ยังไม่ทันที่เวินซื่อจะได้เอ่ยขึ้น เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นก่อนก่อนหน้านี้ใช่ว่าราชวงศ์ต้าหมิงจะไม่เคยเผชิญภัยแล้ง พิธีขอฝนก็จัดขึ้นแล้วหลายครั้ง แต่ล้วนจัดขึ้นในเมืองหลวงฮ่องเต้น้อยถอนหายใจ “เพื่อให้ราษฎรวางใจ”ปีนี้ภัยแล้งของจินโจวกินเวลายาวนานถึงสามเดือน ต่อให้ทางราชสำนักส่งความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เสบียงอาหารไม่ขาด ทว่าภัยแล้งที่ยาวนานท้ายที่สุดอาจทรมานจนทำให้กลายเป็นบ้าในเวลาอย่างนี้สมควรจัดพิธีขอฝนที่ทำให้ใจราษฎรสงบ อย่างน้อยถือว่าให้ความหวังราษฎรบ้างดังนั้นในยามนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงที่ปรากฏตัวกะทันหันจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผู้ว่าเมืองจินโจวทันทีพิธีขอฝนซึ่งประกอบพิธีโดยธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงคนแรกของราชวงศ์ต้าหมิง เพื่อขอพรให้ราษฎรชาวจินโจว ย่อมต้องปลอบประโลมจิตใจของเหล่าราษฎรจินโจวได้แน่นอนหลังจากเข้าใจเหตุผลแล้ว เวินซื่อพยักหน้ารับเรื่องนี้อย่างไม่ลังเล“ฝ่าบาทไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ ขอพรเพื่อบ้านเมืองขอพรเพื่อราษฎร เป็นหน้าที่ของธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างหม่อมฉันอยู่แล้ว อย่างไรหม่อมฉันเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาทแต่งตั้งด้วยพระองค์เองนะเพคะ”บรรดาศั
หลังมีราชโองการ ในไม่ช้าคนทั่วทั้งเมืองหลวงจึงได้รับรู้ ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงจะเดินทางไปขอฝนให้ชาวจินโจวในอีกหนึ่งวันให้หลังภายในเมืองเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยชาวบ้านรากหญ้าก็อวยพรเวินซื่ออย่างจริงใจหวังว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้มีเมตตาคนนี้ จะเดินทางไปและกลับมาอย่างปลอดภัยเพราะในสายตาของพวกเขา ยามนี้แม้แต่ขุนนางที่ยอมเดินทางไปเขตประสบภัยมีน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีอ่อนแอคนหนึ่งทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังก้าวออกมาซึ่งมีความกล้าหาญมาก อีกทั้งยังมีจิตเมตตาคงมีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริงจึงทำเช่นนี้ได้กระมัง?ขณะนี้เวินซื่อที่มีเมตตานั่งอยู่บนรถม้า บนใบหน้าที่งดงามสีหน้าย่ำแย่มากนอกรถม้า เป่ยเฉินหยวนขี่ม้าเข้ามาใกล้หน้าต่างรถม้า พร้อมเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำจากภายนอก“โกรธหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนถามนางเวินซื่อส่ายหน้าทันใด แต่เมื่อส่ายหน้าเสร็จแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเป่ยเฉินหยวนมองไม่เห็นนางจึงเอ่ยขึ้น “ไม่โกรธหรอก เพียงแต่วันนี้บุตรสาวของท่านราชเลขาฝ่ายขวาที่ฝ่าบาทเอ่ยถึง เคยเป็นสหายข
เมื่อความคิดที่สองผุดขึ้น คนแรกที่แวบผ่านเข้ามาในหัวของเวินซื่อก็คือเวินเยวี่ยนอกจากนาง เวินซื่อนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครใช้โอกาสนี้เล่นงานนางอีกหนำซ้ำยังหลอกใช้อันหลันซินเวินซื่อหลุบตาลงเล็กน้อย ในแววตามีความหม่นหมองแวบผ่านหลังจากกลับไปถึงอารามสุ่ยเยว่ม่อโฉวซือไท่รีบมาหานาง ใบหน้าที่ยามปกติมีแต่ความเข้มงวดยามนี้เต็มไปด้วยความกังวล“อู๋โยว ทำไมจึงต้องไปจินโจวให้ได้ล่ะ? พิธีขอฝนในครั้งก่อนล้วนจัดขึ้นที่เมืองหลวงไม่ใช่หรือ?”ม่อโฉวซือไท่ก็เอ่ยถามความสงสัยเช่นเดียวกับเป่ยเฉินหยวนเวินซื่อหัวเราะพร้อมจับมือม่อโฉวซือไท่ “ฝ่าบาทแจ้งชัดเจนแล้ว ครั้งนี้ภัยแล้งที่จินโจวหนักหนาสาหัส เดินทางไปจินโจวเพื่อปลอบประโลมราษฎรให้มากขึ้น แต่อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนคุ้มกันข้าไปด้วยตัวเอง ตลอดทางน่าจะไม่มีอันตรายใดเจ้าค่ะ”เวินซื่อแค่พูดไปตามสิ่งที่ปรากฏผิวเผินไม่ได้บอกม่อโฉวซือไท่ ว่าความจริงพิธีขอฝนในครั้งนี้อาจเป็นกับดักที่ผู้อื่นวางแผนเอาไว้สำหรับนางนางจำเป็นต้องไปร่วมพิธีขอฝนให้ได้แต่คนที่อยากอาศัยโอกาสนี้ทำร้ายนางก็อย่าคิดจะสมหวังห
ระหว่างทางกลับ เวินซื่อซบลงบนหลังจู๋เยวี่ย โอบกอดนางเบาๆนายบ่าวทั้งสองต่างเข้าใจตรงกันว่าจะไม่พูดถึงความลับเมื่อครู่นี้คนหนึ่งเปิดเผยความลับ ส่วนอีกคนก็เก็บงำความลับให้นางหลังจากที่กลับถึงอารามสุ่ยเยว่ ท้องฟ้าก็สว่างแล้วจริงๆเวินซื่อจึงไม่ได้กลับไปนอนอีกนางดื่มน้ำทิพย์ในมิติเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ตนเอง ก่อนที่เป่ยเฉินหยวนจะมาถึง นางก็เรียกจู๋เยวี่ยออกมาอีกครั้งเพราะนางตั้งใจจะมอบหมายงานอย่างหนึ่งให้จู๋เยวี่ย“จู๋เยวี่ย ก่อนหน้านี้เจ้าน่าจะเคยเห็นองครักษ์ลับที่อยู่ข้างกายเจิ้นกั๋วกงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง รับมือได้หรือไม่?”จู๋เยวี่ยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้น หลังจากที่ข้าออกเดินทางไปพร้อมกับรถม้าของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนหนึ่งวันแล้ว เจ้าช่วยไปลักพาตัวคนคนหนึ่งที่จวนเจิ้นกั๋วกงมาให้ข้าที”“เจ้าค่ะ”จู๋เยวี่ยพยักหน้ารับคำโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าเป็นใครเวินซื่อยิ้ม “คนผู้นั้นเจ้าเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว ก็คือเวินเยวี่ย ตอนนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ นางน่าจะนอนอยู่บนเตียงไม่สามารถขยับได้ เจ้าช่วยพานางมาให้ข้า อย่าให้ผู้ใดพบเห็น”“อู๋โยววางใจเถิด”หลังจากมอบหม
สีหน้ากังวลบนใบหน้าของเวินฉางอวิ้นไม่ได้เสแสร้งเขาเป็นห่วงเวินซื่อที่จะต้องไปที่จินโจวมากจริงๆ แต่เขาก็มักจะประเมินความตั้งใจของเวินซื่อต่ำเกินไปทุกครั้ง“คุณชายใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว การเดินทางไปจินโจวครั้งนี้เป็นความตั้งใจของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายืนกรานที่จะไป ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจข้าได้”“น้องห้า! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เวินฉางอวิ้นก็ไม่สามารถเข้าใจนางได้จริงๆ “สถานที่อันตรายเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องไปด้วย?! เหมือนกับตอนที่พี่ใหญ่เคยเตือนเจ้า เจ้าก็ไม่เคยฟัง ไม่ยอมกลับบ้าน และไม่ยอมหันหลังกลับ!”“แม้ว่าเจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ละจากทางโลก จะไปลำบากที่อารามแม่ชีนั่นก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้จินโจววุ่นวายมากแค่ไหน?!”“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว ตามพี่ใหญ่กลับไปเถอะ!”เวินฉางอวิ้นไม่อยากเห็นเวินซื่อไปจินโจว เขาพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี แต่น่าเสียดายที่เวินซื่อมีเพียงความเฉยเมยต่อคำพูดเหล่านี้ของเขา“ข้าได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีก และ
เนื่องจากเวินซื่อไม่อยากถูกใครรบกวน หลังจากนั้นหากมีใครคิดจะมาหาเวินซื่ออีก ก็ถูกเป่ยเฉินหยวนสั่งให้คนขวางไว้ ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้เวินซื่อนั่งอยู่ในรถม้า บางครั้งก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าฉีเซิ่งจากจวนเสนาบดีนั่นจะมาและก็มีชุยเส้าเจ๋อที่ปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่สิ่งที่เวินซื่อไม่รู้ก็คือ ในบรรดาคนที่มาร่วมส่งนาง ยังมีอันหลันซินอีกคนมองรถม้าและกองทัพที่เคลื่อนตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อันหลันซินที่ยืนอยู่หลังต้นไม้กับสาวใช้คนสนิท ก็มองตามด้วยสายตาเหม่อลอย“อาซื่อ เจ้าคงลืมข้าไปนานแล้วสินะ? แต่เจ้าลืมข้าได้อย่างไรกัน?”อันหลันซินหัวเราะเยาะตัวเอง“นางเคยบอกว่าต่อไปพวกเราจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดาย ในใจของเจ้าข้าไม่มีวันเทียบกับหลินเมี่ยวฉือได้”อันหลันซินพึมพำกับตัวเอง แม้แต่เลือดที่ไหลออกมาจากมือที่จิกเปลือกไม้อย่างแรง นางก็ไม่ได้สนใจนางเพียงแต่มองไปยังทิศทางที่เวินซื่อจากไป “ไปเถอะ ไปเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่จินโจวให้ดี รอวันที่เจ้ากลับมา เจ้าจะนึกถึงข้าขึ้นมาอีกครั้ง”หลังจากพูดจบ อันหลันซินก็หันหลังออกไปจากที่นี่……รถม้าเคลื่อนตัวออกห่า
เวินซื่อพยักหน้าอย่างว่าง่ายรอจนกระทั่งเขาออกจากห้องไปเลี้ยวขวาและเข้าไปในห้องของตัวเองแล้ว เวินซื่อจึงปิดประตูแล้วเริ่มเก็บของไม่นานนัก ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนก็มาเคาะประตู“อู๋โยว เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งให้นางลงไปกินข้าวได้แล้วเวินซื่อที่เพิ่งปูเตียงเสร็จ “...”ก็ได้ เมื่อเทียบกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่มักจะออกไปรบข้างนอก ความเร็วของนางช้ากว่าเล็กน้อยจริงๆ ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยเก็บก็ได้“มาแล้วๆ ”เวินซื่อเปิดประตูเดินออกมา “ไปกันเถอะ ข้างบนนี้ยังได้กลิ่นอาหารมาจากข้างล่างเลย ดูเหมือนว่าจะทำเสร็จแล้ว”ตอนนี้นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาพอดีจริงๆ เป่ยเฉินหยวนยิ้ม “ลืมบอกท่านไปเลย ในกล่องไม้บนรถม้ามีขนมอยู่เล็กน้อย ถ้าท่านหิวก็หยิบออกมากินได้”เวินซื่อนั่งรถม้ามาทั้งวัน กลับไม่พบเรื่องนี้จริงๆ ที่สำคัญรถม้าคันนั้นก็ไม่ใช่ของนาง คงไม่ดีที่จะไปค้นหาของในรถม้าของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง เวินซื่อก็พบว่าบรรยากาศรอบตัวของเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนเป็นน่าเกรงขามขึ้นนางเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มีแขก
“เหตุใดจึงไม่กินเนื้อเลยสักนิด? กินแต่ผัก?”เป่ยเฉินหยวนทานข้าวอย่างรวดเร็วมาก หลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ก็จ้องมองเวินซื่อกินข้าวตลอดพอจ้องมองอยู่แบบนี้ก็พบความผิดปกติ นังหนูคนนี้คีบแต่ผัก ทั้งซ้ายทีขวาที ไม่คีบเนื้อเลยไม่กินเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียวทันใดนั้น เป่ยเฉินหยวนก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ท่านไม่ชอบกินเนื้อที่นี่หรือ?”เวินซื่อส่ายหน้า ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือ ตอนนี้ข้าเป็นนักบวชนะ นักบวชกินเนื้อไม่ได้”เนื่องจากตอนนี้เวินซื่อไม่ได้สวมชุดสีฟ้าทะเล แต่เป็นชุดธรรมดา ดังนั้นเป่ยเฉินหยวนจึงไม่ได้นึกขึ้นได้ในทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของนาง จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิมเดิมทีนังหนูก็ตัวผอมอยู่แล้ว ทั้งผอมทั้งเล็ก ยังไม่กินเนื้ออีก ร่างกายจะเติบโตเต็มที่ได้อย่างไร?“กินไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”เวินซื่อส่ายหน้า “กินไม่ได้”เป่ยเฉินหยวนพูดจาหว่านล้อม “ที่นี่ไม่ใช่อารามสุ่ยเยว่ ท่านแอบกินนิดหน่อยก็ได้”เวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ข้ารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่อารามสุ่ยเยว่ แต่ข้าตั้งใจบำเพ็ญตบะ หากผิดศีลก็เท่ากับทำลายการบำเพ็ญตบะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้
“เจ้ายังกล้าโต้เถียงอีก!”เวินเฉวียนเซิ่งพูดแล้วก็ยกมือขึ้นอีก ขณะที่กำลังจะตบปากเวินจื่อเยวี่ยเป็นครั้งที่สาม เวินฉางอวิ้นก็ยื่นมือออกไปห้ามเขาไว้“พอแล้วท่านพ่อ”เวินฉางอวิ้นผลักเวินจื่อเยวี่ยออกไปข้าง ๆ หลังจากมองเวินเฉวียนเซิ่งแวบหนึ่ง ก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้อย่างเฉยชา...“ไม่ว่าท่านจะทำท่าทำทางอย่างไร ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้ก็เหม็นโฉ่สุดขีดเหมือนอุจจาระที่อยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบานนี้แล้ว”หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ยกเท้าขึ้นมาจากอุจจาระเหล่านั้นเดินออกไป จากนั้นก็ขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเวินจื่อเยวี่ยนึกไม่ถึงว่าเวินฉางอวิ้นจะพูดจาเช่นนั้นนี่มันเลยเถิดยิ่งกว่าที่เขาโต้เถียงเล่นสำบัดสำนวนเมื่อครู่เสียอีก ดูหน้าบิดาสิ ดำทะมึนเป็นหมิ่นหม้อแล้วสุดท้ายเวินเฉวียนเซิ่งก็ยังแบกกลิ่นอุจจาระจาง ๆ เข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าเช่นเดียวกับเวินฉางอวิ้น ส่วนเวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือถูกเวินเฉวียนเซิ่งกักขังไว้ในบ้านชั่วคราว รอให้เขากลับมาก่อนค่อยจัดการไอ้สารเลวสองคนนี้พอเช้าตรู่ เหตุการณ์ที่ประตูจวนเจิ้นกั๋วกงก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วซ้ำยังกลายเป็นเรื่องขบ
เช้าตรู่ พวกเขายังไม่ทันตื่น เวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือก็ถูกเวินเฉวียนเซิ่งดึงขึ้นจากเตียง“เกิดอะไรขึ้น ท่านพ่อ?”“ซี้ด หนาวจัง ท่านพ่อ ท่านให้ข้าไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะ!”“ยังจะใส่เสื้อผ้าอีก ใส่อะไรหนักหนา! หน้าตาของจวนเจิ้นกั๋วกงกำลังจะถูกพวกเจ้าทำลายหมดสิ้นแล้ว!”เวินเฉวียนเซิ่งผลักเวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือออกไปเมื่อมาถึงประตูจวนเจิ้นกั๋วกง ทั้งสองก็เห็นเวินฉางอวิ้นยืนอยู่ที่ประตูเป็นอันดับแรก“พี่ใหญ่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจในสถานการณ์เวินฉางอวิ้นเหลือบมองพวกเขาสองคน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าเดินออกมาดูเอาเองเถอะ”ในขณะที่เขาพูดเช่นนี้ เวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าจาง ๆ“นี่มันกลิ่นอะไรเนี่ย?”เวินจื่อเยวี่ยปิดจมูกแล้วเดินออกไปข้างนอก ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง รูม่านตาก็หดตัวลงทันที โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง“นี่เป็นฝีมือของใคร?!”“ใครกันช่างรนหาที่ตาย บังอาจสาดเทสิ่งของแบบนี้ใส่จวนเจิ้นกั๋วกงของเรา!”เวินจื่อเยวี่ยแทบจะอาเจียนออกมาแล้ว เขาปิดจมูกพลางตวาดลั่น แต่เขาในเวล
“นี่ น้องสี่ น้ำหล่อเลี้ยงของรากไม้แห้งที่ท่านให้มาสามารถทำลายแปลงสมุนไพรของเวินซื่อ ทำให้นางไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกจริงหรือ?”“แน่นอน”เวินอวี้จือเชิดคางขึ้นกล่าวอย่างจองหอง “น้ำหล่อเลี้ยงของรากไม้แห้งเป็นสิ่งที่ข้าอ่านมาจากตำราพิษของหมอปีศาจราชันพิษ มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้จักของสิ่งนี้ เว้นแต่ว่าหมอปีศาจราชันพิษจะมาถอนพิษด้วยตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยแปลงสมุนไพรเหล่านั้นของเวินซื่อได้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินจื่อเยวี่ยก็โล่งใจได้ในทันที“ถ้าอย่างนั้นก็ดี คราวนี้สั่งสอนบทเรียนแก่เวินซื่อให้เต็มที่ ครั้งนี้สิ่งที่พวกเราจัดการก็คือแปลงสมุนไพรของนาง ไม่ใช่คนของนาง ต่อให้นางคาดเดาได้ว่าพวกเราเป็นคนทำ ก็ทำอะไรเจ้ากับข้าไม่ได้”“ถึงอย่างไรต่อให้พูดออกไป เรื่องนี้ก็สามารถยืดหยุ่นได้เวินจื่อเยวี่ยแสยะมุมปาก กล่าวอย่างดูถูกเวินอวี้จือยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน “นางไม่กล้าทำอะไรหรอก ไม่แน่ว่าอาจจะขอร้องพวกเราเพื่อแปลงสมุนไพรเหล่านั้นในที่ดินกุยอวิ๋นก็ได้ ถึงเวลานั้นก็ให้นางคุกเข่าสารภาพผิดต่อหน้าน้องหกอย่างสาสม เช่นนี้ถึงจะสามารถชดเชยความเจ็บปวดที่น้องหกได้รับในวัง”“ท่านสมกับที่เป
ถึงอย่างไรผู้เฒ่าหลานก็เคยเป็นพ่อบ้านของสกุลหลานมาก่อน ย่อมมีความฉับไวในบางแง่มุมอยู่แล้ว หลังจากสังเกตเห็นท่าทีของเวินซื่ออย่างรางเลือน ในขณะที่เวินซื่อกำลังเตรียมตัวออกเดินทางกลับมาที่อารามสุ่ยเยว่ในวันนั้น เขาก็ยื่นสิ่งของอย่างหนึ่งให้เวินซื่อ“คุณหนูน้อย บ่าวเกิดในสกุลหลาน เติบโตในสกุลหลานมาชั่วชีวิต ตายก็อยากตายเพื่อสายเลือดของสกุลหลาน ดังนั้นคุณหนูน้อยได้โปรดรับของสิ่งนี้ไว้ ให้โอกาสบ่าวสักครั้ง ให้บ่าวได้ตายเพื่อท่าน”ผู้เฒ่าหลานมีอายุมานานแล้ว แล้วมีปัญหาอะไร?เขายังสามารถทำให้ตัวเองได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง เพื่อสกุลหลาน และเพื่อคุณหนูน้อยเวินซื่อมองไปที่สัญญาขายตัวที่ยื่นมาจากมือของเขานางหลุบตาลงเล็กน้อย “ลุงหลาน ท่านคิดดีแล้วหรือ?”ผู้เฒ่าหลานหันไปมองที่ดินกุยอวิ๋นผืนนั้น ความรู้สึกคะนึงหาพรั่งพรูเข้ามาในดวงตาทั้งสองของเขา จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองเวินซื่ออีกครั้ง เหมือนกับที่เคยมองนายท่านของเขาในตอนนั้น พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “บ่าวคิดดีแล้ว ชั่วชีวิตนี้บ่าวจะจงรักภักดีเพียงสกุลหลานเท่านั้น แม้ว่าพวกคุณชายใหญ่จะเป็นสายเลือดของคุณหนูใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่คนของสกุลหลาน
สมุนไพรทั้งหมดนี้ในที่ดินกุยอวิ๋น เป็นสิ่งที่นางได้ตกลงไว้แล้วว่าจะมอบให้กับเป่ยเฉินหยวนเป็นสมุนไพรสำหรับทหารในกองทัพธงดำที่ออกรบเพื่อราชวงศ์ต้าหมิงมาหลายปี จนสุดท้ายร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พิการ และเจ็บปวดบัดนี้ สมุนไพรที่ปลูกไว้ได้หนึ่งเดือนแล้วกลับถูกพวกเขาทำลายไปกว่าครึ่ง แถมยังไม่เว้นแม้แต่แปลงสมุนไพรร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางจะกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้อย่างไรนางจะไม่ปล่อยคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไป และคนร้ายตรงหน้าเหล่านี้ นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน“ท่านลุงหลาน ต้องรับพวกเขาให้ดี”ผู้เฒ่าหลานไม่คิดว่าเวินซื่อจะมีด้านนี้ด้วยเดิมทีเขาคิดว่าปกติแล้วคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนและใจดีมาโดยตลอดนั้น จะเหมือนกับคุณหนูใหญ่มากแต่คาดไม่ถึงว่า ภายใต้ความอ่อนโยนของคุณหนูน้อย จะยังมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ซ่อนอยู่ช่าง...เหมือนกับนายท่านในตอนนั้นไม่มีผิด!ดวงตาที่แก่ชราของผู้เฒ่าหลานฉายแววเฉียบคม จ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับว่าเขามองเห็นภาพของเจ้าบ้านสกุลหลานในอดีตในตัวของนางมองจนหัวใจที่สงบนิ่งมานานหลายปีของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานายท่าน สกุลหลานของพวกเ
“รบกวนลุงหลานเริ่มจัดหาคนในวันพรุ่งนี้ ช่วงสองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว”“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ลำบากหรอก เพียงแต่ว่าคนร้ายที่วางยาพิษยังจับตัวไม่ได้ หากพวกเราแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคนร้ายนั่นจะกลับมาอีก”เวินซื่อย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีนางยิ้มเล็กน้อย “ลุงหลานวางใจได้ พรุ่งนี้ท่านจัดหาคนได้เลย คืนนี้พวกเราจะจับคน”......คืนนั้นควรจะเป็นเวลาที่เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งถือถังไม้คนละใบ หลบเลี่ยงคนลาดตระเวนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาแอบเข้าไปในที่ดินกุยอวิ๋นอีกครั้งอย่างชำนาญ“หัวหน้า เมื่อวานพวกเราสาดยาพิษที่แปลงสมุนไพรทางตะวันออก ทางใต้ก็สาดไปหลายแห่งแล้ว คืนนี้จะเปลี่ยนไปสาดทางตะวันตกหรือทางเหนือดี?”“ได้ ไปดูทางตะวันตกก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรคุณชายสามก็บอกว่าต้องสาดให้หมด ต้องทำหมดทุกทาง”ดังนั้น คนร้ายที่ปิดบังใบหน้าทั้งเจ็ดแปดคนจึงอ้อมผ่านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกไม่นานนัก พวกเขาก็วิ่งมาถึงที่หมาย“เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนไปดูต้นทาง มีอะไรก็รีบเป่านกหวีด เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหก พวกเจ้าสามคนไปตักน้ำ เจ้าเจ็ด เจ้ามาทำลายสมุนไพรกับข้า”“ได้เลย
“คนร้ายกระจอกๆ พวกนั้นจับตัวได้หรือไม่?”“พวกที่มาครั้งแรกจับได้แล้วขอรับ แต่ไม่กี่วันต่อมา ก็มีมาอีกสองสามคน แถมยังระมัดระวังตัวยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์มาก พิษที่เทในแปลงสมุนไพรก็เป็นฝีมือของพวกที่มาครั้งที่สองนี้”เวินซื่อเอ่ยถาม “มีคนได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่?”ผู้เฒ่าหลานส่ายหน้า “ยาพิษที่เทนั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่แปลงสมุนไพรของเราเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนมากนัก”เวินซื่อแค่นหัวเราะ “หากวางยาพิษคน เรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”หลังจากที่นางทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็กำชับว่า “รบกวนลุงหลานเดินทางรอบนี้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะไปดูที่ดินกุยอวิ๋นก่อน”ม่อโฉวซือไท่ก็อยู่ด้วยพอดี นางได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะไปกับพวกเจ้าด้วย ไปดูสักหน่อย”“ข้าก็ไปด้วยๆ !”ฉางเสี่ยวหานรีบยกมือออกจากอารามสุ่ยเยว่ ก็มีรถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกนี่เป็นสิ่งที่เวินซื่อสั่งให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาระยะทางระหว่างที่ดินกุยอวิ๋นถึงอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่ถือว่าใกล้ จะให้พ่อบ้านหลานที่อายุมากแล้วเดินไปเดินมาก็คงไม่ได้ดังนั้น เวินซื่อจึงให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เ
เป่ยเฉินหยวนไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้ และยังจัดสรรที่ดินไว้ให้เขาแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งอู๋โยวที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?เพียงแต่ว่าคนสกุลอันนั่นพูดถูก เขามีความคิดต่ำทราม หากถูกคนอื่นรู้เข้า นั่นก็เท่ากับทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่เลวทรามอย่างยิ่งดังนั้น เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเมื่อไม่มีอันหลันซิน ขบวนก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่นานก็ออกเดินทางต่อสองวันต่อมา ขบวนที่เดินทางไกลไปยังลู่โจวในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฝ่าบาททรงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับที่ประตูเมืองหลวงด้วยพระองค์เองสถานการณ์ยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ทำเอาเวินซื่อตกใจไม่น้อยภายหลังเวินซื่อถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวคราวจากลู่โจวก็แพร่เข้ามาถึงในเมืองหลวงแล้วหลังจากขอฝนที่จินโจวแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว เวินซื่อก็มีชื่อเสียงเรื่องการสวดอธิษฐานขอพรให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ลู่โจวเพิ่มขึ้นมาอีกตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้เลื่องลือแค่ในเมืองหลวงและจินโจวสองแห่งเท่าน
ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ