60 : ทำลายค่ายกลสะกดจิต สิ่งของอัปมงคลทั้งสี่ถูกวางเรียงอยู่บนโต๊ะ หลินซือเยว่ใช้พู่กันแต้มชาด วาดยันต์ลงบนกระดาษเหลือง จากนั้นติดไว้บนของอัปมงคลสี่อย่างตรงหน้า การทำลายค่ายกลสะกดจิต หลินซือเยว่ต้องใช้สมาธิและพลังงานเป็นอย่างมาก ประกบฝ่ามือตั้งจิตให้มั่น ท่องคาถาทำลายล้าง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าของหน้า ทั้งที่อากาศยังหนาวเหน็บ ทันใดนั้นหิมะที่หยุดตกไปนาน ก็โปรยสายลงมาอย่างหนัก นางรับรู้ได้ถึงอีกฝ่ายกำลังทำพิธีต้านนางอยู่ นี่ไม่เรียกว่าท้าทายกันอยู่รึ ช่างไม่เจียม นางกางฝ่ามือออกแล้วประกบเข้าหากันใหม่ หมุนฝ่ามือดรรชนีชี้ลงบนของสี่อย่าง ฟุบ ! เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในทันที สิ่งของอัปมงคลถูกเผาไหม้อยู่บนโต๊ะ เสียงกรีดร้องอันโหยหวนของพระชายาหยางก็ดังขึ้นมา ถึงเวลาทำลายค่ายกลสะกดจิต นางท่องคาถารุนแรงขึ้น พลังแห่งการทำลายล้าง ส่งผลให้เกิดลมพายุหมุนภายในเรือน หิมะปลิวว่อนไปตามแรงลม “ทำลาย !” เกิดเสียง ครืน ! ดังขึ้น แม้ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่หิมะที่ตกหนักเมื่อครู่กลับหยุดลง ท้องฟ้าพลันกระจ่างขึ้นมาในทันที ค่ายกลสะกดจิตถูกทำลาย มนต์ดำสายนี้ตีก
61 : เซี่ยหรูเหรินพาเที่ยวหอลี่เซียน ระหว่างรอการฝังเข็มนั้น เซวียนหมิงยู่ได้ชวนหลินซือเยว่ออกไปเที่ยวชมเมืองหยางด้วยกัน ครั้นพระชายาหยางรู้เรื่องนี้ จึงให้คนไปบอกเซวียนหมิงยู่ ว่าให้พาเซี่ยหรูเหรินออกไปด้วย เนื่องจากนางอยู่ดูแลคนป่วยในเรือน แทบไม่ได้ออกไปพบเห็นผู้คนด้านนอก ให้นางเป็นคนนำพาเที่ยวชมเมือง น่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่สุดแล้ว เมื่อเสด็จป้าเอ่ยมาเช่นนี้มีหรือเซวียนหมิงยู่จะขัดได้ รถม้าสองคันพาสตรีสองนางกับบุรุษหนึ่ง มุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองหยาง ภายในรถม้าของสตรี เซี่ยหรูเหรินในชุดสีแดงเพลิง สง่างามดั่งนางพญา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับหลินซือเยว่ นางแต่งตัวด้วยชุดสีขาวค่อนข้างเรียบง่าย “แม่นางหลินเจ้าเป็นคนเมืองเหลียงตั้งแต่เกิดหรือไม่” เซี่ยหรูเหรินหาเรื่องชวนนางคุย “ไม่ใช่ข้าเป็นคนเมืองอื่น” “เหตุใดถึงได้ไปอยู่เมืองหลวงได้” “ตระกูลของข้าถูกใส่ร้าย จนถูกเนรเทศไปอยู่ค่ายทหารที่เมืองเหลียง” เมื่อเจ้าอยากรู้อยากเห็น ข้าก็จะบอกความจริงให้ “เจ้าเป็นนักโทษ !” ใบหน้างามเผยความประหลาดใจออกมา “เหลีย
62 : นางเป็นบุตรบุญธรรม หรูเหรินเป็นพระชายาเอก ยามนี้อาการของพระชายาหยางดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ชีพจรยังเต้นอ่อนแรง ลุกขึ้นจากเตียงเดินวนรอบห้องพอได้ แต่ให้เดินออกจากเรือนไปที่อื่น ยังคงเหนื่อยหอบอยู่เหมือนเดิม พอหลานสาวกลับมาจากเที่ยวด้านนอก พระนางก็รีบเรียกเข้าไปถามไถ่ในทันที “หรูเหรินเหลียงอ๋องผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง” พลันใบหน้าของเซี่ยหรูเหรินเกิดจุดแดงขึ้นในทันที “เสด็จป้าถามอะไรเช่นนั้นเพคะ” “เด็กคนนี้ ปีนี้เจ้าอายุสิบเจ็ดปีแล้ว สมควรได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดี ข้ากับท่านอ๋องหารือกันไว้นานแล้ว ว่าจะให้เจ้าแต่งเข้าจวนเหลียงอ๋อง เจ้าเป็นบุตรีเอกของตระกูลเซี่ย ย่อมสามารถแต่งเป็นพระชายาเอกได้ สบโอกาสที่ข้าป่วยถึงได้เรียกเหลียงอ๋องมาที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นชาตินี้มีหรือเขาจะย่างกรายออกจากเมืองเหลียง” “แต่ฮ่องเต้เคยมอบสมรสพระราชทานให้เหลียงอ๋องนี่เพคะ” “นั่นก็ช่างปะไร ขบวนเจ้าสาวถูกฆ่าตายระหว่างทาง กลายเป็นเรื่องอัปมงคลไป ฮ่องเต้รับปากเหลียงอ๋องว่าภายในสามปีนี้ จะไม่มอบสตรีนางไหนให้เหลียงอ๋องอีก นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีของเจ้า ต้องรีบหา
63 : นี่กะเล่นเอาถึงตายเลยรึ หยางอ๋องกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ สตรีนางนั้นมีสิทธิ์อันใดมาท้าทายตนเช่นนี้ เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม จึงต้องยอมมือเปื้อนเลือดสักครั้ง แผนการของหยางอ๋องนั้นมีสองเรื่องด้วยกัน รั้งให้เหลียงอ๋องอยู่กับเซี่ยหรูเหรินในจวน อีกทางก็ให้ทหารไปลอบสังหารหลินซือเยว่ “ท่านอ๋องทำเช่นนี้เป็นเรื่องผิดมหันต์นะเพคะ” พระชาหยางไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพระสวามี “เจ้าจะใจอ่อนไม่ได้ นางไม่ใช่หรูเหริน จะยอมเชื่อฟังคำพูดของข้าทุกคำ เจ้าไม่เห็นตอนนางข่มขู่ข้า นางไม่เห็นอ๋องอย่างข้าอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็อย่าถือโทษโกรธข้าเลย” เพราะโกรธที่ถูกเด็กรุ่นหลานท้าทาย จนทำให้หยางอ๋องลืมไป ความสามารถของหลินซือเยว่นั้น มีมากน้อยเพียงใด ลืมกระทั่งว่านางสามารถช่วยเหลือเหลียงอ๋อง จนชนะศึกสงครามได้ “คนของข้าได้ยินว่านางสั่งเผิงฉือให้เก็บของกลับบ้าน เจ้าก็แค่เชิญเหลียงอ๋องมากินข้าวเพื่อขอบคุณ ให้หรูเหรินคอยอยู่ดูแลเขา รั้งเอาไว้ในเรือนของเจ้าให้นาน ๆ หน่อย ทางหลินซือเยว่คนของข้าจะจัดการนางเอง” “ท่านอ๋องหม่อมฉันไม่ใคร่สบายใจ” พระชายาหยางไม่อยากทำเรื่องน
64 : หลินซือเยว่ผู้นี้ ไม่เคยรังแกผู้ใดก่อน เปรี้ยง ! เปรี้ยง ! ฝ่าผ่าลงมายังจวนหยางอ๋องสองครั้งติด ลงที่เรือนของหยางอ๋องกับพระชายาหยางโดยตรง คนในจวนต่างวิ่งหาน้ำมาดับไฟกันวุ่นวาย เซวียนหมิงยู่มองเหตุการณ์ไม่ปกตินี้อย่างแปลกใจ เห็นเสด็จลุงของเขาวิ่งออกมาด้วยใบหน้าซีดเซียว “ฟ้าผ่าได้อย่างไร ท้องฟ้าปลอดโปร่งเช่นนี้” แม่บ้านวิ่งมาหาหยางอ๋องพร้อมเอ่ยรายงาน “เรียนท่านอ๋องฟ้าผ่าลงที่เรือนของท่านอ๋อง กับเรือนพระชายาหยางเพคะ ตอนนี้เกิดไฟไหม้ลุกลามมีคนบาดเจ็บ ข้าน้อยเกณฑ์คนไปดับไฟแล้วเพคะ” “พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง” “ปลอดภัยดีเพคะ ยามนั้นพระชายาอยู่ที่สวนดอกไม้ แต่สาวใช้ด้านในได้รับบาดเจ็บกันหลายคน” เสียงฝีเท้าคนวิ่งทางนี้ “ท่านอ๋อง ! หน้าจวนมีรถม้าไร้คนขับของเราวิ่งกลับมาพ่ะย่ะค่ะ แล้วยังมีเอ่อ” “มีอะไร !” “เหล่าองครักษ์ของท่านอ๋อง ได้รับบาดเจ็บหมดสติอยู่บนรถม้าคันนั้นพ่ะย่ะค่ะ” หยางอ๋องเซถอยหลังในทันที คำพูดของนางก็ผุดขึ้นในใจ ...โปรดจำคำพูดของหม่อมฉันเอาไว้ให้ดี ๆ หลินซือเยว่ผู้นี้ ไม
65 : โหย่วซิงเยียน หนึ่งปีต่อมา จวนเสนาบดีกรมโยธาในเมืองหลวง “คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดมานั่งมองดอกหมู่ตานอยู่ตรงนี้ได้เล่า บ่าวกับลี่ถิงตามหาตั้งนาน” สาวใช้อายุราวสิบห้าปีนามว่าลี่จู เดินมาหาผู้เป็นนาย หลังจากนางตามหาอยู่นานสองนานกลับไม่พบ ด้านหลังยังมีลี่ถิงสาวใช้อีกคนเดินตามมาด้วย “ข้าเหมือนจะเคยเห็นดอกหมู่ตานเช่นนี้มาก่อน” คุณหนูผู้นี้มีนามว่าโหย่วซิงเยียน นางเป็นบุตรบุญธรรมของโหย่วเหวินฉิง เสนาบดีกรมโยธาคนปัจจุบัน “ลี่จู ลี่ถิง เหมือนว่าข้าเคยเห็นดอกหมู่ตานสวย ๆ เช่นนี้มาก่อนจริง ๆ นะ” ลี่ถิง “บ่าวเชื่อคุณหนูเจ้าค่ะ” ลี่จู “บ่าวก็เชื่อเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ว่ายามนี้ท่านเสนาบดีกลับมาที่จวนแล้วนะเจ้าคะ ท่านเรียกหาคุณหนูอยู่” “ท่านพ่อกลับมาบ้านแล้ว ท่านแม่ต้องดีใจเป็นแน่ ไปกันเถอะ” นางยื่นมือให้สาวใช้พยุงขึ้นจากพื้น เดินกลับไปยังห้องโถงหลักของจวน เสนาบดีโหย่วกำลังนั่งพูดคุยกับโหย่วฮูหยิน ใบหน้าดูอารมณ์ดีและมีความสุข ครั้นเห็นบุตรสาวบุญธรรมเดินเข้ามา พวกเขาต่างก็ยิ้มแย้มทักทายนาง “ซิงเยียนนับว
66 : สมรสพระราชทาน โหย่วฮูหยินแทบลมจับหลังได้ยิน เรื่องบุตรสาวกำลังจะได้รับสมรสพระราชทาน แต่งไปเป็นพระชายาของเหลียงอ๋องที่ชายแดน “พวกเราทำร้ายเจ้าแล้วซิงเยียน สตรีหลังบ้านเช่นเจ้า ถูกคนนำไปใช้เป็นเครื่องมือเรื่องงานจนได้” “ท่านแม่สมรสพระราชทานนี่ข้าปฏิเสธได้หรือไม่” โหย่วฮูหยินส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ได้ ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับมัน” “แต่ข้าไม่อยากจากท่านแม่กับท่านพ่อไปเลยนี่เจ้าคะ เมืองเหลียงนี่ไม่ใช่ว่าอยู่ไกลติดชายแดนหรือไร” “ซิงเยียนเดิมทีข้าตั้งใจหาบุรุษดี ๆ ในเมืองหลวงให้เจ้าออกเรือนด้วย แต่ว่าเรื่องนี้ข้าคงทำเจ้าผิดหวังเสียแล้ว” สีหน้าอมทุกข์ของมารดา ทำให้โหย่วซิงเยียนรู้สึกผิด นางไม่อาจโทษใครได้ในเรื่องนี้ นอกจากชะตากรรมของตนเองเท่านั้น “ข้าขอโทษท่านแม่ เรื่องนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ผิดเลยสักนิด แต่งก็แต่งสิไม่เห็นจะเป็นไร” นางเอ่ยอย่างท้อใจ สุดท้ายแล้วต้องแต่งงานกับใครสักคนอยู่ดี เรื่องนี้อย่างไรนางคงหนีไม่พ้น “ข้ากับท่านพ่อของเจ้า อยากให้เจ้าความทรงจำกลับคืนมาเสียก่อน ถึงจะตัดสินใจเรื่องงานแต่ง แต่ดูไปแล้วยามนี้คงย
67 : เจ้าสาวถูกเพิกเฉย เจ้าสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดง ครั้นขึ้นไปนั่งบนรถม้า นางก็เอาผ้าคลุมหน้าออก ลี่ถิงกับลี่จูถึงกับส่งเสียงห้ามปรามแทบไม่ทัน ลี่ถิง “ไม่เป็นมงคลนะเจ้าคะคุณหนู” “มงคลหรือไม่ข้าย่อมรู้ดีกว่าพวกเจ้า” โหย่วซิงเยียนจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของนางเบา ๆ “การเดินทางนาน ๆ เช่นนี้เกรงว่าข้า จะได้ปวดเนื้อปวดตัวตายเสียก่อนได้แต่งงาน” ลี่จู “เอ่ยคำไม่เป็นมงคลอีกแล้วนะเจ้าคะ” ลี่ถิงพยักหน้าลงเห็นด้วยกันลี่จู “เจ้าสาวคนก่อนหน้าเกิดเรื่องระหว่างทาง ไม่รู้ว่าเหลียงอ๋องสร้างศัตรูไว้กี่คนกันแน่ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นกับพวกเรานะเจ้าคะ” “ไม่เกิดหรอก ดวงชะตาพวกเจ้าทุกคนล้วนผ่องแผ้ว ไม่มีดาวมรณะปรากฏ” “จริงหรือเจ้าคะ” ลี่ถิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความดีใจ “ข้าเคยทำนายผิดรึ” โหย่วซิงเยียนหยิบหมอนมาหนึ่งใบ วางพิงบนผนังรถม้าแล้วหลับตาลง สาวใช้ทั้งสองหันไปยิ้มให้กัน เพียงแค่คุณหนูทำนายออกมาว่าพวกนางไม่มีอันตราย ความกังวลในตอนแรกสลายไปในพริบตา ต่างเอนหลังพิงผนังรถม้าพักผ่อนกันบ้าง ระหว่างการเดินท
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ
4 : พระชายานางไม่คู่ควร ฮู่ตงหยางนำเรื่องสำคัญ มาขอคำชี้แนะจากพระชายา เดิมทีเผิงฉือไม่อยากให้เขาไปรบกวนหลินซือเยว่ แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ไหว จึงได้เข้าไปรายงานพระชายาให้รับรู้ “หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มาหาข้า ป้าเผิงให้องครักษ์ฮู่เข้ามาเถอะ” หลินซือเยว่ยามนี้ใบหน้าอิ่มเอิบ เหมือนคนถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก “เพคะพระชายา” เผิงฉือยามได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผู้เป็นนาย ราวกับก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกวางลง เหลียงอ๋องยามนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าได้มอบความรักให้พระชายาเพียงผู้เดียวจริง ๆ “พระชายา” ฮู่ตงหยางเข้าไปคำนับหลินซือเยว่ พร้อมกับเล่าความปรารถนาของตนเอง ให้พระนางฟังอย่างละเอียดทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องราวความรักของสวีวั่งซูแทน “องครักษ์ฮู่ท่านกล้าเอาเรื่องเหลวไหลมาเอ่ยกับพระชายาเชียวรึ” เผิงฉือขึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านป้าเผิง ข้าแค่เป็นห่วงวั่งซูเกรงว่าเขาจะพบเจอคนไม่ดีเข้า” หลินซือเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ออกไปเที่ยวชมเมืองเล่นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป “ร
3 : ข้าอยากได้ลูกชายตัวอ้วน ๆ ชีวิตของการเป็นพระชายาของเหลียงอ๋อง ไม่ได้ทำให้หลินซือเยว่ถูกขังอยู่แต่ในจวนได้ บางวันนางออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ทำให้นางได้รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองเหลียงมากขึ้น เซวียนหมิงยู่รู้ว่าห้ามนางไม่ได้ จึงยอมปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกกับนางด้วย “ท่านอ๋อง ท่านจะไปข้างนอกกับพระชายาข้าไม่ว่า แต่เหตุใดไม่ให้ข้ากับตงหยางไปด้วยเล่า” สวีวั่งซูเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “วั่งซูเจ้าคิดว่าในเมืองเหลียงแห่งนี้ มีใครทำอันตรายข้ากับพระชายาได้บ้าง ลำพังข้าไม่เป็นไรแต่พระชายานั้น อย่าได้ดูแคลนฝีมือนางเด็ดขาด” สวีวั่งซูหันไปมองสหายด้านข้าง ฮู่ตงหยางกระซิบเบา ๆ “ขนาดฟ้ายังเรียกมาผ่าจวนหยางอ๋องได้ ข้าว่าเจ้าวางใจเถอะ ให้ท่านอ๋องไปกับพระชายาสองต่อสองเถอะ” สวีวั่งซูคล้ายไม่ยินยอมแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะพระชายาในชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ ได้เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “พระชายาหน้าข้ามีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีวั่งซูแปลกใจเล็กน้อย พระชายาไม่เคยมองเขาแบบนี้มาก่อน นี่คล้ายกำลัง
2 : มอบจวนให้ท่านพ่อตา ตระกูลหลินสายรอง หลังจากหลินซือเยว่ได้แต่งงานเข้าจวนเหลียงอ๋องได้สองเดือน ครอบครัวของนางต้องหารือกันครั้งใหญ่ เพราะการกระทำของพวกเขาทุกคน จะส่งผลต่อฐานะพระชายาของหลินซือเยว่ไปด้วย หลินซูฮวารับบทหนักกว่าผู้อื่น มารดาของนางถึงกับจ้างคนมาสั่งสอน เรื่องที่บุตรีตระกูลมีชื่อเสียงต้องร่ำเรียนกัน “เจ้าต้องจำเอาไว้ซูฮวา เจ้าคือน้องสาวของพระชายาเหลียงอ๋อง จะทำสิ่งใดต้องมีผู้คนจับตามอง ข้าไม่อยากให้พวกเราทุกคน ทำร้ายพระชายาไปมากกว่านี้” เถียนฮูหยินสั่งสอนบุตรสาวคนเล็ก ในยามที่นางโอดครวญไม่อยากร่ำเรียน “ท่านแม่ข้าก็บ่นไปเช่นนั้นเอง ความจริงข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี” หลินซูฮวาเดินเข้าไปกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น “ท่านพ่อก็เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปคบหาพวกอันธพาลเข้าล่ะ ห้ามไปบ่อนเด็ดขาด” หลินซีฮันรู้สึกว่าหากปล่อยปละละเลย บิดาของเขาคงถูกคนล่อลวงไปได้ง่าย ๆ “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลินเต๋อหลบสายตาบุตรชาย ต่อไปนี้ต้องใจแข็งให้มากกว่านี้แล้วล่ะ “ท่านพี่ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปที่หอโอสถทุกวันแล้วล่ะ ข้าว่าให้ผู้ดูแลร้านเขา