จุดเปลี่ยนกะทันหันนี้ทำให้เวินซื่อยืนตะลึงอยู่ตรงที่เดิมนางไม่อยากจะเชื่อ “อาจารย์ ท่านๆๆ…ท่านบอกว่าท่านคือราชันพิษ? เช่นนั้นหมอปีศาจราชันพิษท่านนั้น?”ม่อโฉวซือไท่เลิกคิ้วเล็กน้อย ยกมือกล่าว “คนออกบวชไม่พูดปด”ราชวงศ์ต้าหมิงมีหมอเทวดาที่เลื่องชื่อสองท่านท่านหนึ่งเล่ากันว่าคือหลินจื่อฟู สามารถช่วยคนตายฟื้นคืนชีพ รักษาเนื้อและกระดูกงอกใหม่ส่วนอีกท่านคือหมอปีศาจราชันพิษที่เชี่ยวชาญการแพทย์และยาพิษชื่อเสียงของพวกเขา ต่อให้เป็นเวินซื่อที่อยู่เรือนส่วนหลังในอดีตก็เคยได้ยินในบรรดาสองท่านนี้ คนที่ลึกลับที่สุดย่อมหนีไม่พ้นหมอปีศาจราชันพิษท่านนี้ ลือกันว่าจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของหมอปีศาจราชันพิษแต่วันนี้นางรู้แล้ว!ใครจะคิดว่าหมอปีศาจราชันพิษที่ลึกลับ จะเป็นซือไท่เจ้าอาวาสของอารามชีที่ไม่สะดุดตาเลยสักนิด?“เช่นนั้นอาจารย์ ท่านจะสอนข้าเรียนพิษจริงหรือ?”“ทำไม เจ้าไม่ยินดี?”“ยินดีเจ้าค่ะ!”เวินซื่อกล่าวกระตือรือร้น “ศิษย์แค่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคดีเช่นนี้”ก่อนหน้านี้เป่ยเฉินหยวนยังเตือนนาง ทางที่ดีที่สุดหาใครสักคนที่สามารถชี้แนะจริงๆ มาสอนนางแต่ปราก
พวกเขาคิดเหมือนกันหมด ‘ถึงว่าฝ่าบาทจะเลือกนาง ปกติก็ไม่รู้สึกอะไร วันนี้พอตั้งใจดูดีๆ เวินซื่อคนนี้มีใบหน้าที่เกิดมาเพื่อเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ’ก็ได้ ขอเพียงต่อไปเวินซื่อยังคงอยู่ในกรอบในศีลขอพรเพื่อบ้านเมือง พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่สามารถยอมรับธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เวินซื่อยังไม่รู้ ด้วยใบหน้าของตัวเองก็ชนะใจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นั่งตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมั่นคงแล้ว“เสด็จอาท่านดู ธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่เราเลือกท่านนี้ไม่เลวกระมัง?”ฮ่องเต้น้อยย่อมไม่พลาดการแสดงออกที่ยอดเยี่ยมบนใบหน้าของเหล่าขุนนางและชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างในใจรู้สึกพอใจต่อเวินซื่อมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตามเขาแค่มอบโอกาสให้เวินซื่อ แต่จะสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับนางเองความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า ผลงานของนางไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ“สายพระเนตรของฝ่าบาทไม่เลวจริงๆ”เป่ยเฉินหยวนชมฮ่องเต้น้อยในเวลาที่เหมาะสมและยังพยักหน้าอย่างจริงจังด้วยความพยายามในช่วงที่ผ่านมาของเวินซื่อล้วนอยู่ในสายตาของเขา ในพิธีขอพร นางจำเป็นต้องท่องบทสวดขอพรเก้าชุด เพื่อแสดงความศรัทธายังไม่สามารถพลางดูพลางอ่
“ผู้หญิงท่าทางลับๆ ล่อๆ?”เวินซื่อชะงักเล็กน้อย “ข้างกายนางยังมีคนอื่นหรือไม่?”“ไม่มีเจ้าค่ะ แค่นางคนเดียว”เวินซื่อพยักหน้า “เช่นนั้นดี เจ้าซ่อนตัวก่อน อย่าให้ใครพบเห็น”“เจ้าค่ะ”จู๋เยวี่ยหายไปทันทีเวินซื่อจัดแจงเสื้อผ้าต่อ หลังจากจัดแจงเสร็จก็เดินออกไปข้างนอกเหมือนไม่รู้อะไรตอนที่จะก้าวข้ามประตูใหญ่นั้นเอง จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ปรากฏ เหวี่ยงตรงเข้ามาหานางโชคดีที่เวินซื่อมีการเตรียมตัวไว้ก่อน ผินหน้าก็หลบได้แล้วหลังจากนั้นพลิกมือเหวี่ยงใส่ใบหน้าอีกฝ่ายดัง ‘เพียะ’ เวินเยวี่ยตกเป็นฝ่ายที่เสียท่า กุมใบหน้ากล่าวด้วยความโกรธ “เวินซื่อ เจ้ากล้าตบข้า!”“ตบแล้วเจ้าจะทำไม?”เวินซื่อกล่าวเย้ยหยัน “เหมือนสมองของสีกาไม่ค่อยดี ต้องให้ข้าเตือนหน่อยหรือไม่? อย่างไรเสียข้าไม่ได้แค่เคยตบสีกา”“เจ้า!”เวินเยวี่ยอับอายจนโมโหทันที ยกมือคิดจะตบเวินซื่ออีกครั้งแต่เวินซื่อกลับเร็วกว่านาง แทบจะทันทีที่นางยกมือ เวินซื่อใช้มือซ้ายจับนาง มือขวาก็ตบกลับไปอย่างไม่ลังเล“เพียะ!”เสียงของฝ่ามือนี้ ชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้มากเวินเยวี่ยไม่ทันหลบด้วยซ้ำ ใบหน้าซ้ายขวาสมดุลทันทีเวินซื่อที่ตบได้หนำ
พลันการแสดงออกบนใบหน้าเวินเยวี่ยแข็งเล็กน้อยเพราะคำพูดของเวินซื่อ จี้โดนอารมณ์ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้สึกสีหน้าเวินเยวี่ยขรึมลงทันทีนางมองเวินซื่อด้วยสายตาเคร่งขรึม “ดังนั้นเจ้าตัดสินใจไม่กลับสกุลเวินแล้ว?”ถูกต้องแต่เวินซื่อไม่อยากให้เวินเยวี่ยอยู่อย่างมีความสุขนางยิ้มเล็กน้อย “ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียถ้าหากพวกท่านพ่อเปลี่ยนใจแล้ว เช่นนั้น ก็ใช่ว่าข้าจะไม่สามารถกลับไปเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกครั้ง”‘บุตรภรรยาเอก’ คำนี้มันแสบหูเวินเยวี่ยข้างนอก นางคือลูกสาวของผู้มีพระคุณที่เวินเฉวียนเซิ่งรับเลี้ยงแต่ในความเป็นจริง นางก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเวินเฉวียนเซิ่งเช่นกัน ทว่าไม่ใช่ลูกสาวภรรยาเอกของเวินเฉวียนเซิ่งและถึงขั้นไม่นับเป็นลูกอายุภรรยาด้วยซ้ำแต่เป็นแค่ลูกสาวนอกสมรสนอกเสียจากวันข้างหน้านางสามารถลบชื่อหลานจื่อจวิน มารดาของเวินซื่อออกจากบันทึกลำดับญาติสกุลเวินหลังจากนั้นเติมชื่อของมารดาตัวเองลงไป ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถก้าวข้ามเวินซื่อ กลายเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงและนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาติที่แล้ว เพราะเหตุใ
“โอ๊ย เรียกข้ามาแต่เช้าเช่นนี้จะทำอะไรเนี่ย?”“ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว ข้าว่าเจ้ารีบมาดูของสิ่งนี้ดีกว่า!”หลินจื่อฟูที่ถูกคนของจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเคาะประตูเรียกจนตื่น และยังถูกลากมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เดิมทียังงัวเงียเล็กน้อยแต่หลังจากเห็นของในกล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ตื่นตัวขึ้นมาทันที“สวรรค์! นี่ไม่ใช่เห็ดหลินจือสีม่วงหรือ!”หลินจื่อฟูกระโจนไปที่ข้างโต๊ะ หยิบเห็ดหลินจือที่อยู่ในกล่องไม้ขึ้นมาดูอย่างระมัดระวังทันที“ฮ่าๆๆ สีนี่ดีเกินไปแล้วกระมัง? พวกเจ้าไปได้ของดีเช่นนี้มาจากที่ใด?”หลินจื่อฟูตื่นเต้นจนตาลุกวาวแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้เห็ดหลินจือสีม่วงต้นนั้น ท่าทางที่ทะนุถนอมนั่นก็เหลือแค่จูบแล้ว“นี่เจ้าเลิกตื่นเต้นได้แล้ว รีบดูก่อนว่านี่ใช่เห็ดหลินจือสีม่วงอายุร้อยปีที่เจ้าพูดถึงหรือไม่?”เกาเย่าและคนอื่นร้อนใจจะตายอยู่แล้ว พากันเร่งเร้าเขามีเพียงเป่ยเฉินหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังนับว่าสงบหลินจื่อฟูกล่าวอย่างไม่ลังเล “มันแน่อยู่แล้ว! พวกเจ้าก็ไม่ดูเลยว่าดอกใหญ่เช่นนี้! เป็นเห็ดหลินจือสีม่วงร้อยปีไม่ผิดแน่!”“เยี่ยมไปเลย!”เกาเย่าและคนอื่นดีใจจนแทบกระโดด“ท่า
ไฉนเลยที่เป่ยเฉินหยวนจะไม่รู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของเขา กล่าวเรียบ ๆ “ไม่ผิด นางกำลังเรียนวิชาแพทย์อยู่ แต่สิ่งที่นังหนูนั้นอยากเรียนจริง ๆ ก็คือพิษ เจ้ามีความรู้ด้านพิษหรือ?”“พิษ...พอมีความรู้เล็กน้อย? เอาเถอะ ก็ไม่ได้มีความรู้มากเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเอ่ยถึงยาพิษ หลินจื่อฟูสีหน้าเศร้าซึมลงไปทันทีถึงแม้ว่าเขาจะถูกขนานนามว่าเป็นนักปราชญ์แห่งการแพทย์ที่สามารถทำคนตายให้ฟื้น ทำกระดูกให้มีเลือดเนื้อ แต่เขาไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านพิษสักเท่าใด“หากจะกล่าวว่าผู้ที่เชี่ยวชาญด้านยาพิษมากที่สุดคงจะต้องเป็นหมอปีศาจราชันพิษนั่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หากประลองฝีมือทางการรักษากับคนผู้นั้น เขายังสามารถเหนือกว่าระดับหนึ่ง หากประลองพิษ เช่นนั้นก็ช่างมันเสียเถิด“จะว่าไป ช่วงนี้เหมือนกระหม่อมจะได้ยินข่าวลือมาว่า หมอปีศาจราชันพิษเจ้าหมอนั่นอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”หลินจื่อฟูนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงพูดขึ้นมาลอย ๆเมื่อเป่ยเฉินหยวนได้ยินดังนั้นทำท่าทางครุ่นคิด “เจ้าพอมีหนทางติดต่อกับคนผู้นั้นหรือไม่?”“กระหม่อมมิได้สนิทกับเจ้าหมอนั่น!”เป่ยเฉินหยวนเหลือบมองเขา “เช่นนั้นก่อนหน้านี้เจ้าประลองฝ
“เรื่องวันนี้พอแค่นี้ ส่วนเรื่องหญ้าหญ้าคืนวสันต์ข้าจัดการเอง แต่คำพูดทั้งหมดเมื่อครู่นี้ ผู้ใดก็ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว”เป่ยเฉินหยวนหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นกดที่กระดูกบริเวณหว่างคิ้วในใจมีความจนปัญญาเล็กน้อยนังหนู ช่างใจกล้าเหลือเกินไม่รู้จักซ่อนความลับของตนเองให้ดี ๆ หน่อยเกาเย่าและคนอื่น ๆ มองหน้ากันไปมาหลินจื่อฟูจ้องมองสีหน้าของเป่ยเฉินหยวนแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ท่านไม่อยากตามหาคนผู้นั้นเพื่อสืบข่าวหญ้าหญ้าคืนวสันต์หรือพ่ะย่ะค่ะ?”เป่ยเฉินหยวนไม่ได้พูดอะไรหลินจื่อฟูเข้าใจท่าทางของเขาทันที “แต่ว่าท่านอ๋อง อาการป่วยของท่านยื้อไม่ได้นานนัก ยิ่งยื้อนาน ต่อไปเมื่อท่านอาการกำเริบขึ้นมาก็จะยิ่งทรมาน ในเมื่อหญ้าหญ้าคืนวสันต์นี้ส่งมาถึงตรงหน้าของพวกเราแล้ว เหตุใดท่านไม่ไปถามคนผู้นั้นโดยตรงเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ขอเพียงแค่ได้หญ้าหญ้าคืนวสันต์มาไว้ก่อน พวกเราก็เหลือเพียงหญ้าฝรั่นกลิ่นสุดท้าย ก็จะรวบรวมทั้งหมดครบแล้ว นี่ท่านยังมีความลังเลอันใดอยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ครั้งนี้เกาเย่าและคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของหลินจื่อฟู“ท่านอ๋อง ไ
นางดีใจขึ้นมาทันที แล้วก็รีบตักน้ำในลำธารขึ้นมา แล้วรดน้ำตรงนี้แล้วก็มองหญ้าหญ้าคืนวสันต์ที่อยู่ด้านข้าง ทุกต้นมีดอกไม้เล็ก ๆ กำลังบานสะพรั่ง ดูสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่งเวินซื่อกำลังยิ้มพลางจิ้มไปที่เกสรดอกไม้ดอกหนึ่งในนั้นทีหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มสำรวจสวนสมุนไพรอันกว้างใหญ่ของนางตอนที่เดินผ่านสมุนไพรแต่ละชนิด นางได้พลิกเปิดตำราสมุนไพรที่อยู่ในมือเพื่อเปรียบเทียบทีละชนิดแต่หนึ่งในนั้นมีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ทำให้นางเกิดความสนใจขึ้นมาเนื่องจากในตำราสมุนไพรมีการจดบันทึกสมุนไพรชนิดอื่นไว้อย่างค่อนข้างละเอียด มีเพียงบันทึกข้อความของสมุนไพรกลิ่นนี้เท่านั้น ที่นอกจากรูปร่างหน้าตาคร่าว ๆ แล้ว ก็มีเพียงชื่อและประวัติความเป็นมาเท่านั้น แม้แต่มีประสิทธิผลทางยาอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวไว้หญ้าฝรั่น มาจากต่างแคว้น...หลังจากที่เวินซื่อเปรียบเทียบครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้มั่นใจว่าสมุนไพรกลิ่นนี้ก็คือหญ้าฝรั่นน่าเสียดายที่ไม่รู้ประสิทธิผลทางยาหรือว่าจะลองชิมดูเสียหน่อย?ทันใดนั้นเวินซื่อก็ครุ่นคิดอย่างสงสัย แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้าสลัดความคิดนี้ของตนเองออกไปเสียช่างเถอะ ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพร
สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งถอนกลับจากภายนอกอย่างช้า ๆ เขาเหลือบมองขาของเวินจื่อเยวี่ยอย่างเฉยชา“ยังไม่รู้ว่าเป็นนางจริง ๆ หรือเปล่า แต่คาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับนางอย่างตัดไม่ขาด”“ข้ารู้อยู่แล้ว!”เวินจื่อเยวี่ยพูดอย่างโกรธเคือง “เวินซื่อจะไม่ปล่อยน้องหกไปแน่! คราวก่อนก็ใส่ร้ายน้องหกว่าขโมยกระดูกของท่านแม่ไป ตอนนี้แทนที่จะยอมรับผิดกลับเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ซ้ำยังกล้าโกหกและร้องเรียนต่อฝ่าบาท ทำให้น้องหกถูกขังไว้ในวัง!”เมื่อได้ยินคำพูดครึ่งแรกของเวินจื่อเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งก็นิ่งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง“ในเมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเวินซื่อ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปหานางอีกหรือ?”เวินอวี้จือขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยอยากจะไปพบเวินซื่อสักเท่าใด“ถ้าพวกเจ้าไม่อยากไป ก็สามารถไปหาพี่รองของพวกเจ้าได้”เวินเฉวียนเซิ่งเสนอความคิดให้พวกเขาอย่างเฉยชาเมื่อเวินอวี้จือได้ยินดังนั้น ก็ลูบคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรขึ้นมาเวินจื่อเยวี่ยลังเลเล็กน้อย “พี่รองเขาจะตอบตกลงไหม?”ครั้งที่แล้วตอนที่เวินจื่อเฉินออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง ก็เอะอะโวยวายกว่าพี่ใหญ่เสียอีกสีหน้ามีแว
“ท่านพ่ออีกคน ท่านก็เหมือนกัน ลูกรู้ว่าท่านลำเอียงเข้าข้างน้องหก แต่หัวใจของท่านก็อย่าเอนเอียงจนเกินไป!”เวินฉางอวิ้นจ้องเขม็งใส่บิดาท่านนี้ที่เขาเคยเคารพศรัทธามาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่เคยเป็นแบบอย่างที่เขาอยากเดินตาม แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าอะไร ๆ ล้วนไม่จริง!ตัวตนของน้องหกก็ไม่จริงความรู้สึกของพ่อที่มีต่อแม่ก็ไม่จริงยังมีภาพลักษณ์พี่ชายที่ดีที่สุดในเมืองหลวงของเขา ก็ไม่จริงเช่นกัน!เขาไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองแบบนั้น!เมื่อนึกขึ้นมาในตอนนี้ เขารู้สึกเสียใจมากจริง ๆทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวนี้ แต่กลับไม่ห้ามน้องสาวออกบวช และไม่ได้เกลี้ยกล่อมน้องชายที่ออกจากบ้านให้กลับมาบัดนี้เมื่อเขาได้สติในที่สุด ก็ได้สูญเสียน้องห้าและน้องรองไปแล้วเวินฉางอวิ้นมองดูน้องชายสองคนที่เหลืออยู่ในบ้าน มองดูพวกเขาเหมือนกับตัวเองเมื่อก่อนทุกประการ ท่าทางไม่มีสติเลยแม้แต่นิดเดียวเขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “น้องสาม น้องสี่ ดูแลครอบครัวนี้ให้ดี หากพวกเจ้ายังไม่ได้สติอีกล่ะก็ ครอบครัวนี้ก็จะแตกแยกจริง ๆ แล้ว!น่าเสียดายที่เวินจื่อเยวี่ยไม่เข้าใจเวินอวี้จือก็ไม่เข้าใจเช่นกันพวกเขามองพี่ใหญ่ท
การระเบิดคำถามอย่างกะทันหันของเวินฉางอวิ้น ทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือที่ตั้งใจจะคุยกับเวินจื่อเยวี่ยตกตะลึงไปเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเหลือบมองเวินฉางอวิ้นเวินจื่อเยวี่ยเปิดปาก อยากจะพูดบางอย่างเพื่อโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็แค่บ่นด้วยความอึดอัดใจ “นั่นจะโทษตัวนางก็ไม่ได้ และไม่ใช่พวกเราที่บีบบังคับให้นางออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงให้ได้นี่”เวินฉางอวิ้นยิ้มเยาะ โยนมาให้เขาแล้ว พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ “น้องสาม ดวงตาของเจ้าบอดแล้ว ข้าก็เช่นกัน พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน”“มีเพียงน้องรองเท่านั้นที่ได้สติแล้ว เขาเข้าใจทุกอย่าง ดังนั้นจึงไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่ยอมหวนกลับเหมือนน้องห้า”“ได้สติอะไร แค่ออกไปเป็นคนโง่เท่านั้นเอง”เวินจื่อเยวี่ยกล่าวอย่างไม่แยแส“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้แอบไปดูหรือ? เขาออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา แม้แต่ที่อยู่อาศัยของตัวเองยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงออกไปสร้างกระท่อมฟางโทรม ๆ เหมือนขอทาน นี่น่ะหรือได้สติอย่างที่พี่ใหญ่ว่า? ข้าว่าเขาเป็นแค่เรื่องขำขันมากกว่า”แต่เวินฉางอวิ้นกลับเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเวทนา“เจ้าบอกว่าน้องรองเสียสติ
จวนเจิ้นกั๋วกงห้องหนังสือ“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะปฏิบัติกับน้องหกแบบนี้!”“พวกท่านรู้ดีว่าวังหลังนั่นคือสถานที่อะไร รู้ดีว่าพระองค์เกรงกลัวจวนเจิ้นกั๋วกงของเราแค่ไหน พวกท่านยังกล้าวางใจทิ้งน้องหกไว้ที่นั่นอีก!”“ถ้าน้องหกอยู่ในวังถูกข่มเหงรังแกจะทำอย่างไร? หากพวกเราไม่ได้อยู่ใกล้ตัวนาง ใครจะสามารถปกป้องนางได้?!”“ได้ ได้! ในเมื่อพวกท่านไม่ไปหานาง ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป!”“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าวันนั้นหลังจากน้องหกตามพวกท่านเข้าวังไปแล้ว จะถูกพวกท่านทิ้งไว้ที่นั่นล่ะก็ ต่อให้ขาข้างนี้ของข้าต้องพิการก็จะตามพวกท่านเข้าวังไปด้วย!”สกุลเวินในเวลานี้เกิดการโต้เถียงใหญ่โตมาสองวันแล้ว เพราะเรื่องที่เวินเยวี่ยเข้าวังพูดให้ถูกก็คือ ส่วนใหญ่เป็นการโวยวายเพียงฝ่ายเดียวของเวินจื่อเยวี่ยเป็นหลักแม้ว่าเวินอวี้จือจะไม่เอะอะโวยวายเหมือนกับเวินจื่อเยวี่ย แต่ทุกครั้งเมื่อเวินจื่อเยวี่ยเสียงดัง โดยพื้นฐานเขาก็ยืนอยู่ข้างเวินจื่อเยวี่ยเสมอส่วนพ่อลูกคู่นี้เวินเฉวียนเซิ่งและเวินฉางอวิ้น ทั้งสองนั้นมีนิสัยใจคอเหมือนกัน ในตอนแรก ๆ ยังสามารถอดทนไว้ได้ อธิบายให้พวกเข้าฟังอย่างใจเย็น ไม่
เหลียงหมอมอคือคนเก่าคนแก่ที่อยู่ข้างกายองค์ไทเฮา และไทเฮาก็เจาะจงสั่งให้มาอบรมกฎเกณฑ์แก่เวินเยวี่ยดังนั้นนางจึงตอบปฏิเสธคำร้องขอของเวินเยวี่ยอย่างไม่ลังเล “ขออภัยด้วยคุณหนูหกสกุลเวิน เนื้อตัวของท่านมีกลิ่นอายชนบทมากเกินไป เพื่อให้ท่านได้เรียนรู้กฎเกณฑ์และกลายเป็นผู้สูงศักดิ์ในวังได้โดยเร็ว บ่าวจึงต้องเข้มงวดกับท่านเล็กน้อย”เมื่อได้ยินคำว่า “กลิ่นอายชนบทมากเกินไป” สีหน้าของเวินเยวี่ยก็บึ้งตึงขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวทันทีนังแก่นี่กล้าดูหมิ่นนางได้อย่างไร?เวินเยวี่ยกัดฟันด้วยความโกรธ พลางข่มไฟโทสะไว้ “แต่ว่าพระองค์ตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกเห็น หากข้าไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าในขณะที่เรียนรู้กฎเกณฑ์จากท่าน เกรงว่าหมอมอจะลำบากกระมัง?”ลูกไม้ตื้น ๆ แบบเวินเยวี่ยนี้ เหลียงหมอมอเคยเห็นมามากแล้วนางยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูหกสกุลเวิน คำพูดของท่านนั้นไม่ถูกต้อง”เวินเยวี่ยไม่แยแส “ตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง?”“ไม่มีตรงไหนถูกต้องเลย พระองค์ทรงตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเห็น ต้องการรับท่านเข้าวังในฐานะพระสนม ดังนั้นถึงให้ท่านเข้ามาเรียนรู้กฎเกณฑ์ในตำหนักของไทเฮา แต่ตอนนี้ท่านไม่เพียงแต่ไม่ตั้งใจเรียนรู
เวินฉางอวิ้นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ“ไม่ใช่ขนมอบถั่วเขียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นขนมกุ้ยฮวา?”รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินซื่อสดใสขึ้น แต่ก็เย็นชาลงเช่นกัน “ขนมกุ้ยฮวา พี่ใหญ่แน่ใจหรือ? คิดว่าเป็นขนมกุ้ยฮวาจริงหรือ? ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ลองเดาดูอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรทุกครั้งท่านก็เดาแม่นเช่นนี้เสมอ ทำไมไม่ลองดูหน่อยว่า น้องสาวที่น่ารำคาญอย่างข้าผู้นี้ มีของที่ไม่ชอบกินที่สุดมากน้อยแค่ไหนกันแน่?”ใบหน้าของเวินฉางอวิ้นซีดเผือดอีกครั้งในชั่วประเดี๋ยวเดียว“ช่างมันเถอะ ข้าชอบกินอะไรมันเกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่ด้วยเล่า เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ พี่ใหญ่จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”น้ำเสียงของเวินซื่อเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน “เพราะถึงอย่างไรต่อให้ข้าไม่กิน แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่ชอบกินอย่างไรเล่า พี่ใหญ่รีบห่อกลับไปให้น้องสาวสุดที่รักผู้นั้นที่ท่านรักสุดหัวใจเถิด”“ไม่ใช่นะ...น้องห้าเจ้าฟังพี่ใหญ่อธิบายก่อน พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจซื้อขนมอบถั่วเขียวที่เจ้าเกลียดมาให้ เพียงแต่ตอนนั้นซื้อไปโดย...จิตใต้สำนึก”เวินฉางอวิ้นร้อนใจจนพูดจาไม่คล่อง พูดถึงตอนท้ายเขาเองยังรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิมเมื่อคิดดูอย่างรอบคอบ ขนมอบถั
“หากข้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คน ขอให้ฟ้าผ่าลงทัณฑ์ข้า!”เวินฉางอวิ้นยืนรับรองอยู่ข้างนอกอารามสุ่ยเยว่เป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว ลำคอแทบแห้งผาก ซือไท่เหล่านั้นถึงผ่อนคลายลง รับปากว่าจะช่วยเข้าไปพูดให้เขาแต่น่าเสียดายเหล่าซือไท่รับปากว่าจะบอกให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเวินซื่อจะตกลงออกไป“ไม่ไป”แค่สองคำที่มีกลับมาถึงเบื้องหน้าเวินฉางอวิ้นเวินฉางอวิ้นมีหรือจะยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้“เหล่าซือไท่ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมน้องสาวของข้าอีกครั้ง ข้าแค่อยากเห็นหน้านางเท่านั้น”“ไม่ได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์บอกไปแล้วว่าจะไม่พบท่านก็คือไม่พบท่าน ท่านอย่ามาเสียเวลาที่นี่เลยดีกว่า รีบกลับไปเสียเถอะ”เหล่าซือไท่ที่ไม่ถูกชะตากับจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่แล้ว หลังจากส่งต่อคำพูดจบแล้วก็รีบขับไล่เขาทันที ไม่อยากให้เวินฉางอวิ้นอยู่หน้าอารามสุ่ยเยว่ของพวกนางนานไปกว่านี้แม้แต่นิดเดียวแต่พวกนางนึกไม่ถึงว่าวันนี้ขับไล่ไป แต่หลังจากนี้เวินฉางอวิ้นก็มาอีกทุกวันทันทีที่เสร็จงานในช่วงบ่าย ไม่ได้กลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงด้วยซ้ำก็ตรงมาที่อารามสุ่ยเยว่เลยมาเคาะประตูทุกวัน รบกวนจนเหล่าซือไท่หาความสงบสุขไม่ได้สุดท้ายก็ต้อ
“ท่าน วันนี้มาได้อย่างไร?”เวินซื่อมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยนางรู้ว่าวันเหมายันมาเยือนของทุกปีในราชสำนักจะมีงานเลี้ยงใหญ่ของเหล่าขุนนาง แต่ปีนี้นางไม่ได้ไปเพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่บุตรสาวภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้วฝ่าบาททรงส่งคนมาถามนาง แต่นางก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพเนื่องจากออกบวชเป็นชีแล้ว งานเลี้ยงสวดขอพรเหล่านั้นที่ไม่ต้องมีนางอยู่ด้วยก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่แล้วแม้ว่าฝ่าบาทจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็หลีกเลี่ยงคำนินทากาเลไม่ได้อยู่แล้วนางไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากใจให้ฝ่าบาทเกินไป“งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงความสนุกสนานหลังจากร่ำสุรา ช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ สู้มาหาท่านดื่มกันสักจอกดีกว่า”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “ข้าดื่มสุราไม่ได้”“ข้ารู้ ก็เลยนำชาอย่างดีมาให้ท่านจำนวนหนึ่ง”เป่ยเฉินหยวนชูถ้วยชาขึ้น พลางเชื้อเชิญนาง “ไม่ทราบว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยินดีดื่มกับข้าสักถ้วยหรือไม่?”เวินซื่อไม่ได้เห็นเขามีท่าทีจริงจังขนาดนี้มานานแล้ว จึงอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”สองคนนั่งลงด้วยกันเป่ยเฉินหยวนยื่นน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จเมื่อครู่ หลังจากปล่อยให้เย็นลงเ
“ทุกอย่าง?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วยหรือ?”“แน่นอน ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เหมาะกับการตบตีฆ่าฟัน แต่หม่อมฉันแตกต่างออกไป หม่อมฉันสามารถเป็นดาบที่คมที่สุดในมือของท่านอ๋อง เพื่อท่าน...”“ฉัวะ!”อันหลันซินยังไม่ทันพูดจบ กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาจากด้านข้างรถม้า เกือบจะเฉือนคอของอันหลันซินเหงื่อเย็นไหลลงมาบนหน้าผากของอันหลันซินทันทีข้างนอกรถ เป่ยเฉินหยวนดึงมือกลับ “กระบี่ในมือข้ามีมากมาย ไม่ได้ขาดเจ้า อีกอย่าง อย่าเอาเจ้าไปเปรียบเทียบกับอู๋โยว หากมีครั้งหน้า กระบี่นี้จะไม่แทงพลาดแล้ว”พูดจบ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังขึ้นม้า เหลือบมองรถม้าด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วสั่งเกาเย่า“เผาเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!”อันหลันซินที่แผนการยั่วยวนล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรก ในที่สุดก็ถูกเกาเย่าไล่ลงมาจากรถม้าและรถม้าคันนั้นก็ถูกเกาเย่าลากไปเผาทิ้งจริงๆ อันหลันซินที่รู้สึกได้ถึงความรังเกียจอย่างสิ้นเชิง ในใจของนางก็รู้สึกย่ำแย่มากแต่นางก็พอจะคาดการณ์ไว้บ้างแล้วเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกรังเกียจอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้แต่ถ้าเขาถูกนางยั่วยวนได้ง่ายเกินไป นา