สิบวันถัดมา / จวนสกุลลี่สกุลลี่จัดงานอย่างยิ่งใหญ่กับฤกษ์งานมงคลในวันนี้ พิธีสมรสของบุตรสาวคนเดียวอย่างลี่จินเซียนที่จะได้อภิเษกเข้าจวนอ๋อง วันนี้เล่อชุนหลันและจวินซานหรงเองก็ได้มาร่วมพิธีมงคลในครั้งนี้ด้วย“พิธียิ่งใหญ่ดีจริง ๆ”“นั่นสิ ดูเหมือนว่าสกุลลี่ทุ่มเงินไปไม่น้อยเลย”เล่อชุนหลันนึกย้อนไปถึงตัวเองเมื่อชาติก่อน ในครั้งนั้นนางเป็นผู้ดูแลทุกอย่างเองตั้งแต่แรกไม่ต่างกับที่ลี่จินเซียนทำในครั้งนี้ เพราะความรักที่ทุ่มให้ท่านอ๋องสุดชีวิตโดยคิดว่าวันที่ได้อภิเษกจะเป็นวันที่นางมีความสุขที่สุดในชีวิตจนกระทั่ง…“ใต้เท้าลี่ ท่านอ๋องส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวขอรับ”“เอ๊ะ… แล้วเหตุใดท่านอ๋องไม่เสด็จมาหรอกหรือ”“เกี้ยวเจ้าสาวรออยู่หน้าจวนแล้ว”ลี่จางหย่งทำสีหน้าพะอืดพะอมเต็มทีแต่ก็ได้เพียงแค่ฝืนยิ้มให้กับทหารองครักษ์ที่เดินเข้ามาแจ้งเท่านั้น ราวกับภาพหมุนย้อนกลับเพียงแต่ครั้งนี้มิใช่เสนาบดีเล่อแต่กลับเป็นเล่อจางหย่งที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อรู้ว่าท่านอ๋องมิได้มารับเจ้าสาวด้วยพระองค์เอง“ไม่ต่างไปจากเดิมเลย”จวินซานหรงเพียงแค่หันมามองนางเงียบ ๆ โดยแค่ลอบสังเกตการณ์เท่านั้น พักหลังเขาเรียน
ประตูหลังจวนท่านอ๋อง “อะไรนะ หมายความว่าอย่างไรที่ให้ข้าเดินเข้าไปเองโดยไม่ให้นั่งเกี้ยว”“สนมลี่ ระเบียบในวังหลวงมีเพียงพระชายาเอกเท่านั้นจึงมีสิทธิ์นั่งเกี้ยวเข้าไป ท่านเป็นเพียงสนมดังนั้น เชิญเดินข้ามประตูไปเข้ามาได้แล้ว หากเลยฤกษ์ไปจะไม่ดี”“เจ้า… พวกเจ้า…เป็นเพียงสาวใช้เหตุใดจึงได้กล้าสั่งข้า!!”“สนมลี่จะเข้ามาหรือไม่ หากเลยฤกษ์ไปแล้วประตูนี้จะปิดทันที”“ท่านอ๋องเล่าอยู่ที่ใด แล้วข้าจะต้องไปทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ไหน”“ไม่มีพิธีที่ว่านั้นหรอกเจ้าค่ะท่านเป็นเพียงสนมไม่จำเป็นต้องทำพิธี แค่รับเข้าวังหลังก็เป็นอันเสร็จพิธี เชิญ”ลี่จินเซียนกำหมัดแน่น สายตาแข็งกร้าวมองดูกงนู่[1]ที่ยืนเฝ้าประตูท่าทางเย่อหยิ่งเพราะเป็นนางข้าหลวงอาวุโสสองคน สายตาที่มองนางก็มิได้ยอมรับนางในฐานะพระสนมเลยสักนิด ลี่จินเซียนจำเป็นต้องยอมเดินลัดกระถางไฟข้ามธรณีประตูเพื่อเข้าไปในจวนในที่สุดด้วยความขมขื่นและโกรธทุกคนที่นางพบเห็น“คอยดูเถอะ ข้าจะไม่มีทางหยุดเพียงตำแหน่งต่ำต้อยเช่นนี้แน่ ท่านอ๋องไม่เพียงไปรับเจ้าสาวแต่นี่กลับไม่เข้าพิธีแม้แต่ห้องส่งตัวก็ยังไม่เข้ามา ท่านทำกับข้าเกินไปแล้ว” ห้าวันถัดมาเหตุการณ์
“เหตุใดท่านดูกังวลใจเช่นนี้ท่านจะบอกอะไรข้างั้นหรือเจ้าคะ”“เพราะการเจรจาที่ไม่คืบหน้านั่น ข้าจึงต้องเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อขอกำลังเสริม เผื่อว่าเราอาจจะต้องทำสงคราม”เพียงแค่คำที่เขาพูดออกมานางก็นิ่งไปทันที มิใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ว่าในความทรงจำของนางไม่มีชื่อของ “จวินซานหรง” ปรากฏมาก่อนแม้กระทั่งชื่อและเหตุการณ์ในเหลียงโจวที่มีเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งก่อนออกศึกและหลังจากสิ้นศึก นางไม่รู้เลยว่าเขารอดชีวิตกลับมาหรือไม่“ท่านบอกว่าอะไรนะ ท่าน…”“อาหลันเจ้าใจเย็น ๆ ก่อนนะ ข้าไม่ได้อยากจะทำให้เจ้าตกใจแต่ว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องที่วางแผนเอาไว้”“ท่านบอกว่าจะต้องเดินทางไปเมืองหลวง ไปเมื่อไหร่แล้วจะไปนานแค่ไหน”“ข้ารับคำสั่งให้ไปขอกำลังเสริมจากกองทัพหลวงเพื่อลงมาช่วยที่ชายแดนตะวันออกแต่เจ้าไม่ต้องห่วงนะเพราะว่าข้าดูแลตัวเองได้”“เช่นนั้น ให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้า…(รู้เหตุการณ์ในศึกเมืองชุ่น) ข้าขี่ม้ายิงธนูได้ ท่านเพียรสอนจนเก่งและเริ่มชำนาญขึ้นมากแล้วซานหรง”“ไม่ได้ อาหลันในสนามรบจริงมันอันตรายมากและหากมีเจ้าอยู่ด้วยข้าจะไม่มีสมาธิเพราะต้องคอยพะวง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถอะนะข้
“ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารับปากท่านว่าจะรอท่านที่นี่”“อาหลันเจ้าต้องไม่ลืมคำพูดของเจ้าให้ดี กลับจากศึกครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปไหนอีกแล้ว”เขาดึงนางมากอดเอาไว้แน่น พร้อมกับซุกไซ้ไปทั่วแก้มของนางและเริ่มจูบนาง ชุนหลันตอบรับเขาทันที ป้ายหยกที่ถือเอาไว้ถูกยัดใส่ในปกเสื้อของนาง“อาหลันข้าไปไม่นานจะรีบกลับมาหาเจ้า รอข้านะ"“เจ้าค่ะ ข้าจะรอท่าน”แม้ว่าจะห้ามเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้แต่ในหัวใจของเล่อชุนหลันก็ยังอบอุ่นด้วยความรักของจวินซานหรง เขาเป็นคนที่นางเลือกในชาตินี้และหวังว่านางจะไว้ใจคนไม่ผิด ดังนั้นนางตั้งใจแล้วว่าจะรอเขาอยู่ที่นี่รอวันที่เขากลับมาห้องทรงงาน “พี่สามท่านเชื่อที่นางพูดงั้นหรือ”“ข้าเชื่อที่นางพูดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย น้องแปดเจ้าฟังข้าพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยดูเหมือนว่าเจ้าเองก็จะเชื่อเหมือนกันสินะว่าเล่อชุนหลันคนนี้ไม่ใช่สตรีธรรมดา”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าสังเกตนางมาตั้งแต่งานเลี้ยงในวังและเรื่องที่นางทำร้ายลี่จินเซียนครั้งก่อน แม้ว่าพวกนางจะเคยมีเรื่องกันมามากขนาดไหนแต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นลงมือรุนแรงเหมือนกับแค้นกันมาข้ามภพข้ามชาติอย่างที่นางทำ เพียงแต่ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทำถึ
“อะไรนะ”“ไม่ใช่ดูแลเช่นนั้นก็แค่ช่วยคุ้มกันสกุลเล่อช่วงที่ข้าไม่อยู่ แน่นอนว่ามีคนของข้าเฝ้าคุ้มกันด้วยแต่ว่าข้าก็ยังไม่ไว้ใจ สถานการณ์ในตอนนี้หากพวกมันสืบจนรู้ว่านางคือคู่หมั้นของข้า เกรงว่านางจะมีอันตราย”เป็นคำขอที่ทำให้หยางอี้เหรินรู้สึกบีบหัวใจยิ่งนัก เขากลัวเหลือเกินว่าจะเผลอคิดไม่ดีกับคู่หมั้นของพี่ชายแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะเคยมีข่าวว่านางชื่นชมเขามากเพียงใดก็ตาม “น้องแปด เจ้าเป็นอะไรไปทำไมนิ่งไปเช่นนี้เล่า”“เอ่อ ข้า.. เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ข้ารับปากท่านว่าจะดูแลนางให้ จริงสิพี่สามท่านก็น่าจะพานางมาดื่มชากับเราที่นี่บ้างนะ อีกไม่นานก็จะเป็นญาติกันแล้วดังนั้น..”“ได้สิ เอาไว้ข้าจะชวนนางมาก็แล้วกัน”“อืม ก่อนท่านกลับเมืองหลวงคิดว่าคงจะมีเวลาทำความรู้จักนางสักหน่อย”“เอาไว้ข้าจะรีบบอกเวลาเจ้าอีกครั้ง”สองวันถัดมา ข่าวว่าเล่อชุนหลันเข้าวังมาเพื่อเข้าเฝ้าท่านอ๋องรู้ถึงหูของลี่จินเซียน และแน่นอนว่านางไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่แต่ว่านางก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งท่านอ๋อง นางยังจดจำแผลจากการถูกโบยและความทรมานในการเดินขึ้นลงเจดีย์ชั้นที่เจ็ดที่วังเวงนั่น ท่านอ๋องลงโทษนางอยู่เจ็ดวันเต็ม ๆ แต่อย่างไรวันน
“ข้า!!”“เจ้าคงนึกสมน้ำหน้าข้าสินะที่ข้ายอมเลือกเดินเส้นทางนี้ สตรีอันดับหนึ่ง หึหึ ข้าพึ่งจะมารู้ในวันแต่งงานว่าเขารับข้าเป็นเพียงพระสนมมิใช่พระชายาเจ้าคงคิดว่าข้าโง่มากสินะ ใช่หรือไม่เล่อชุนหลัน เจ้าถึงให้ข้ามาอยู่จนเป็นเช่นนี้ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้า เพราะเจ้า!!”“ลี่จินเซียน พอทีเจ้าหยุดได้แล้ว ช่วยด้วย ลี่…”“หยุดนะ!! พานางออกไป”ท่านอ๋องและจวินซานหรงรีบวิ่งเข้ามา เสิ่นกงและเสิ่นปารีบดึงตัวลี่จินเซียนออกมา ท่านอ๋องและซานหรงดึงชุนหลันเอาไว้ พวกเขาจับนางขนาบสองข้างเมื่อลี่จินเซียนเห็นก็เริ่มกรีดร้อง“กรี๊ด!! ท่านอ๋องท่านกำลังทำอะไร ท่านจับสตรีอื่นต่อหน้าข้าท่านหยามข้าท่าน…”“พานางกลับไปขังไว้ที่ตำหนักแล้วอย่าให้ออกมา กักบริเวณนางหากไม่สงบก็ส่งนางกลับไปสกุลลี่ ข้าเกินจะทนกับนางแล้ว”“ไม่นะท่านอ๋อง ท่านจะต้องเสียใจที่ทำเช่นนี้ท่านมันไร้หัวใจ โหดเหี้ยมเย็นชา”คำพูดของลี่จินเซียนไม่ต่างกับคำที่นางใช้เมื่อชาติก่อน เมื่อได้ยินอีกครั้งชุนหลันก็เริ่มทนไม่ไหว นางทรุดลงและซานหรงกับอี้เหรินจึงรีบพยุงนางเอาไว้คนละข้าง"เล่อชุนหลัน"“อาหลัน”“ซานหรง”หยางอี้เหรินได้สติเมื่อนางเรียกชื่อของซานหรง
“ยาพิษงั้นหรือ เป็นยาชนิดใดกัน”“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนคนร้ายมิได้ตั้งใจจะทำร้ายทีเดียว อาการจึงยังไม่ออกมาให้เห็นมากเพียงแต่ว่าหากรับพิษไปนาน ๆ เข้า อาจจะมีผลร้ายถึงชีวิต”“ท่านหมอ เรื่องนี้อย่าพึ่งไปบอกใครข้าจะสั่งให้คนตรวจสอบก่อนแล้วค่อยไปปรึกษาท่าน”“ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”"จางหลิงเจ้าไปส่งท่านหมอ"“ขอรับ ท่านหมอเชิญทางนี้”หมอหลวงเดินออกไปแล้วจวินซานหรงจึงรีบเดินกลับเข้าไปในห้องที่ท่านอ๋องนอนอยู่ หยางอี้เหรินค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง สีหน้าของเขาเริ่มมีอาการอิดโรยให้เห็นแม้ว่าจะไม่มากแต่ก็ทำให้คนที่ใกล้ชิดอย่างซานหรงผิดสังเกตได้“อี้เหรินเจ้าถูกพิษ เจ้ารู้ดีแต่กลับไม่พูด”“ร่างกายข้าทนพิษมาได้เกือบทุกชนิด ข้ารับมือได้อยู่แล้ว”“เป็นฝีมือผู้ใดกัน”“มันก็มีอยู่ไม่กี่คนที่น่าสงสัย”“เจ้าจะปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ อีกไม่นานจะต้องคุมกองทัพแล้วหากว่าเราจัดการยับยั้งสถานการณ์ไม่ได้ ตอนนี้เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีข้าจะสั่งให้คนที่ตำหนักคอยตรวจให้แน่นหนา”“พี่สาม ท่านจะกลับเมืองหลวงจริงหรือ ที่จริงข้าคิดว่าเพียงแค่กองทัพของเหลียงโจวและทัพบูรพาก็น่าจะเพียงพอแล้ว”“เจ้าคิดว่าอย่าง
ชุนหลันหันมาพยักหน้าให้กับซานหรง ทั้งคู่นั่งลงตามคำเชิญของนักบวชหนุ่ม ท่าทางที่สงบน่านับถือของเขาทำให้ซานหรงนึกเลื่อมใสแต่ก็ยังติดใจกับคำพูดทักทายเมื่อครู่ของเขาอยู่ไม่น้อย บทสนทนาเริ่มขึ้นหลังจากที่ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะกลม“ใต้ซือทราบว่าข้าจะมาจริง ๆ ด้วยสินะเจ้าคะ”“แม้ว่าจะใกล้ฤดูวสันต์แล้วแต่วันนี้ตะวันกลับคล้อยเคลื่อนลับขอบฟ้าช้ากว่าทุกวันนั่นแสดงว่าเกิดเรื่องขึ้น ว่ามาเถอะมีสิ่งใดที่อยากให้อาตมาช่วยเหลือ”“ใต้ซือมองเพียงท้องฟ้าก็รู้ได้เลยหรือว่าพวกเราจะมาพบท่านที่นี่”“ใต้ซืออู๋หยวน” เพียงแค่หันมามองใบหน้าบุรุษหนุ่มและนิ่งไปเพียงครู่เดียวก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา“ทุกคนล้วนมีความลับ ประสกว่าธุระมาดีกว่าหากยิ่งปล่อยนาน อาจจะไม่เป็นผลดีกับคนที่พวกท่านอยากจะช่วยเหลือ”“ใต้ซือ ท่านอ๋องถูกพิษหญ้าฝันเลื่อนลอย พวกเรามาที่นี่เพื่อมาขอให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ”ใต้ซื้ออู๋หยวนฟังจบแล้วนิ่งไป เขาค่อย ๆ หลับตาและนับประคำบนนิ้วมือ จวินซานหรงที่ร้อนใจกำลังจะพูดบางอย่างแต่ชุนหลันจับมือของเขาเอาไว้และส่ายหน้าให้เล็กน้อย ไม่นานใต้ซือก็ลืมตาขึ้น“ก่อกรรมไม่จบไม่สิ้นครั้งนี้คงถึงเวลาแล้ว พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน
“เจ้าคนบ้าจวินซานหรง ท่านออกไปเลย”“แต่ว่าท้องของเจ้า...ไม่ปวดแล้วงั้นหรือ”“โอ๊ยย!! นี่ท่านไม่รู้จริง ๆ หรือว่าข้าต้องการบอกอะไรกับท่าน”“เร็วเข้าเจ้าบอกข้ามาว่าเจ็บตรงไหน แล้วเมื่อครู่ข้าก็กระแทกไปเยอะเสียด้วยสิ ไม่ได้ข้าว่าไปเรียกหมอหวังมาดีกว่ารอข้า...”“จวินซานหรงเจ้าคนซื่อบื้อหยุดนะ!!”จวินซานหรงที่ลุกจากเตียงต้องรีบหันมาทันที เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ชุนหลันที่กำลังทำหน้าโมโหสุดขีดอย่างที่เขาไม่เคยเห็นและกำลังจะเริ่มร้องไห้ ไม่เข้าใจเลยว่าการที่เขาเป็นห่วงนางและจะรีบไปตามหมอนี่มันผิดตรงไหนแต่คนตรงหน้ากลับเริ่มร้องไห้เขาจึงต้องรีบซับน้ำตาให้นางก่อน“อาหลันข้าไม่ไปแล้ว ไม่ไปแล้วเจ้าอย่าร้องไห้นะบอกข้าสิว่าเจ็บตรงไหนข้าจะช่วยเจ้าเอง”“ท่านมันฉลาดทุกเรื่องแต่กลับโง่เรื่องนี้ ข้าไม่น่าแต่งงานกับท่านเลย”“ไม่ได้นะเจ้าอย่าพูดเช่นนี้ ใช้ได้ที่ไหนกันพึ่งจะเข้าหอกันคืนเดียวก็จะพูดแบบนี้เจ้าเป็นอะไรกันแน่บอกข้าเถอะข้าจะได้”“ข้าท้องเจ้าคนซื่อบื้อ”“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าปวดท้อง…. ข้ากำลังจะไปเรียก… อะไรนะอาหลัน เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า…”“หึ ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์แล้ว จะนอน!!”“เดี๋ยวก่อน!! เดี๋ยวก่อนส
ห้องส่งตัวเล่อชุนหลันผล็อยหลับไปหลายครั้งและสะดุ้งอีกครั้งเมื่อประตูห้องเปิดและเสียงของคนด้านนอกที่มาส่ง นางจึงรู้ว่าได้เวลาที่เจ้าบ่าวจะเดินมาเปิดผ้าคลุมแล้ว“อาหลันเจ้ารอนานหรือไม่ ข้ามาแล้ว”จวินซานหรงเดินมาพร้อมกับจับไม้มงคลและเดินไปที่เจ้าสาวก่อนจะค่อย ๆ เปิดออกมา ใบหน้าของเจ้าสาวที่แต่งแต้มด้วยชาดสีแดงสดตรงหน้าทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไปนิดหน่อยเพราะเขาไม่เคยเห็นเล่อชุนหลันแต่งหน้าด้วยสีจัดจ้านและงดงามเช่นนี้มาก่อน“อาหลันวันนี้เจ้างดงามราวโบตั๋นในอุทยานหลวง”“จวินซานหรงท่านเมาแล้ว”“ข้าดื่มมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เมาถึงขนาดมองเจ้าผิดหรอก ปกติเจ้าก็งดงามอยู่แล้ว”“ช่างปากหวานเสียจริง”“ข้าช่วยเจ้าถอดเครื่องประดับดีหรือไม่เจ้าคงหนักแล้วสินะ”“ไหล่ข้าปวดไปหมดแล้วเพคะ ชุดนี้หนักมากจริง ๆ ไหนจะเครื่องประดับนี่อีก”จวินซานหรงเพียงแค่ยิ้มและค่อย ๆ ช่วยนางถอดเครื่องประดับ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาพยายามจะถอดชุดของนางต่างหาก“ซานหรงท่านไม่ต้องเลยนะ ท่านบอกจะมาช่วยถอดแต่นี่กลับเอาแต่ถอดชุดของข้า ท่านไปจัดการตัวเองเลยไป”“แต่ว่าชุดนี้มันดูจะสวมยากแล้วก็หลายชั้น ข้าคิดว่าคงจะเสียเวลานานที่จะถอด
มู่หรงเฉิงยิ้มค้างและหันมามองใบหน้าของผู้ที่พูดให้ชัด ๆ เขารู้เพียงว่าที่สกุลเล่อมีหมอมาพักอยู่ด้วยเป็นสตรี แต่ก็ไม่ได้คิดว่านางจะเกี่ยวข้องอะไรกับเขาแต่เมื่อมองเช่นนี้นางก็ช่างละม้ายคล้ายกับน้องสาวแท้ ๆ ของเขาอยู่หลายส่วน“เจ้า…. เจ้าคือ…”“ข้า… หวังเจียวเมิ่ง อ้อ จริงสิข้ามีนี่ด้วยท่านดูสิ”นางหยิบกำไลข้อมมือสีเงินที่นางเก็บเอาไว้เป็นอย่างดีออกมาและยื่นให้เขาดู มู่หรงเฉิงเมื่อเห็นกำไลข้อมือนี้เขาก็น้ำตาไหลลงมาทันที“กำไลของท่านแม่ เป็นสิ่งเดียวที่ท่านเหลืออยู่เพื่อให้ข้าเอาไว้ยืนยันตัวเองเมื่อเจอท่าน”“กำไลนี้… เป็นของท่านแม่ของข้า…เช่นนั้นเจ้า…”สองคนที่ยืนร้องไห้จนตาแดงมองสบตากันและกันด้วยความแปลกใจ ดีใจจนไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ มู่หรงเฉิงมองไปที่กำไลไม่หยุด หวังเจียวเมิ่งหันมาเรียกเขาอีกครั้ง“พี่ใหญ่!! ข้าตามหาท่านมานานหลายเดือน ในที่สุดข้าก็พบท่าน”“น้องเล็ก เป็นเจ้าจริง ๆ เมิ่งเอ๋อร์ของพี่”มู่หรงเฉิงเดินมากอดนางเอาไว้แน่น หวังเจียวเมิ่งเองก็กอดเขากลับพร้อมกับร้องไห้โฮออกมาสุดเสียงเพราะความดีใจ มู่หรงเฉิงนั้นค่อย ๆ สงบสติอารมณ์เอาไว้ได้ก่อนจะค่อย ๆ คลายอ้อมกอดของน้องสาว
“ท่านว่าอะไรนะ… ละ ลี่จินเซียนงั้นหรือ”เล่อชุนหลันค่อย ๆ ทรุดตัวอย่างหมดแรง ซานหรงค่อย ๆ พยุงนางลงมานั่งและจับมือนางเอาไว้เพราะเขารู้ดีว่านางคงต้องตกใจมากดังนั้นเมื่อจางหลิงรีบมาบอกข่าว เขาก็รีบตามมาเพราะรู้ว่านางจะต้องอยากไปที่จวนอ๋อง“นาง… ตายแล้วหรือเพคะ ทำไมกัน”“ลี่จินเซียนไปหาเรื่องหวังเจียวเมิ่งถึงในตำหนักกลางและไปพบหวังเจียวเมิ่งที่กำลังดูแลน้องแปดอยู่ นางทนไม่ไหวจึงได้ดึงตัวหวังเจียวเมิ่งออกมาหวังจะทำร้าย น้องแปดดึงพวกนางแยกออกจากกัน ลี่จินเซียนล้มลงกับพื้นและวิ่งเข้าหาพวกเขาอีกครั้งแต่พวกเขาหลบทัน นางจึงพุ่งไปชนกับหน้าต่างและพลัดตกลงมาชั้นล่าง”“คิดไม่ถึงเลยว่านางจะพบจุดจบเช่นนี้ แล้วนี่ร่างของนาง…”“น้องแปดสั่งให้คนนำไปฝังที่สุสานสกุลลี่นอกเมืองแล้ว และให้กรมวังแจ้งว่านางป่วยตาย”“แล้วเจียวเมิ่ง!!”“เจ้าใจเย็น ๆ ก่อนหวังเจียวเมิ่งปลอดภัยดี ทุกคนไม่มีผู้ใดบาดเจ็บเจ้าต้องตั้งสติก่อนนะ ที่ข้ายังไม่ให้เจ้าไปที่นั่นในตอนนี้เพราะศพของสนมลี่ยังไม่ได้ถูกนำออกไป ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเห็นภาพไม่งามเช่นนั้น อยากให้เจ้าจดจำนางเอาไว้ด้วยภาพที่ดีก็พอแล้ว”“ข้า… เข้าใจแล้วเพคะ ลี่จินเซียนคิ
หวังเจียวเมิ่งพยักหน้ารับและเริ่มใช้มีดเงินด้ามเล็กเริ่มกรีดไปที่ข้อมือของท่านอ๋องในทันที เมื่อเริ่มกรีดเลือดสีดำก็พุ่งออกมาจนเปื้อนชุดของหวังเจียวเมิ่งแต่นางไม่ใส่ใจที่จะเช็ดและกำลังตั้งใจบีบเลือดพิษออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชุนหลันหยิบผ้ามาเช็ดเลือดที่ติดตามใบหน้าของเจียวเมิ่งออกให้อย่างเบามือ“ขอบคุณพี่ชุนหลัน”“อยากได้สิ่งใดก็บอกมาข้าจะได้ช่วยหยิบให้”“ท่านช่วยหยิบชามใบใหม่มาให้ข้าทีเจ้าค่ะ”“ได้”เมื่ออยู่ตรงนี้นางจึงเข้าใจความรู้สึกของหวังเจียวเมิ่ง การตัดสินใจในการรักษาคนในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นช่างไม่ง่ายเลย ไม่นานเลือดพิษก็ถูกรีดออกมาจนหมด นางค่อย ๆ ทำแผลให้ท่านอ๋องและเดินออกมาพักผ่อน ชุนหลันเทน้ำให้เจียวเมิ่งดื่มจนหมดก่อนจะนั่งข้าง ๆ ด้วยความหมดแรง“ท่านอ๋องปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”ท่ามกลางความโล่งอกของทุกคนในห้องที่เหนื่อยวิ่งเตรียมของ เสิ่นกงแทบจะทรุดลงกับพื้น ตอนนี้จวินซานหรงค่อย ๆ ดึงผ้าห่มมาห่มให้ท่านอ๋อง เสิ่นปาเดินเข้ามาพร้อมกับยาที่พึ่งต้มเสร็จ“องค์รัชทายาท ยาต้มเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจมาก… น้องแปด เจ้าลุกไหวหรือไม่ดื่มยานี่ก่อน”หยางอี้เหรินค่อย ๆ ลุกข
ทั้งสองเดินกลับมาที่ค่ายก็พึ่งจะเห็นว่าท่านอ๋องและองค์รัชทายาทนั่งรอพวกนางอยู่ที่หน้ากระโจม เมื่อเห็นพวกนางพวกเขาต่างก็ดึงแต่ละคนเข้ามาถาม“เจ้าไปที่ใดมาอาหลันหายไปเสียนานข้าเป็นห่วง”“ได้เวลาที่ข้าจะกินยาแล้วเจ้ามัวเหลวไหลไปที่ใดมาหากพิษกำเริบเจ้าต้องรับผิดชอบ”ชุนหลันหันมามองเจียวเมิ่งที่ทำหน้าตกใจและยิ้มออกมา เจียวเมิ่งหันมามองหน้าชุนหลันที่หันมายิ้มให้ เจียวเมิ่งจึงยิ้มตอบและพยักหน้าพร้อมกับจับแขนท่านอ๋องและพาเดินกลับไปที่กระโจม“นี่เจ้าดึงข้าทำไม”“ท่านอ๋องบอกว่าได้เวลาดื่มยาแล้วนี่เพคะ จะมัวมานั่งเล่นอยู่แถวนี้ให้ลมโกรกจนป่วยเพิ่มทำไม หม่อมฉันจะรีบไปเตรียมยาให้”“ต้องเตรียมกรีดนิ้วอีกแล้วงั้นหรือ วันนี้พักไม่ได้หรือ”“ไม่ได้”“งั้นเจ้าต้องทำยาชาเอาไว้ให้ข้า บ๊วยด้วยอย่าลืมล่ะ”“พูดมากจริงรีบตามมา”“นี่!! ข้าเป็นแม่ทัพนะ”“เพคะ ๆ ทราบแล้ว”“ข้า!! หึ เผด็จการชัด ๆ แม้แต่ข้าที่เป็นแม่ทัพก็ไม่ละเว้นสักนิด”ท่านอ๋องเดินตามหวังเจียวเมิ่งเข้าไปในกระโจมแล้ว ชุนหลันหันไปยิ้มให้กับทั้งคู่อย่างจริงใจ ซานหรงหันมามองตามนางก่อนจะเอ่ยถาม“เจ้าคงไม่โกรธน้องสี่ที่พูดเรื่ององค์หญิงอานฉวนหรอกนะเพร
ชุนหลันหันไปมองหน้าหวังเจียวเมิ่งที่ยืนเฉย ๆ โดยมิได้คิดอะไรแต่ก็แอบมองชุนหลันที่กำลังกังวลจนเผลอปล่อยมือจวินซานหรง เมื่อองค์ชายเห็นเช่นนั้นก็หันไปเล่นงานน้องชายทันที“เจ้าพูดบ้าอะไรเนี่ย ข้าทูลเสด็จพ่อไปแล้วว่าจะรับพระชายาเพียงคนเดียวคือเล่อชุนหลัน เสด็จพ่อเองก็ทรงรับปากและออกราชโองการสมรสมาให้ข้าแล้ว”“พี่สี่ท่านอย่าล้อเล่นเช่นนี้ ข้าเองก็ยังพึ่งเสร็จศึกกลับมาอีกอย่างเรื่องในตำหนักของข้าเสด็จพ่อก็รับรู้แล้วว่าวุ่นวายเพียงใด หากจะแต่งมาที่เหลียงโจวเกรงว่าแคว้นอานฉวนคงไม่พอใจเป็นแน่”“เอาตัวรอดกันเก่งจริง ๆ เลยนะแต่ล่ะคน”“น้องสี่ พูดเช่นนี้เจ้ารู้ตัวสินะว่าตัวเองไม่รอดแน่”“พี่สาม!! ท่าน…”“หึ เอาเถอะองค์หญิงอานฉวนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊เป็นยอดสตรีแห่งดินแดนตะวันออกก็เหมาะกับเจ้าดีนะ”“ใช่เสียที่ไหนข้าไปดีกว่าคุยกับพวกท่านแล้วเวียนหัว น้องแปดเจ้าต้องรีบหายเร็ว ๆ นะ”“พ่ะย่ะค่ะ แล้วพบกันใหม่พี่สี่”“แล้วพบกัน”องค์ชายสี่เดินทางกลับไปแล้ว ขบวนธงทัพของกองทัพหลวงค่อย ๆ เคลื่อนไปไกลจนลับสายตา จวินซานหรงหันมาจับมือชุนหลันแต่นางกลับเดินหนีลงมาก่อน“อา… ว่าแล้วอย่างไรเจ้าจวินซานอวี้ ไปอย่างเดียวไ
“ข้าไม่ใช่เด็ก ๆ เสียหน่อยที่จะกลัวเจ็บกลัวกินยาขม ๆ”“เช่นนั้นพระองค์ไม่ต้องการใช่หรือไม่”“ไม่ได้พูดว่าไม่ชอบ”ชุนหลันดึงแขนจวินซานหรงและเดินออกมาเพื่อจะได้ไม่ต้องรบกวนพวกเขา ซานหรงเห็นนางเดินยิ้มออกมาจึงนึกแปลกใจ เขาพานางเดินมาที่ริมแม่น้ำด้านหลังค่ายเพราะที่นี่ไม่มีคนเดินไปมาหากไม่มีคำสั่งของเขา“เจ้ายิ้มอะไรกัน”“ท่านไม่เห็นหรือเพคะ”“เห็น แต่ว่า… ข้าคิดว่าอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้”“ผู้ใดจะรู้เล่าเพคะ”“ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วอย่างไรเล่า ที่เหลียงโจวยังมีลี่จินเซียนอยู่ เจ้าคิดว่าหมอหวังจะสู้นางได้หรือ ต่อให้เป็นบุตรีของขุนนางต้องโทษแต่อย่างไรก็เป็นพระสนม อีกอย่างการที่นางจะลงเอยกับน้องแปดได้…”“ท่านคิดไกลเกินไปแล้ว ความรักน่ะไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากขนาดนั้น”“นั่นก็ใช่แต่ข้าเกรงว่าสำหรับน้องแปดอาจจะไม่ง่ายเช่นนั้น”“ช่างเถอะ เรื่องนั้นปล่อยให้พวกเขาจัดการเองจะดีกว่า”“อาหลัน นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ”จวินซานหรงหันไปมองนางที่กำลังรวบผมขึ้นและเริ่มถอดชุดด้านนอกออกมา เขาหันไปมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น เพราะเขาพานางเดินมาค่อนข้างลึกแม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นแล้วแต่ฟ้ายังไม่มื
กระโจมท่านอ๋อง “แคก แคก น้ำ…”หวังเจียวเมิ่งที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่สะดุ้งขึ้นมากลางดึกเมื่อได้ยินเสียงแหบ ๆ เมื่อนางหันก็เห็นว่าท่านอ๋องรู้สึกตัวแล้ว“นี่เพคะ”เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจิบน้ำอย่างยากเย็นเพราะแผลที่ถูกธนูยิงที่ไหล่ขวานั้นยังคงเจ็บปวดอยู่“เจ้าเป็นใคร”“หม่อมฉันเป็นหมอเพคะ มาที่นี่เพื่อรักษาพิษในพระวรกายของพระองค์”“หมองั้นหรือ”“เพคะ”“เจ้ามาจากไหน”“หม่อมฉันมาพร้อมกับบุตรท่านเสนาบดีเล่อ เล่อชุนหลันเพคะ”“อะไรนะ เจ้าบอกว่า… แคก แคก… นาง!! มาที่นี่หรือ”“พระองค์อย่าพึ่งลุกขึ้นมาเช่นนี้ แผลของพระองค์ยังไม่หายดี อีกอย่างพิษในพระวรกาย…”มือของเขาหันมาคว้าแขนของหวังเจียวเมิ่งและดึงนางเข้ามาถาม ยิ่งมองใกล้ ๆ เช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านอ๋องน่ากลัวยิ่งนัก ผิดกับรูปลักษณ์ที่ดูรูปงามของเขา สายตาที่มองนางในตอนนี้แทบอยากจะเค้นความจริงราวกับนางเป็นนักโทษ“ท่านอ๋องเพคะ”“บอกข้ามา นางมากับเจ้าหรือ”“พะ เพคะตอนนี้นางพักอยู่ที่กระโจมขององค์รัชทายาทเพคะ”คำนี้ทำให้ท่านอ๋องนิ่งไปและค่อย ๆ ปล่อยมือที่บีบแขนนางออกมาได้ เจียวเมิ่งรีบถอยห่างออกจากเตียงของเขาทันทีและรีบไปดูหม้อต้มยาที่นางต้มเอาไ