที่เข้าเวรในโรงพยาบาลกำลังอยู่ที่เคาน์เตอร์พยาบาล และยังไม่มีใครสังเกตเห็นฉันเดินเข้าไปใกล้บอดี้การ์ด ตรวจสอบลมหายใจของเขาอย่างระมัดระวัง ยังมีชีวิตอยู่ฉันตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แล้วถอนหายใจ
ในที่สุด เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งก็เดินออกมา เธอเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเป็นมาตรฐานสำหรับงานบริการของเธอ“สวัสดีค่ะ มีเรื่องอะไรสามารถเข้าไปพูดข้างในได้เลยนะคะ” เธอพูดพร้อมชี้ไปยังห้องชุดที่อยู่ด้านในฉันหันไปสบตากับลั่วอี้ฝาน แล้วยิ้มให้เขาเหมือนต้องการบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วง’ จากนั้นจึงเดินตามเจ้าหน้าที่หญิงเข้าไปภายในห้องสอบสวน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชายสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามฉัน หนึ่งในนั้นยื่นแก้วน้ำมาให้ “คุณไม่ต้องรีบร้อนนะ ค่อย ๆ พูดก็ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพจนถึงตอนนี้ ฉันถึงได้รู้สึกว่า ตัวเองปลอดภัยแล้วจริง ๆฉันหันมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจนชวนให้ขนลุก“เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนจ้างวานให้คนมาลักพาตัวฉัน พร้อมทั้งพยายามจะข่มขืนและถ่ายภาพเปลือยของฉันเอาไว้ ตอนนั้นได้มีการแจ้งความไปแล้ว คุณน่าจะมีบันทึกคดีอยู่”“แต่คราวนี้ไม่ต้องสืบสวนอะไรอีกแล้ว ฉันตามเจอคนร้ายเอง และฉันมีหลักฐานชัดเจน”พูดจบ ฉันก็ยื่นโทรศัพท์ส่งไปให้เจ้าหน้าที่“เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่ง ชื่อเฉินเยวี่ย เป็นคนจ้างวานพวกคนร้าย ถ้าวันนั้นตำรวจไปช้ากว่าน
ยังไม่ทันวิ่งไปได้กี่ก้าว เธอก็ถูกตำรวจที่รออยู่ด้านนอกกดลงกับพื้นทันที"วิ่งหนีทำไม? คิดว่าจะหนีรอดเหรอ?"เฉินเยวี่ยเงยหน้าขึ้น สีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา"คุณตำรวจ คุณจับผิดคนหรือเปล่า? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!""จับเธอนี่แหละ!" ตำรวจพูดพลางล็อกกุญแจมือที่ข้อมือของเฉินเยวี่ยอย่างคล่องแคล่วบรรยากาศในห้องเรียนที่เคยเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบดังขึ้นอีก"โห จริงเหรอ? มาจับเฉินเยวี่ยเลยเหรอ? เธอไปทำอะไรเข้าเนี่ย?""ฉันว่าแล้วว่าเธอไม่น่าใช่คนดีหรอก ครั้งก่อนก็ใส่ร้ายเฉียวซิงลั่วว่าเป็นขโมย แต่สุดท้ายโดนแฉกลับหน้าแหกไปเลย""ได้ยินมาว่าเธอมีเส้นสายใหญ่มาก ครั้งก่อนเรื่องก็วุ่นวายขนาดนั้น แต่เธอไม่เป็นอะไรเลย"เฉินเยวี่ยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลิงในกรงที่โดนคนมอง เธออับอายจนใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหูแต่ตำรวจที่มาจับตัวกลับไม่ไว้หน้าเธอเลยหัวหน้าทีมสืบสวนที่มาด้วยหยิบตราตำรวจขึ้นมาแสดง พร้อมกับกระชากเธอขึ้นอย่างไม่ปรานี"ฉันคือหัวหน้าทีมสืบสวนคดีอาญาแห่งสถานีตำรวจปักกิ่ง เธอต้องสงสัยว่าเป็นผู้จ้างวานลักพาตัวและทำร้ายร่างกาย มีหลักฐานชัดเจน ตอนนี้เราจะจับเธอ!"เสียงซุบซิบในห้องเรียนยิ่งดังกระหึ
มองส่งชายคนนั้นจากไป ฉันยืนอยู่ท่ามกลางสายลมเย็น สายลมอันหนาวเหน็บพัดผ่าน ฉันกระชับเสื้อคลุมบางเบาให้แนบตัว แสงไฟข้างทางที่ริบหรี่สลับสว่างส่งแสงสีส้มทอดลงบนตัวฉัน ฉันก้าวเดินช้า ๆ ท่ามกลางสายลมเย็นในรองเท้าส้นสูง แสงไฟถนนสีส้มสะท้อนให้เห็นเงาหลังที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างของฉัน ระยะทางไม่ไกลนัก ฉันเดินกลับถึงบ้านแล้วถอดรองเท้าที่กัดเท้าทิ้งไว้บนพื้น เท้าที่ปวดหนึบค่อย ๆ ก้าวไปบนพรมขนแกะ รอยเลือดจาง ๆ ประหนึ่งดอกเหมยที่ประทับลงบนพรม ฉันหยิบแอลกอฮอล์และสำลีก้านมา ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาดบาดแผล ฉันกัดฟันอดทนกับความเจ็บ ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หลังจากทำความสะอาดเสร็จ เปลือกตาหนักอึ้งจนฉันฝืนต่อไปไม่ไหว สุดท้ายจึงค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ ในความฝัน ฉันรู้สึกถึงไออุ่นอันแผ่วเบา ราวกับบ่ายแก่ในสวนที่แสงแดดอ่อนโยนสาดส่องลงบนร่างกาย เงาร่างเลือนรางค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน เห็นเพียงคุณย่าหลังค่อมยิ้มแย้มเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้า ๆ “คุณย่า! คุณย่า!” ฉันร้องไห้จนใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา วิ่งตรงไปหาคุณย่า ฉันอยากอยู่กับคุณย่ามากแค่ไหนกัน! ฉันอยากย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ไร
สายตาที่จริงจังจ้องฉันเขม็ง ฉันสัมผัสได้ถึงความดื้อรั้นและท่าทางที่ครอบงำของเขา จึงแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “รัก? นายรู้เหรอว่าความรักคืออะไร?” เขาพูดอยู่ตลอดว่ารักฉัน แต่กลับไม่เคยทำอะไรเลย บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีของฉันที่เด็ดขาดเกินไป ทำให้ในสายตาของเขามีแววความกังวลเจืออยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะคาดไม่ถึงว่าฉันจะพูดแบบนี้ และไม่คิดว่าฉันจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาอย่างชัดเจน หลังจากดื่มไปไม่น้อย ฉันก็รู้สึกได้ว่ากระเพาะของตัวเองเริ่มมีอาการแสบร้อน แต่การจะยืนหยัดในสังคมและสร้างพื้นที่ของตัวเองให้ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น ฉันเม้มริมฝีปาก พยายามฝืนยืนตัวตรงอย่างมั่นคง เงยหน้ามองเขาอย่างไม่ยอมก้มหัวและไม่หยิ่งผยอง ดูเหมือนว่าในชาติก่อนก็ไม่ต่างจากตอนนี้เลย ฉันเอาแต่เงยหน้ามองเขาอยู่ตลอด ฉันก็เหมือนต้นไม้ที่หยั่งรากอยู่ในโคลนตม เงยหน้าขึ้นมองกู้จือโม่ที่อยู่บนเมฆอันบริสุทธิ์ไร้ที่ติ “ฉันรักเธอจริง ๆ ความรู้สึกระหว่างเรากับเฉินเยวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย ฉันมองผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น” เขาขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะมีความรู้สึกต่อต้านเฉินเยวี่ยอยู่เล
ตระกูลเฉียวในตอนนั้นพยายามจะผูกมัดฉันไว้ ราวกับว่าความรุ่งเรืองหรือความล่มจมของเราต้องไปด้วยกัน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมาตลอดไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการก็แค่เหยียบย่ำบนตัวฉัน คอยดูดซับพลังและประโยชน์จากฉันเรื่อยไปเท่านั้น และเขารู้ดีถึงสถานการณ์ของฉัน แต่กลับให้โอกาสพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่ฉันพลิกสถานการณ์ด้วยความพยายามของตัวเองจนกลายเป็นที่สองได้ ฉันก็รู้แล้วว่าการเอาชนะที่หนึ่งนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันสามารถเป็นที่สองที่ไม่มีใครเหมือนได้ “คุณกู้ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เราสองคนก็ยังคงอยู่กันคนละโลก คุณสามารถมีอนาคตที่ดีกับคุณเฉินได้ แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไป คดีที่มีหลักฐานชัดเจนกลับถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ นั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าตระกูลกู้ของพวกคุณอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ในเมื่อพวกคุณแยกแยะถูกผิดไม่ได้ ฉันจะทำให้โลกสีเทานี้มีสีสันเอง” ฉันรู้ว่าตอนนี้คำพูดที่ฉันเอ่ยออกมานั้นฟังดูเหมือนคำประกาศที่ยิ่งใหญ่เกินตัว แต่สักวันหนึ่งฉันจะพยายามจนได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด และทำให้ทุกคนรู้ถึงความสามารถของฉัน ที่จริงแล้วฉันก็แค่ต้องการความยุติธรรมเท
บีบบังคับผู้หญิงให้ลงน้ำแล้วค่อยช่วยให้ขึ้นฝั่งใหม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนพวกนี้ถนัดที่สุดหรอกเหรอ? แต่เขาพูดแบบนี้ ไม่เหมือนกับเศรษฐีใหญ่ที่กำลังไล่ขอทานไปหรืออย่างไร คิดจะตัดฉันออกไปให้พ้นทางเหรอ? “นายรู้อยู่แล้วว่าฉันถูกบีบบังคับ แต่นายกลับเลือกที่จะช่วยตระกูลเฉียว เป้าหมายของนายก็เพื่อทำให้ฉันกลายเป็นหุ่นเชิดแบบนั้นใช่ไหม? นายคิดจะทำอะไรกันแน่ แค่กระดิกนิ้วฉันก็ต้องวิ่งเข้าหานายงั้นเหรอ? นายคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร ของเล่น? ทาสรับใช้? หรือนายคิดว่าฉันไม่มีศักดิ์ศรี สามารถเหยียบย่ำฉันได้ตลอดไปงั้นเหรอ?” ตอนนั้นเขารู้ดีว่าฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยฉันเลย แถมยังคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นผลจากการกระทำของฉันเองด้วย แม้สุดท้ายจะรู้ว่าใครคือฆาตกร เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรกับฉัน เอาแต่บอกว่าจะช่วยฉันเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาคือทุกอย่างกลับเงียบหายไป ทั้ง ๆ ที่คดีนี้มีหลักฐานชัดเจนแต่กลับถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ทั้งตระกูลกู้ติดค้างฉันไม่น้อยเลยว่าไหม? “ฉันไม่เคยคิดจะล้อเล่นกับเธอ หรือดูถูกเธอเลย เพียงแต่บางเรื่องฉันทำไม่ได้จริง ๆ ฉันหวังว่าเธอ
การไม่รบกวนเขา คือสิ่งที่ฉันสามารถทำได้มากที่สุด เมื่อฉันก้าวเข้าไปในโรงแรมด้วยชุดเดรสยาวสีฟ้าน้ำทะเล สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาที่ฉันในทันที บางทีสำหรับฉันในตอนนี้ ความอ่อนเยาว์และความงามอาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด คนจำนวนมากมักจะมองแต่เปลือกนอกของผู้อื่นอย่างผิวเผิน หากแม้แต่ความตั้งใจที่จะทำความเข้าใจยังไม่มี แล้วโอกาสที่จะพัฒนาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? โชคดีที่ตอนนี้ฉันมีทุกอย่างแล้ว ใบหน้าที่ซีดเซียวในอดีตหายไปแล้ว แต่สิ่งที่ได้มาคือร่างกายที่สดใหม่ อ่อนเยาว์ และงดงามกว่าเดิม เมื่อฉันไปร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง มองดูอาหารอันโอชะบนโต๊ะและกลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใจฉันก็พอจะเข้าใจแล้วว่างานเลี้ยงคืนนี้มีความหมายว่าอย่างไรไม่ใช่เงินทุกก้อนที่จะหามาได้ง่าย ๆ บางก้อนนั้นต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อแสดงถึงความจริงใจของตัวเอง และเพื่อให้โดดเด่นท่ามกลางคนเหล่านี้ ฉันยกแก้วขึ้นกล่าวคำเชิญดื่มก่อนเป็นคนแรก จากนั้นก็แสดงเจตจำนงของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาและมั่นใจ คนเหล่านี้ก็ดูจะคอแข็งกันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะเก่งเรื่องงานสังคม พอดื่มไปได้สักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย
เดิมทีอากาศค่อนข้างแจ่มใส แต่ตอนนี้กลับมีฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายยิ่งขึ้น และยังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาในใจ โชคดีที่ไม่นานฉันก็กลับถึงบ้าน และพอถึงบ้าน ฉันรีบลงไปแช่น้ำร้อนในอ่างทันที ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปล่อยวางทุกอย่าง ทำให้จิตใจของตัวเองค่อย ๆ กลับมาสงบอีกครั้ง อย่าให้เรื่องใดมาส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของฉัน และอย่าให้ความรู้สึกใด ๆ มาควบคุมเส้นทางชีวิตของฉัน ชาติที่แล้วฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจ แถมยังทำให้ฉันรู้สึกขำตัวเอง เพราะการทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดไปกับความรักนั้น สุดท้ายก็แค่ทำให้ตัวเองยิ่งลำบากและน่าสมเพชมากขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้ ฉันมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้หรือไม่ เมื่อฉันยืนอยู่ในห้องมืด ๆ สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ มองลงไปข้างล่างผ่านหน้าต่าง ฝนที่เทกระหน่ำภายใต้แสงไฟถนนกลับดูงดงามอย่างน่าเศร้าใจ พาให้ความคิดของฉันย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นค่ำคืนฝนตกที่เย็นชาและเงียบงันไม่ต่างกัน วันนั้นฉันสวมเสื้อโค้ตผ้าขนสั
เขาเป็นพ่อของฉันจริง ๆ ซึ่งฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อนี้ได้ แต่เขากลับต้องการขายลูกสาวเพื่อไต่เต้า แถมยังมองฉันเป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ตามใจอีก เขามีลูกสาวสองคน แต่ชีวิตของเราสองคนกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวกับว่าฉันเป็นเพียงรองเท้าคู่หนึ่งที่ใครก็สามารถหยิบไปใส่ได้ เขาไม่เคยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับฉันเลย บางทีอาจเป็นเพราะฉันคาดหวังในความสัมพันธ์นี้มากเกินไป หรือเพราะฉันต้องการความรักจากครอบครัวที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จึงผลักดันตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงทางตัน “ตอนนั้นตระกูลเฉียวได้รับผลประโยชน์จากฉันไปไม่น้อย ฉันก็หวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ แต่ภายหลังก็เพิ่งเข้าใจว่า เรื่องดี ๆ จะมีมากมายขนาดนั้นได้ยังไงกัน?” บางทีอาจมีเพียงในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้นที่ฉันจะพูดอะไรออกมาได้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะช่วยให้ฉันสงบลงได้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเรื่องตลกที่น่าขัน ทำได้เพียงบอกความในใจที่ไม่กล้าพูดออกไปให้คนข้าง ๆ ฟัง เขาเพียงรับฟังอย่างเงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ซื่อสัตย์ที่สุด ส่วนฉันในตอนนั้นก็ได้แต่ครุ่นคิดทุกสิ่งเงียบ ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ระบายความเจ็บปวดในใจออก
ผู้อาวุโสหนานเผยรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ท่าทีที่มองฉันก็แฝงไว้ด้วยความภูมิใจเล็กน้อย ฉันรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก แต่การจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของฉันเองล้วน ๆ “สาวน้อยเฉียว เธออย่าเพิ่งดีใจไป ฉันอยากแนะนำเขาให้เธอก็จริง แต่เขานิสัยประหลาดกว่าฉันอีกนะ จะทำให้เขายอมรับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ผู้อาวุโสหนานรีบพูดขัดทันที ทำให้ฉันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าตอนที่ฉันกำลังตกอยู่ในวิกฤต ฉันคว้าไว้ได้เพียงฟางเส้นสุดท้าย แต่กลับพบว่าฟางเส้นนี้ช่วยอะไรฉันไม่ได้เลย “แต่ด้วยความสามารถของเธอ ฉันเชื่อว่าเธอจัดการได้แน่นอน” ความกดดันถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาล จนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มลง และในชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ทุกสิ่งในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย การจะดำเนินไปตามเส้นทางในชาติที่แล้วนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน แต่ข้อมูลที่ฉันมีอยู่มากพอที่จะทำให้ฉันคว้าความได้เปรียบล่วงหน้ามื้อนี้เป็นมื้อที่น่าพึงพอใจ แม้จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ก็ได้พบกับวิธีแก้ไขใหม่ ๆ แทน เม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรตลอดทางกลับบ้าน นั่งอยู่
เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ฉันรู้สึกผิดหวังทันที แต่ก็รีบรวบรวมกำลังใจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ฉันรู้ดีว่าโอกาสมักเป็นของคนที่เตรียมพร้อม ฉันจึงไม่อาจยอมแพ้ไปง่าย ๆ แบบนี้ นี่คือหนทางเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ตัวเองได้ และยังเป็นก้าวแรกในชีวิตของฉันด้วย ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ผู้อาวุโสหนาน ฉันเข้าใจถึงความกังวลของคุณค่ะ แต่ได้โปรดเชื่อว่าโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานใหม่สำหรับคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สามารถทำให้แสงแห่งศิลปะของคุณเปล่งประกายได้อีกครั้งด้วย อีกทั้งฉันเชื่อว่าโครงการที่คุณกำลังทำอยู่และโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ต้องมีความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง ซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ค่ะ” หลังจากที่ผู้อาวุโสหนานได้ยินดังนั้น แววตาก็ฉายแววความสงสัยขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนคำพูดของฉันจะดึงดูดความสนใจของเขา จนเขาเริ่มพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกครั้ง ฉันรีบฉวยโอกาสกล่าวต่อไปว่า “ผู้อาวุโสหนาน คุณทราบหรือเปล่าคะว่าฉันชื่นชมคุณมาโดยตลอด ผลงานของคุณมอบทั้งแรงบันดาลใจและข้อคิดให้ฉันมากมาย ส่วนโครงการเซาท์เ