จุดเปลี่ยนกะทันหันนี้ทำให้เวินซื่อยืนตะลึงอยู่ตรงที่เดิมนางไม่อยากจะเชื่อ “อาจารย์ ท่านๆๆ…ท่านบอกว่าท่านคือราชันพิษ? เช่นนั้นหมอปีศาจราชันพิษท่านนั้น?”ม่อโฉวซือไท่เลิกคิ้วเล็กน้อย ยกมือกล่าว “คนออกบวชไม่พูดปด”ราชวงศ์ต้าหมิงมีหมอเทวดาที่เลื่องชื่อสองท่านท่านหนึ่งเล่ากันว่าคือหลินจื่อฟู สามารถช่วยคนตายฟื้นคืนชีพ รักษาเนื้อและกระดูกงอกใหม่ส่วนอีกท่านคือหมอปีศาจราชันพิษที่เชี่ยวชาญการแพทย์และยาพิษชื่อเสียงของพวกเขา ต่อให้เป็นเวินซื่อที่อยู่เรือนส่วนหลังในอดีตก็เคยได้ยินในบรรดาสองท่านนี้ คนที่ลึกลับที่สุดย่อมหนีไม่พ้นหมอปีศาจราชันพิษท่านนี้ ลือกันว่าจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของหมอปีศาจราชันพิษแต่วันนี้นางรู้แล้ว!ใครจะคิดว่าหมอปีศาจราชันพิษที่ลึกลับ จะเป็นซือไท่เจ้าอาวาสของอารามชีที่ไม่สะดุดตาเลยสักนิด?“เช่นนั้นอาจารย์ ท่านจะสอนข้าเรียนพิษจริงหรือ?”“ทำไม เจ้าไม่ยินดี?”“ยินดีเจ้าค่ะ!”เวินซื่อกล่าวกระตือรือร้น “ศิษย์แค่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคดีเช่นนี้”ก่อนหน้านี้เป่ยเฉินหยวนยังเตือนนาง ทางที่ดีที่สุดหาใครสักคนที่สามารถชี้แนะจริงๆ มาสอนนางแต่ปราก
พวกเขาคิดเหมือนกันหมด ‘ถึงว่าฝ่าบาทจะเลือกนาง ปกติก็ไม่รู้สึกอะไร วันนี้พอตั้งใจดูดีๆ เวินซื่อคนนี้มีใบหน้าที่เกิดมาเพื่อเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ’ก็ได้ ขอเพียงต่อไปเวินซื่อยังคงอยู่ในกรอบในศีลขอพรเพื่อบ้านเมือง พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่สามารถยอมรับธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เวินซื่อยังไม่รู้ ด้วยใบหน้าของตัวเองก็ชนะใจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นั่งตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมั่นคงแล้ว“เสด็จอาท่านดู ธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่เราเลือกท่านนี้ไม่เลวกระมัง?”ฮ่องเต้น้อยย่อมไม่พลาดการแสดงออกที่ยอดเยี่ยมบนใบหน้าของเหล่าขุนนางและชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างในใจรู้สึกพอใจต่อเวินซื่อมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตามเขาแค่มอบโอกาสให้เวินซื่อ แต่จะสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับนางเองความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า ผลงานของนางไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ“สายพระเนตรของฝ่าบาทไม่เลวจริงๆ”เป่ยเฉินหยวนชมฮ่องเต้น้อยในเวลาที่เหมาะสมและยังพยักหน้าอย่างจริงจังด้วยความพยายามในช่วงที่ผ่านมาของเวินซื่อล้วนอยู่ในสายตาของเขา ในพิธีขอพร นางจำเป็นต้องท่องบทสวดขอพรเก้าชุด เพื่อแสดงความศรัทธายังไม่สามารถพลางดูพลางอ่
“ผู้หญิงท่าทางลับๆ ล่อๆ?”เวินซื่อชะงักเล็กน้อย “ข้างกายนางยังมีคนอื่นหรือไม่?”“ไม่มีเจ้าค่ะ แค่นางคนเดียว”เวินซื่อพยักหน้า “เช่นนั้นดี เจ้าซ่อนตัวก่อน อย่าให้ใครพบเห็น”“เจ้าค่ะ”จู๋เยวี่ยหายไปทันทีเวินซื่อจัดแจงเสื้อผ้าต่อ หลังจากจัดแจงเสร็จก็เดินออกไปข้างนอกเหมือนไม่รู้อะไรตอนที่จะก้าวข้ามประตูใหญ่นั้นเอง จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ปรากฏ เหวี่ยงตรงเข้ามาหานางโชคดีที่เวินซื่อมีการเตรียมตัวไว้ก่อน ผินหน้าก็หลบได้แล้วหลังจากนั้นพลิกมือเหวี่ยงใส่ใบหน้าอีกฝ่ายดัง ‘เพียะ’ เวินเยวี่ยตกเป็นฝ่ายที่เสียท่า กุมใบหน้ากล่าวด้วยความโกรธ “เวินซื่อ เจ้ากล้าตบข้า!”“ตบแล้วเจ้าจะทำไม?”เวินซื่อกล่าวเย้ยหยัน “เหมือนสมองของสีกาไม่ค่อยดี ต้องให้ข้าเตือนหน่อยหรือไม่? อย่างไรเสียข้าไม่ได้แค่เคยตบสีกา”“เจ้า!”เวินเยวี่ยอับอายจนโมโหทันที ยกมือคิดจะตบเวินซื่ออีกครั้งแต่เวินซื่อกลับเร็วกว่านาง แทบจะทันทีที่นางยกมือ เวินซื่อใช้มือซ้ายจับนาง มือขวาก็ตบกลับไปอย่างไม่ลังเล“เพียะ!”เสียงของฝ่ามือนี้ ชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้มากเวินเยวี่ยไม่ทันหลบด้วยซ้ำ ใบหน้าซ้ายขวาสมดุลทันทีเวินซื่อที่ตบได้หนำ
พลันการแสดงออกบนใบหน้าเวินเยวี่ยแข็งเล็กน้อยเพราะคำพูดของเวินซื่อ จี้โดนอารมณ์ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้สึกสีหน้าเวินเยวี่ยขรึมลงทันทีนางมองเวินซื่อด้วยสายตาเคร่งขรึม “ดังนั้นเจ้าตัดสินใจไม่กลับสกุลเวินแล้ว?”ถูกต้องแต่เวินซื่อไม่อยากให้เวินเยวี่ยอยู่อย่างมีความสุขนางยิ้มเล็กน้อย “ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียถ้าหากพวกท่านพ่อเปลี่ยนใจแล้ว เช่นนั้น ก็ใช่ว่าข้าจะไม่สามารถกลับไปเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกครั้ง”‘บุตรภรรยาเอก’ คำนี้มันแสบหูเวินเยวี่ยข้างนอก นางคือลูกสาวของผู้มีพระคุณที่เวินเฉวียนเซิ่งรับเลี้ยงแต่ในความเป็นจริง นางก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเวินเฉวียนเซิ่งเช่นกัน ทว่าไม่ใช่ลูกสาวภรรยาเอกของเวินเฉวียนเซิ่งและถึงขั้นไม่นับเป็นลูกอายุภรรยาด้วยซ้ำแต่เป็นแค่ลูกสาวนอกสมรสนอกเสียจากวันข้างหน้านางสามารถลบชื่อหลานจื่อจวิน มารดาของเวินซื่อออกจากบันทึกลำดับญาติสกุลเวินหลังจากนั้นเติมชื่อของมารดาตัวเองลงไป ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถก้าวข้ามเวินซื่อ กลายเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงและนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาติที่แล้ว เพราะเหตุใ
“โอ๊ย เรียกข้ามาแต่เช้าเช่นนี้จะทำอะไรเนี่ย?”“ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว ข้าว่าเจ้ารีบมาดูของสิ่งนี้ดีกว่า!”หลินจื่อฟูที่ถูกคนของจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเคาะประตูเรียกจนตื่น และยังถูกลากมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เดิมทียังงัวเงียเล็กน้อยแต่หลังจากเห็นของในกล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ตื่นตัวขึ้นมาทันที“สวรรค์! นี่ไม่ใช่เห็ดหลินจือสีม่วงหรือ!”หลินจื่อฟูกระโจนไปที่ข้างโต๊ะ หยิบเห็ดหลินจือที่อยู่ในกล่องไม้ขึ้นมาดูอย่างระมัดระวังทันที“ฮ่าๆๆ สีนี่ดีเกินไปแล้วกระมัง? พวกเจ้าไปได้ของดีเช่นนี้มาจากที่ใด?”หลินจื่อฟูตื่นเต้นจนตาลุกวาวแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้เห็ดหลินจือสีม่วงต้นนั้น ท่าทางที่ทะนุถนอมนั่นก็เหลือแค่จูบแล้ว“นี่เจ้าเลิกตื่นเต้นได้แล้ว รีบดูก่อนว่านี่ใช่เห็ดหลินจือสีม่วงอายุร้อยปีที่เจ้าพูดถึงหรือไม่?”เกาเย่าและคนอื่นร้อนใจจะตายอยู่แล้ว พากันเร่งเร้าเขามีเพียงเป่ยเฉินหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังนับว่าสงบหลินจื่อฟูกล่าวอย่างไม่ลังเล “มันแน่อยู่แล้ว! พวกเจ้าก็ไม่ดูเลยว่าดอกใหญ่เช่นนี้! เป็นเห็ดหลินจือสีม่วงร้อยปีไม่ผิดแน่!”“เยี่ยมไปเลย!”เกาเย่าและคนอื่นดีใจจนแทบกระโดด“ท่า
ไฉนเลยที่เป่ยเฉินหยวนจะไม่รู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของเขา กล่าวเรียบ ๆ “ไม่ผิด นางกำลังเรียนวิชาแพทย์อยู่ แต่สิ่งที่นังหนูนั้นอยากเรียนจริง ๆ ก็คือพิษ เจ้ามีความรู้ด้านพิษหรือ?”“พิษ...พอมีความรู้เล็กน้อย? เอาเถอะ ก็ไม่ได้มีความรู้มากเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเอ่ยถึงยาพิษ หลินจื่อฟูสีหน้าเศร้าซึมลงไปทันทีถึงแม้ว่าเขาจะถูกขนานนามว่าเป็นนักปราชญ์แห่งการแพทย์ที่สามารถทำคนตายให้ฟื้น ทำกระดูกให้มีเลือดเนื้อ แต่เขาไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านพิษสักเท่าใด“หากจะกล่าวว่าผู้ที่เชี่ยวชาญด้านยาพิษมากที่สุดคงจะต้องเป็นหมอปีศาจราชันพิษนั่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หากประลองฝีมือทางการรักษากับคนผู้นั้น เขายังสามารถเหนือกว่าระดับหนึ่ง หากประลองพิษ เช่นนั้นก็ช่างมันเสียเถิด“จะว่าไป ช่วงนี้เหมือนกระหม่อมจะได้ยินข่าวลือมาว่า หมอปีศาจราชันพิษเจ้าหมอนั่นอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”หลินจื่อฟูนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงพูดขึ้นมาลอย ๆเมื่อเป่ยเฉินหยวนได้ยินดังนั้นทำท่าทางครุ่นคิด “เจ้าพอมีหนทางติดต่อกับคนผู้นั้นหรือไม่?”“กระหม่อมมิได้สนิทกับเจ้าหมอนั่น!”เป่ยเฉินหยวนเหลือบมองเขา “เช่นนั้นก่อนหน้านี้เจ้าประลองฝ
“เรื่องวันนี้พอแค่นี้ ส่วนเรื่องหญ้าหญ้าคืนวสันต์ข้าจัดการเอง แต่คำพูดทั้งหมดเมื่อครู่นี้ ผู้ใดก็ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว”เป่ยเฉินหยวนหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นกดที่กระดูกบริเวณหว่างคิ้วในใจมีความจนปัญญาเล็กน้อยนังหนู ช่างใจกล้าเหลือเกินไม่รู้จักซ่อนความลับของตนเองให้ดี ๆ หน่อยเกาเย่าและคนอื่น ๆ มองหน้ากันไปมาหลินจื่อฟูจ้องมองสีหน้าของเป่ยเฉินหยวนแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ท่านไม่อยากตามหาคนผู้นั้นเพื่อสืบข่าวหญ้าหญ้าคืนวสันต์หรือพ่ะย่ะค่ะ?”เป่ยเฉินหยวนไม่ได้พูดอะไรหลินจื่อฟูเข้าใจท่าทางของเขาทันที “แต่ว่าท่านอ๋อง อาการป่วยของท่านยื้อไม่ได้นานนัก ยิ่งยื้อนาน ต่อไปเมื่อท่านอาการกำเริบขึ้นมาก็จะยิ่งทรมาน ในเมื่อหญ้าหญ้าคืนวสันต์นี้ส่งมาถึงตรงหน้าของพวกเราแล้ว เหตุใดท่านไม่ไปถามคนผู้นั้นโดยตรงเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ขอเพียงแค่ได้หญ้าหญ้าคืนวสันต์มาไว้ก่อน พวกเราก็เหลือเพียงหญ้าฝรั่นกลิ่นสุดท้าย ก็จะรวบรวมทั้งหมดครบแล้ว นี่ท่านยังมีความลังเลอันใดอยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ครั้งนี้เกาเย่าและคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของหลินจื่อฟู“ท่านอ๋อง ไ
นางดีใจขึ้นมาทันที แล้วก็รีบตักน้ำในลำธารขึ้นมา แล้วรดน้ำตรงนี้แล้วก็มองหญ้าหญ้าคืนวสันต์ที่อยู่ด้านข้าง ทุกต้นมีดอกไม้เล็ก ๆ กำลังบานสะพรั่ง ดูสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่งเวินซื่อกำลังยิ้มพลางจิ้มไปที่เกสรดอกไม้ดอกหนึ่งในนั้นทีหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มสำรวจสวนสมุนไพรอันกว้างใหญ่ของนางตอนที่เดินผ่านสมุนไพรแต่ละชนิด นางได้พลิกเปิดตำราสมุนไพรที่อยู่ในมือเพื่อเปรียบเทียบทีละชนิดแต่หนึ่งในนั้นมีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ทำให้นางเกิดความสนใจขึ้นมาเนื่องจากในตำราสมุนไพรมีการจดบันทึกสมุนไพรชนิดอื่นไว้อย่างค่อนข้างละเอียด มีเพียงบันทึกข้อความของสมุนไพรกลิ่นนี้เท่านั้น ที่นอกจากรูปร่างหน้าตาคร่าว ๆ แล้ว ก็มีเพียงชื่อและประวัติความเป็นมาเท่านั้น แม้แต่มีประสิทธิผลทางยาอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวไว้หญ้าฝรั่น มาจากต่างแคว้น...หลังจากที่เวินซื่อเปรียบเทียบครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้มั่นใจว่าสมุนไพรกลิ่นนี้ก็คือหญ้าฝรั่นน่าเสียดายที่ไม่รู้ประสิทธิผลทางยาหรือว่าจะลองชิมดูเสียหน่อย?ทันใดนั้นเวินซื่อก็ครุ่นคิดอย่างสงสัย แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้าสลัดความคิดนี้ของตนเองออกไปเสียช่างเถอะ ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพร
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว