“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ? ข้าเคยพูดตอนไหนว่าจะไม่เอาเจ้าแล้ว?!”เวินเฉวียนเซิ่งโกรธจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที กล่าวตำหนินางด้วยความผิดหวัง “เจ้าดูเรื่องวุ่นวายที่เจ้าก่อไว้ในช่วงหลายวันมานี้สิ! มีเรื่องไหนที่ข้าไม่ได้ตามไปสะสางให้เจ้าบ้าง? แต่ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปแล้วจริงๆ! หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าที่เป็นเจิ้นกั๋วกงก็จะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องที่จะไปพบแม่ของเจ้า ใช้คำพูดแบบนี้มาข่มขู่ข้า!”พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ หันหลังให้ ทำท่าทางไม่อยากพูดอะไรกับเวินเยวี่ยมากไปกว่านี้อีกเวินเยวี่ยร้อนใจขึ้นมาทันที “ไม่...ไม่ใช่แบบนั้นท่านพ่อ เยวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ข่มขู่ท่านจริงๆ เยวี่ยเอ๋อร์แค่กลัวว่าท่านพ่อจะทิ้งเยวี่ยเอ๋อร์ไปจริงๆ จึงพูดผิดไปเพราะความใจร้อน ท่านพ่อโปรดอย่าโกรธเลย เยวี่ยเอ๋อร์สำนึกผิดแล้วจริงๆ!”นางพูดไปพลางร้องไห้ไปพลางตั้งแต่เด็กนางได้ยินคนพูดว่า นางไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมารดาของนางในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ตอนร้องไห้ก็ยังเหมือนกันมากรูปลักษณ์ที่น่าสงสารนั้นเหมือนกับตอนที่นางตกหลุมรักใครบางคนเป็นครั้งแรกเมื่อยังเยาว์วัย จะไม่ทำให้เวินเฉวียนเซิ
เนื่องจากการสักการะครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า ดังนั้นเวินซื่อและบรรดาซือไท่จากอารามสุ่ยเยว่จึงไม่ได้มาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสักการะแล้ว ก็มีการจัดงานเลี้ยงรับรองในวังขุนนางทุกคนต่างพาครอบครัวและบุตรหลานมาร่วมงานเลี้ยงในงานเลี้ยง เนื่องจากวันนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงฉลองเทศกาล กฎระเบียบจึงไม่เข้มงวด และบรรยากาศก็มีชีวิตชีวามากฮ่องเต้น้อยประทับอยู่ด้านบน ทอดพระเนตรการแสดงเบื้องล่างร่วมกับไทเฮาส่วนบรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างจับกลุ่มกัน พูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นคนมากมายขนาดนี้ เวินเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะอยากไปหาใครสักคนคุยเล่นด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมาถูกขังอยู่ในห้องมาโดยตลอด ทำเอานางอัดอั้นตันใจแทบแย่ดังนั้น เวินเยวี่ยจึงมองไปที่เวินเฉวียนเซิ่งที่กำลังคุยกับลูกน้อง ก่อนจะหันหลังเดินไปยังบริเวณที่เหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางต่างๆ อยู่“เอ๊ะ พวกเจ้าอยู่ที่นี่...” ทำอะไรกัน?เวินเยวี่ยกำลังจะเอ่ยปากทักทายพวกนาง ก็ได้ยินหญิงสาวคนหนึ่งที่หันหลังให้นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบา“เฮ้อ มิใช่บอกว่าวันนี้เวินซื่อจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือ? เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่ม
เวินเยวี่ยไม่คิดว่าตัวเองจะถูกคนอื่นพูดถึงในทางที่ไม่ดี แถมพวกนางยังกล้าที่จะใส่ร้ายป้ายสีนางอีก?!เวินเยวี่ยโกรธจนเอ่ยถามขึ้นมาทันที “พวกเจ้าเป็นคนของคนตระกูลไหน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยเจอพวกเจ้า? คงจะเป็นพวกตระกูลขุนนางเล็กๆ ถึงได้กล้าพูดจาใส่ร้ายป้ายสีข้าแบบนี้!”เวินเยวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่า บุตรสาวตระกูลขุนนางเหล่านี้ ดูเหมือนนางจะไม่เคยเห็นมาก่อนเนื่องจากตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง เวินเยวี่ยได้พบแต่ขุนนางใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีอำนาจและมีอิทธิพล แต่ท้ายที่สุดก็เทียบกับท่านพ่อของนางไม่ได้ ดังนั้นบุตรสาวของพวกเขาจึงคอยประจบประแจงนางทว่าบรรดาเด็กสาวที่เห็นในตอนนี้ กลับดูไม่เหมือนบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อดังนั้น เวินเยวี่ยจึงคิดไปเองว่าพวกนางเป็นบุตรสาวของขุนนางต่ำต้อยพวกนั้น ซึ่งปกติแล้วไม่มีคุณสมบัติพอที่จะก้าวเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงความดูถูกเหยียดหยาม “ตอนนี้ข้าเห็นแก่หน้าท่านพ่อของพวกเจ้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าก้มหัวขอโทษข้าเสียดีๆ ไม่เช่นนั้นข้า
สิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ภายใต้น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักก็คือ เจ้าในฐานะบุตรสาวของเจิ้นกั๋วกงที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น กลับวิ่งไปหาคุณหนูจากตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ นี่มิใช่การหาเรื่องโดนรังแกเองหรือ?จริง ๆ แล้ว จวนเจิ้นกั๋วกงในอดีตไม่ได้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่กลับเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เพียงแต่ภายหลังเวินเฉวียนเซิ่งที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งมา ได้เลือกทางเดินเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ประกอบกับการร่วมมือกับสกุลหลาน อาศัยเส้นสายของสกุลหลานที่ปูทางไว้อย่างดีในหมู่ขุนนางฝ่ายบุ๋น ทำให้เส้นทางนี้จึงง่ายดายอย่างมากดังนั้น เวินเฉวียนเซิ่งจึงนำพาจวนเจิ้นกั๋วกงให้กลายเป็นผู้นำของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นโดยปริยายและขุนนางฝ่ายบู๊ก็มักจะต่อต้านขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวินเฉวียนเซิ่งที่ทรยศพวกเขาขุนนางฝ่ายบู๊ จึงยิ่งเกลียดชังมากขึ้นไปอีกดังนั้น ไม่ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะรุ่งเรืองแค่ไหน พวกขุนนางฝ่ายบู๊ก็ไม่มีทางเหยียบย่างเข้าไปในจวนของพวกเขาแม้เพียงครึ่งก้าวถึงแม้ว่าการทำเช่นนี้มีโอกาสที่จะทำให้เวินเฉวียนเซิ่งขุ่นเคือง แต่พวกเขาขุนนางฝ่ายบู๊ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครหนุนหลังลองดูท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนของพวก
ดังนั้น ในงานเลี้ยงต่อจากนี้ เวินเยวี่ยจึงได้สัมผัสประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้ง เดินไปที่ไหนก็โดนกลั่นแกล้งที่นั่นเวินเยวี่ยแทบจะระเบิดความโกรธออกมาแล้วทว่าบุตรสาวของขุนนางฝ่ายบู๊ที่คิดอะไรตื้นๆ แต่ร่างกายแข็งแรงพวกนั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ถึงได้เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามนางสารพัด ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ก็แค่พูดจาดูถูกนาง ไม่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายหลังจากที่ทำให้เวินเยวี่ยโกรธจนควันออกหู พวกนางก็จากไปอย่างสบายใจจากนั้นก็มีคนกลุ่มใหม่เดินเข้ามาอย่างสบายๆ ...หลังจากผ่านไปสามถึงห้ากลุ่ม ในที่สุดเวินเยวี่ยก็ตระหนักได้ว่าวันนี้คนพวกนี้วางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว!หากนางออกไปอีก ก็คงจะโดนพวกนางดักรออยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วกลั่นแกล้งนางด้วยคำพูดดังนั้น เวินเยวี่ยจึงข่มความโกรธนั่นเอาไว้ และนั่งอยู่ที่งานเลี้ยงไม่ไปไหนแล้วที่นี่มีฮ่องเต้อยู่ มีไทเฮาอยู่ มีท่านพ่อและพี่ใหญ่ของนางอยู่ ดูสิว่าใครจะกล้ารังแกนางอีก!แต่เวินเยวี่ยไม่รู้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นหลังจากที่นางกลับมานั่งลงแล้ว ผ่านไปไม่นานนัก ฮ่องเต้น้อยที่อยู่ด้านบนของงานเลี้ยงก็ทอดพระเนตรมาที่นาง หลังจากที่มองน
บนพระพักตร์ของฮ่องเต้น้อยเผยรอยยิ้มพอพระทัยออกมาทันที“ดีมาก”เขาพยักหน้า แต่คำพูดก็เปลี่ยนไปว่า “แต่ท่านพ่อของเจ้าบอกว่าเจ้าเกิดในชนบท ไม่รู้จักกฎระเบียบ หากอยากเป็นสนมของเรา ข้อนี้เกรงว่าจะลำบากเล็กน้อย...”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่มือข้างหนึ่งเท้าคาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่จริงๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวินเยวี่ยก็รีบกล่าวว่า “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเพคะ! ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าจะให้หม่อมฉันเรียนรู้กฎระเบียบกับไทเฮาหรือเพคะ? หม่อมฉันจะตั้งใจเรียนรู้ เพื่อที่จะได้เป็นสนมของฝ่าบาทโดยเร็ว!”ขณะที่นางเอ่ยขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเล็กน้อยในใจท่านพ่อก็จริงๆ เลย!ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ เหตุใดจึงต้องทูลเรื่องไม่ดีของนางกับฝ่าบาทด้วย?หากฝ่าบาททรงเปลี่ยนใจเพราะเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร?เช่นนั้นนางจะไม่พลาดโอกาสนี้ไปหรอกหรือ?!เวลานี้ในใจของเวินเยวี่ยทั้งบ่นทั้งกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้โชคดีที่ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของนาง ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยอีกครั้ง “ดี เจ้าเป็นสตรีที่รู้ความจริงๆ เช่นนั้นตั้งแต่วั
“ทุกอย่าง?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วยหรือ?”“แน่นอน ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เหมาะกับการตบตีฆ่าฟัน แต่หม่อมฉันแตกต่างออกไป หม่อมฉันสามารถเป็นดาบที่คมที่สุดในมือของท่านอ๋อง เพื่อท่าน...”“ฉัวะ!”อันหลันซินยังไม่ทันพูดจบ กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาจากด้านข้างรถม้า เกือบจะเฉือนคอของอันหลันซินเหงื่อเย็นไหลลงมาบนหน้าผากของอันหลันซินทันทีข้างนอกรถ เป่ยเฉินหยวนดึงมือกลับ “กระบี่ในมือข้ามีมากมาย ไม่ได้ขาดเจ้า อีกอย่าง อย่าเอาเจ้าไปเปรียบเทียบกับอู๋โยว หากมีครั้งหน้า กระบี่นี้จะไม่แทงพลาดแล้ว”พูดจบ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังขึ้นม้า เหลือบมองรถม้าด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วสั่งเกาเย่า“เผาเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!”อันหลันซินที่แผนการยั่วยวนล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรก ในที่สุดก็ถูกเกาเย่าไล่ลงมาจากรถม้าและรถม้าคันนั้นก็ถูกเกาเย่าลากไปเผาทิ้งจริงๆ อันหลันซินที่รู้สึกได้ถึงความรังเกียจอย่างสิ้นเชิง ในใจของนางก็รู้สึกย่ำแย่มากแต่นางก็พอจะคาดการณ์ไว้บ้างแล้วเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกรังเกียจอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้แต่ถ้าเขาถูกนางยั่วยวนได้ง่ายเกินไป นา
“ท่าน วันนี้มาได้อย่างไร?”เวินซื่อมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยนางรู้ว่าวันเหมายันมาเยือนของทุกปีในราชสำนักจะมีงานเลี้ยงใหญ่ของเหล่าขุนนาง แต่ปีนี้นางไม่ได้ไปเพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่บุตรสาวภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้วฝ่าบาททรงส่งคนมาถามนาง แต่นางก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพเนื่องจากออกบวชเป็นชีแล้ว งานเลี้ยงสวดขอพรเหล่านั้นที่ไม่ต้องมีนางอยู่ด้วยก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่แล้วแม้ว่าฝ่าบาทจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็หลีกเลี่ยงคำนินทากาเลไม่ได้อยู่แล้วนางไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากใจให้ฝ่าบาทเกินไป“งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงความสนุกสนานหลังจากร่ำสุรา ช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ สู้มาหาท่านดื่มกันสักจอกดีกว่า”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “ข้าดื่มสุราไม่ได้”“ข้ารู้ ก็เลยนำชาอย่างดีมาให้ท่านจำนวนหนึ่ง”เป่ยเฉินหยวนชูถ้วยชาขึ้น พลางเชื้อเชิญนาง “ไม่ทราบว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยินดีดื่มกับข้าสักถ้วยหรือไม่?”เวินซื่อไม่ได้เห็นเขามีท่าทีจริงจังขนาดนี้มานานแล้ว จึงอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”สองคนนั่งลงด้วยกันเป่ยเฉินหยวนยื่นน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จเมื่อครู่ หลังจากปล่อยให้เย็นลงเ
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว