มุมมองของซิดนีย์ตามที่คาดไว้จากบริษัทใหญ่โตอย่างจีที กรุป สำนักงานฝ่ายบริหารจัดการได้เตรียมสัญญาและข้อเสนออย่างรวดเร็วและนำมาให้มาร์คตรวจสอบ ฉันมองชายคนหนึ่งที่นำเอกสารมายืนข้างมาร์คและอธิบายบางอย่างให้เขาฟัง “นี่คือเอกสารยกเลิกข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการ เราต้องการลายเซ็นของคุณตรงนี้” เขาชี้ไปที่จุดหนึ่งในเอกสาร “และตรงนี้” มาร์คพยักหน้าในขณะที่เขาอ่านเอกสารไปก่อนเป็นอันดับแรก เป็นบางครั้งที่เขาขมวดคิ้วและถามให้ช่วยอธิบายว่าทำไมถึงทำในลักษณะนั้น และชายคนนั้นก็จะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง จากนั้นมาร์คก็พยักหน้า ดูเหมือนเขาจะประทับใจ ฉันค่อนข้างแปลกใจเมื่อเขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นเจ้าของร่วมของลักซ์ โว้คแอนด์อาเตลิเย่ สตูดิโอกับเกรซ ถ้าฉันไม่ได้โกรธจัด ฉันคงหัวเราะออกมากับสีหน้าของเขาที่พยายามปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมด ฉันเพียงแค่บุกเข้ามาที่นี่ด้วยความคิดว่าเขากำลังทำทุกอย่างเพื่อทำลายบริษัทของเราและซื้อในราคาถูก เพราะเขารู้ว่าฉันเป็นเจ้าของร่วม แต่ปรากฏว่าเขาไม่รู้ ฉันยังคงสงสัยว่าทำไมเขาถึงอยากเข้าซื้อบริษัทนี้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจฉันมากที่สุด ฉันยังคงพยายามทำความเข
ฉันหัวเราะเบา ๆ "มีตั้งหลาย 'ทำไม' เธอหมายถึง 'ทำไม' ข้อไหนกันล่ะ?" ฉันได้ยินเกรซถอนหายใจลึก ๆ "ข้อแรก ทำไมเขาถึงลงทุนมากขนาดนี้? ตอนนี้ฉันกำลังดูข้อเสนออยู่ ข้อสอง ทำไมเขาถึงอยากเข้าซื้อบริษัทตั้งแต่แรกล่ะ?" "ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นเจ้าของร่วมบริษัทกับเธอ และฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงลงทุนมากขนาดนี้ ที่รัก ฉันเองก็ตกใจและที่สำคัญที่สุดคือฉันดีใจ! แล้วจะสนเหตุผลอะไรทำไม?" "อืม" เกรซส่งเสียงในลำคอ "อิทธิพลของอดีตภรรยายังแรงกล้านี่เอง!" เธอพูดติดตลก และฉันจินตนาการได้ว่าเธอคงยักคิ้วไปด้วย "พอเถอะน่า" ฉันพูดพลางกลอกตา "เอาล่ะ ในเมื่อเธอได้รับสำเนาเอกสารดิจิตอลของสัญญาและข้อเสนอแล้ว ตรวจสอบให้ละเอียดนะ ถ้ามีปัญหาแจ้งฉันทันที ฉันจะลงนามของตัวเองหลังจากได้รับการยืนยันจากทนายของฉัน แล้วเธอก็ลงนามส่วนของเธอในสำเนาเอกสารดิจิตอลก่อน ตกลงไหม? หลังจากนั้นเราจะเซ็นในสำเนาต้นฉบับที่หลัง" "โอเค ฉันกำลังดูคร่าว ๆ อยู่ แต่จะตรวจดูอย่างละเอียดเดี๋ยวนี้แหละ" เธอพูด "ฉันจะแจ้งเธอทันทีที่ตรวจสอบเสร็จแล้วนะ" "โอเค ฉันจะรอคำตอบจากเธอ" ฉันพูดก่อนจะวางสายและโทรหาทนายของฉันทันที ฉั
พวกเราทั้งสองยังคงอยู่ในท่านั้น ปล่อยให้คำพูดของเขาลอยอยู่ในอากาศ สายตาของเขาจ้องมองฉัน และฉันก็มองกลับไป เขาดูเหมือนกำลังเปิดเผยความรู้สึกขณะที่จ้องมองฉัน และปล่อยให้ฉันมองเขากลับ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะยังมีแววลึกลับในดวงตาเขาที่ทำให้ขนบนร่างกายฉันลุกชัน...ราวกับว่าร่างกายฉันอาจทรยศฉันได้ทุกเมื่อ ฉันพยายามคิดว่าเขาหมายความตามที่พูดหรือเปล่า...เขาแค่ล้อเล่นแน่ ฉันบอกตัวเอง เขาต้องล้อเล่นแน่ ๆ เพราะสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำคือการนอนร่วมเตียงกับเขา ถึงฉันจะสิ้นหวังกับการปกป้องบริษัทของฉันไม่ให้ล่มสลายจนเหลือแต่ชื่อ แต่ฉันก็ไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้น อย่างเลวร้ายที่สุด เราก็แค่ปิดลักซ์ โว้คและเดินหน้าต่อกับอาเตลิเย่ สตูดิโอ "คุณยังมีสติอยู่หรือเปล่า ซิดนีย์?" ลมหายใจของเขาปัดผ่านใบหน้าฉัน และนิ้วของเขาสัมผัสที่ข้อมือฉันในขณะที่พยายามดึงความสนใจของฉันกลับมา ฉันเลียริมฝีปาก "ฉันควรถามคุณมากกว่าว่าสติคุณยังดีอยู่ไหม?" ใบหน้าเขาเปล่งประกายขึ้นเมื่อเขาหัวเราะ "เชื่อผมเถอะ สติผมยังครบถ้วนดี ผมรู้ตัวดีว่าผมเพิ่งลงทุนด้วยเงินก้อนโตในบริษัทของคุณอย่างลักซ์ โว้คและ…" สายตาเขาเลื่อนไปด้านล่า
ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างเกินจริงและเขาอ้าปากค้าง ก่อนจะตบมือเข้าที่หน้าผากตัวเอง "ให้ตายสิ! ผมลืมเรื่องนั้นไปได้ยังไงนะ? ผมนี่มันโง่จริง ๆ ผมคงต้องเริ่มระวังตัวเวลาที่อยู่ใกล้คุณแล้ว" ฉันกลั้นหัวเราะไม่อยู่จนหลุดหัวเราะออกมา "คุณนี่เล่นละครได้แย่มาก เด็กสองขวบก็ดูออกเลยว่าคุณไม่ได้กลัวจริง ๆ" เขายิ้มมุมปาก "คุณรู้เพราะผมอยากให้คุณรู้ คุณไม่มีทางจับได้หรอกถ้าผมกำลังแสดงอยู่จริง ๆ ฉันเก่งมากเลยนะ" เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ฉันกลอกตาใส่ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างจริงใจจนความขี้เล่นหายไปจากสายตาของเขา "ฟังนะ ผมถือหุ้นของจีที กรุปอยู่สามสิบหกเปอร์เซ็นต์ รวมกับอีกห้าเปอร์เซ็นต์ในชื่อแม่ของผม ลองคำนวณดูสิ ผมก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ไม่ว่าคุณหรือใครจะทำอะไร ผมก็จะเป็นฝ่ายชนะในตอนจบเสมอ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส ฉันกลอกตา "คุณมั่นใจเกินไปแล้ว คุณควรระวังตัวไว้หน่อย เพราะทุกอย่างอาจกลับตาลปัตรได้ทุกเมื่อ" เขายิ้มอย่างมั่นใจพร้อมทั้งกอดอกและเลิกคิ้วอย่างเย้ยหยัน "ยังไงล่ะ?" ฉันจ้องเขากลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะยักไหล่ "ก็แค่...อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น" "จะไม่มีอะไรเกิดขึ
มุมมองของซิดนีย์ไม่กี่วันต่อมา“จีที กรุ๊ปมองลักซ์ โว้คในแง่ดีจริง ๆ” นักข่าวคนหนึ่งส่ายหัว ในขณะที่อีกคนกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของลักซ์ โว้ค“ดูเหมือนว่าบริษัทจะยังมีอนาคตที่สดใสนะ!”“แน่นอนอยู่แล้ว” อีกคนพูดอย่างกระตือรือร้น “จีที กรุ๊ปลงทุนเงินก้อนโตกับบริษัทนี้ และคุณก็เห็นแล้วนี่ว่ามาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแค่ไหน? นี่มันบ้ามากจริง ๆ” พูดจบเขาก็หันไปยังหน้าจอ “เสื้อผ้าผู้ชายของลักซ์ โว้คกลายเป็นปลาตัวใหม่น่าจับตาไปแล้ว นักลงทุนแห่กันเข้ามา บริษัทต่าง ๆ ก็อยากร่วมงานด้วย และราคาหุ้นยังคงเพิ่มขึ้นทุกนาทีอีก!”สายตาของฉันละจากหน้าจอแล็ปท็อปไปที่ประตูสำนักงานที่เพิ่งถูกเปิดออกอย่างแรง เกรซพุ่งเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “ซิดนีย์! เธอเห็นนี่หรือยัง?” เธอถือไอแพดไว้ในมือ“ฉันกำลังดูอยู่พอดีเลย” ฉันหัวเราะ ความดีใจล้นอยู่ในอกเธอวางไอแพดบนโต๊ะทำงานของฉันขณะที่นั่งลงอีกฝั่ง “สาวน้อย! บริษัทของเราเป็นที่พูดถึงของทั้งเมืองแล้ว เราทำได้แล้ว พวกเราเจ๋งสุด ๆ ไปเลย”“ใช่ไหมล่ะ?” ฉันเลื่อนแล็ปท็อปออกไปและเอนตัวพิงเก้าอี้ “แต่ถ้าจีที กรุ๊ปไม
“ขอบคุณ? เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่านี่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันไม่ใช่เหรอ? จีที กรุปก็ได้ส่วนแบ่งกำไรเหมือนกันนี่ ใช่ไหม?” ฉันโต้กลับ“ฮ่า คุณนี่พูดแต่เรื่องธุรกิจตลอดเลยนะ แล้วมื้อเย็นคืนนี้ล่ะ? ไปฉลองความความสำเร็จที่เติบโตต่อเนื่องกันเถอะ” เขาแนะนำพร้อมหัวเราะเก้อ ๆ ฉันแค่นเสียง “คุณนี่น่าปวดหัวจริง ๆ รู้ตัวไหม? เดี๋ยวทำตัวเหมือนเป็นคนมาจีบ เดี๋ยวก็ทำท่าขี้หึง เดี๋ยวก็ตัณหาจัด เดี๋ยวก็เจ้าชู้ คุณกำลังพยายามทำให้ฉันตกหลุมรักคุณ เพื่อที่จะทิ้งฉันอย่างโหดร้าย และเหยียบย่ำฉัน หลังจากที่ฉันหวังสูงใช่ไหม?”เขาเงียบไปนานก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “โธ่ โดนคุณจับได้ซะแล้ว ฝีมือการแสดงของผมมันแย่ลงเรื่อย ๆ เลยช่วงนี้”“คุณไม่เคยมีฝีมือมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก การแสดงของคุณมันแย่เหมือนเดิมนั่นแหละ”“คุณนี่รู้จักผมดีจริง ๆ นะ ซิดนีย์”ฉันไม่สนใจคำพูดของเขา “อีกอย่าง ดอริสบอกฉันแล้วว่าตอนนี้คุณกำลังคบกับแซนดร้า ลูกสาวของวุฒิสมาชิกอยู่”พอพูดถึงแซนดร้า หัวของเกรซที่จมอยู่ในไอแพดมาตลอดก็เงยขึ้นทันที“ชิชิ แซนดร้าไม่ใช่แฟนของโจเอล เพื่อนสนิทคุณเหรอ? ตอนนี้พวกคุณคบกับผู้หญิงคนเดียวกันเหรอ? หรือว่านี่เ
มุมมองของซิดนีย์เกรซถามทันทีที่ฉันวางโทรศัพท์ลง พร้อมคิ้วขมวดและดวงตาเปล่งประกายความอยากรู้ “เมื่อกี้ฉันได้ยินเธอพูดชื่อแซนดร้าหรือเปล่า?” ชื่อนั้นหลุดจากปากเธอด้วยความดูถูกเต็มเปี่ยม “ทำไมชื่อนั้นถึงมาโผล่ในบทสนทนาของเธอกับมาร์ค? ช่วยอธิบายให้มันสมเหตุสมผลทีเถอะ”ฉันวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “สิ่งที่เธอจับใจความได้ก็คือความจริงนั่นแหละ”“เถอะน่า ซิดนีย์ เล่าให้ฉันฟังหน่อย มันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเลย”“ใช่ไหมล่ะ? แล้วเธอยังมีหน้ามาบอกว่าเขาเป็นไอดอลของเธออีก” ฉันล้อเลียน และเธอหรี่ตาใส่ฉันพลางส่งสายตาเตือนแบบหยอก ๆ กลับมา “จอนนี้ไอดอลของเธออยู่กับคู่อริเก่าของเธออย่างแซนดร้าแล้ว ยายเล็บยาวที่สตีเวนช่วยประคองขึ้นมาเพื่อข่วนหน้าเธอไง”เกรซครางเสียงต่ำ “โอ๊ย ขอทีเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย”ฉันหัวเราะเบา ๆ “ยังไงก็เถอะ ตอนนี้พวกเขากำลังคบกันอยู่ เพราะงั้นนี่ยังไม่ใช่ตาของเธอกับไอดอลของเธอ เธอต้องรอให้พวกเขาเลิกกันก่อน” แม้ว่าฉันจะฟังดูเหมือนไม่แคร์อะไร ซึ่งฉันก็ไม่ได้แคร์จริง ๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นแซนดร้า ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดที่เขาเลือกได้ มันต้องเป็นยายตัวแสบนั่นด้วย!
“นั่นเกินจริงไปแล้วนะ” ฉันหัวเราะและนั่งลงพร้อมกันกับที่เขานั่งครึ่งตัวบนขอบโต๊ะฉันวางดอกไม้บนโต๊ะทำงานอย่างระมัดระวัง แล้วหันกลับมาหาเขา เขาประสานนิ้วของเราทั้งคู่ไว้ด้วยกัน และเราทั้งสองก็เงียบอย่างสบายใจครู่หนึ่งจากนั้นฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่าควรถามเขาเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง เขาน่าจะรู้อะไรบ้างใช่ไหม?“ทำไมมาร์คถึงได้ไปคบหากับแซนดร้าแบบจริงจังขนาดนั้น?” ฉันรู้สึกถึงคิ้วที่ขมวดแน่นของตัวเอง ขณะที่เงยหน้าขึ้นถามลูคัส“เธอรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาคบกัน?” เขาหรี่ตาอย่างขี้เล่นใส่ฉันเหมือนกำลังจับผิด“ดอริสบอกฉันน่ะสิ แล้วโพสต์ที่แท็กแซนดร้าก็โผล่มาให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราวด้วย”“อืม” เขาฮัมในลำคอ “บางทีผมก็ลืมไปเลยว่าคุณเป็นคนโปรดของคุณยายดอริส แล้วก็ใช่ สื่อโซเชียลก็อีก” จากนั้นเขายักไหล่เล็กน้อย “ผมเป็นคนเกลี้ยกล่อมดอริสให้จัดการเรื่องนี้เอง จีที กรุ๊ปประสบความสำเร็จทางการเงินมากแล้ว ขั้นต่อไปคือการเชื่อมโยงกับอำนาจทางการเมืองเพื่อรักษาอิทธิพลของครอบครัว พ่อของแซนดร้ากำลังลงสมัครรับเลือกตั้งและต้องการเงินทุนหาเสียงจำนวนมาก ดังนั้นทุกอย่างก็เลยลงตัวพอดี”ฉันส่ายหัวใส่เขา “คุณนี่เจ้า
"ผมพูดจริงนะ เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ไปให้พ้นจากคนพวกนั้น คุณอาจตั้งสาขาธุรกิจที่นั่นก็ได้นะ"ฉันรู้สึกอบอุ่นใจกับความตั้งใจดีของเขา แล้วริมฝีปากของฉันก็ยืดออกเป็นรอยยิ้ม "ฉันอยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน" ฉันเริ่มพูดออกมา "แต่ฉันยังมีบางอย่างต้องจัดการที่นี่ เมื่อฉันจัดการอะไร ๆ ในบริษัทเสร็จแล้ว ฉันก็จะไปอิตาลีกับคุณค่ะ" ฉันตัดสินใจพูดต่อว่า "ฉันอยากไปดูที่ที่คุณใช้ชีวิตซักพักหนึ่ง"เขายิ้ม "ผมทนรอไม่ไหวแล้ว"“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องมาร์คนั้นฉันมาคิดทบทวนดูแล้ว ฉันคิดว่าในช่วงหลัง ๆ นี้ ฉันได้ทำตัวหยิ่งผยองเกินไป อย่างน้อยก็ทำกับเขานั่นแหละ ฉันคอยกวนประสาทและผลักให้เขาจนมุมมาเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่ต้องใจเย็นลงและยุติอะไรพวกนี้ซะที ตอนนี้เราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันแล้ว ฉันไม่ควรหยิ่งผยองกับเขามากเกินไป"“และคุณควรอยู่ห่างจากเขาด้วย" ลูคัสกล่าวเสริมแล้วฉันก็หัวเราะคิกคัก“คุณเป็นผู้ชายขี้หึงนะ" ฉันหยอกเย้า เขาส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอ่อน "ไม่หรอก คุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมรู้สึกหึงหวงหรอก ผมเป็นของคุณและคุณก็เป็นของผม ตลอดไป"“อั๊ยยย" ฉันดึงเขาเข้ามา "ใช่แล้วล่ะลูคัส ฉันจะเป็นของคุณตลอดไป"
มุมมองของซิดนีย์“ซิดนีย์ คุณโอเคไหม? หมอบอกว่า...”ฉันหยุดฟัง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูคัสพูดนั้นก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตอนแรกฉันรู้สึกได้ถึงพื้นผิวที่ฉันนอนทับอยู่ มันให้ความรู้สึกคุ้นเคย ฉันจำเสื้อที่ฉันสวมอยู่ได้ มันเป็นเสื้อตัวหนึ่งของลูคัสฉันตื่นขึ้นทันที ฉันนึกถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาครั้งสุดท้ายซ้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ฉันจำได้ว่าได้ล้มลงไปในอ้อมแขนของลูคัส แล้วหมดสติไป ในขณะที่เขาตะโกนถามว่าฉันโอเคไหม ฉันคิดว่าฉันจะได้อยู่ในห้องคนไข้ที่โรงพยาบาล แต่กลับมาอยู่บนเตียงนอนและผ้าปูเตียงที่แสนคุ้ยเคยของตัวเองหน้าของลูคัสเป็นหน้าสุดท้ายที่ฉันเห็น แล้วตอนนี้หน้าของเขาก็ยังเป็นภาพแรกที่ฉันเห็นหลังลืมตาขึ้นมา“คุณโอเคไหม?” เขาถามย้ำแล้วจับมือฉันไว้ เขาดูหน้านิ่วคิ้วขมวดและจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่าฉันไม่ได้ฟังที่เขาพูด“ฉันไม่เป็นไร" ฉันพึมพำตอบเขาไปด้วยเสียงอันแหบพร่า และพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ลูคัสรีบวิ่งเข้ามาหาฉัน เขาจัดหมอนที่ฉันหนุนนอนให้ตั้งขึ้นมา เพื่อที่ฉันจะเอาไว้พิงหลังได้ จากนั้นก็ช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้นนั่ง“ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดออกไปช้า ๆ
มือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาสบตากับฉันเหมือนท้าทายให้ฉันลองทำอะไรดูสิ ฉันอยากส่งเสียงตะโกนออกไป แต่เขาก็ใช้นิ้วจิ้มเข้ามาที่ต้นขาฉันเพื่อให้ฉันรู้โดยไม่จำเป็นต้องพูดว่า อย่าได้อาจหาญเชียวนะ!ฉันหลับตาพร้อมกับกัดริมฝีปากในขณะที่รู้สึกได้ว่านิ้วของมาร์คกำลังแตะขอบกางเกงในของฉันอยู่ ฉันถึงกับต้องงอเข่าเมื่อนิ้วหัวแม่มือของเขากดอยู่บนกางเกงในฉัน ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าที่ฉันไม่ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ ก็เพราะมาร์คกดตัวทับฉันเอาไว้แน่นจนฉันแทบขยับตัวไม่ได้“ซิดนีย์?” ฉันลืมตาขึ้นเมื่อลูคัสเรียกชื่อฉันอีกครั้ง ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันเกือบลืมไปว่าเขาอยู่ตรงนั้น "ซิดนีย์ คุณอยู่ในนั้นใช่ไหม?” เสียงของเขาฟังดูร้อนรนและเป็นกังวลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันแอบคาดหวังว่าเขาจะพังประตูเข้ามา แต่เขากลับใช้ข้อนิ้วเคาะประตูเบา ๆ "มีใครอยู่ในนั้นไหม? ซิดนีย์? ทุกอย่างโอเคไหม?” “บอกออกไปสิ!” มาร์คจ้องมองฉันอย่างไม่พอใจพร้อมกับตะคอกใส่ ในขณะเดียวกันนิ้วของไอ้เวรนั่นก็ถูไถอยู่บนกางเกงใน ทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกและอยากจะตบเขาสักฉาด ถ้าเพียงแต่เขาไม่จับข้อมือฉันแน่นขนาดนั้น "คุณรู้ว่าต้
ฉันกดฝ่ามือลงบนฉากกั้นโดยตั้งใจจะให้มันล้มทับฉันไปเลย ในขณะที่มาร์คจ้องมองฉันอย่างเงียบงัน ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของเขาทำให้หัวใจฉันเต้นรัว ฉันแทบจะได้ยินหัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อจ้องมองเขาอย่างระแวดระวังด้วยความตื่นตระหนก“คุณเข้ามาในห้องน้ำหญิงนะ" ฉันพูดออกมาอย่างหมดหนทาง ซึ่งอาจจะช่วยเตือนสติเขาได้ว่ากำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่แล้วเดินจากไป แต่เขากลับมองฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“ผมรู้ดี" เสียงทุ้มต่ำที่หลุดออกมานั้นเหมือนกำลังหักห้ามตัวเองไม่ให้เกรี้ยวกราดฉันกลืนน้ำลายพร้อมกับคิดฟุ้งซ่านในขณะพยายามจะพูดอะไรเพื่อทำลายความเงียบ และได้แต่หวังว่าเขาจะเดินจากไป สายตาของเขาเริ่มทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด และอยากจะวิ่งหนีเขาไปซุกอยู่ใต้อ้อมแขนของลูคัสอย่างปลอดภัย แล้วลูคัสไม่ได้จับตาดูเขาอยู่หรอกเหรอ? ทำไมเขาไม่โทรหาฉันตอนที่มาร์คมานี่ล่ะ?“คุณเพิ่งวางสายของเบลล่าไปนะ" ฉันพูดออกมาอย่างระมัดระวัง โดยหวังว่าบทสนทนาที่ฉันคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้จะไม่ทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น“ผมไม่สนหรอกว่าจะวางสายของใครไป" เขาคำรามออกมาพร้อมกับจับแขนฉันเอาไว้แน่นใช่สิ ฉันคิด เขาไม่สนใจหรอก ถ้า
ฉันเลื่อนแถบการแจ้งเตือนเพื่อเช็คอีเมล์หรือดูการแจ้งเตือนสำคัญ ๆ เมื่อเห็นว่าเบลล่าโทรมาแล้วฉันไม่ได้รับสาย และด้วยความที่ฉันไม่มีอะไรทำ และอยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน ฉันจึงตัดสินใจโทรหาเบลล่าดูเหมือนว่าเธอกำลังรอโทรศัพท์จากฉันอยู่ เพราะเธอรับสายทันทีและรัวคำพูดออกมาอย่างหงุดหงิด "ทำอย่างนั้นหมายความว่ายังไงยะ?” เธอพูดออกมาอย่างฉุนเฉียวสุด ๆ "หล่อนหวังว่าจะได้อะไรจากการส่งภาพนั้นมาเหรอ? ฉันเลิกกับมาร์คแล้ว ฉันกับเขาจบกันไปแล้ว ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะอยู่กับใคร เข้าใจไหม? ฉันไม่สนใจเลย!”“อืมมม" ฉันพึมพำอย่างใจเย็น ซึ่งยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้น "เธอแน่ใจเหรอ? เธอพ่นความโกรธเกรี้ยวออกมาแบบนั้น… จุ๊ จุ๊ ดูเหมือนเธอยังให้ความสนใจอยู่นะ"“รู้อะไรไหม? ทำไมหล่อนไม่สนใจแต่เรื่องของตัวเองล่ะ นางแพศยา? ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่สนใจก็คือไม่สนใจ!”ฉันหัวเราะ ฉันขำกลิ้งจนถึงกับต้องเอามือกุมท้อง ถ้ามีใครอยู่ในห้องน้ำห้องอื่น ๆ ล่ะก็ พวกเขาคงวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงฉัน เพราะคงคิดว่าฉันเป็นพวกโรคจิต“เธอสนใจนะเบลล่า ยอมรับมาซะเถอะ ไม่งั้นเธอคงไม่โกรธเกรี้ยวขนาดนี้หรอก นังเด็กโง่เอ๊ย เธอคิดว่าเธอจะกลายเ
"ดูสิ่งสวยงามนี่สิครับ!” เสียงของผู้ดำเนินการประมูลปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงความคิดอันน่าตื่นตระหนก“ราคาเริ่มต้นของเครื่องประดับชิ้นนี้คือเจ็ดล้านบาท ไม่น้อยไปกว่านี้"ฉันรู้ว่าผู้ดำเนินการประมูลยังคงพูดอยู่ แต่ใจฉันไม่รับรู้คำพูดของเขาเลย ฉันไม่สามารถเอาภาพมาร์คที่จ้องมองฉันออกไปจากหัวได้ แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้มือสั่นเทาได้แล้ว ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากตักแล้วจับมันไว้แน่น โชคดีที่มือฉันหยุดสั่นแล้วฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ในขณะที่ผู้ดำเนินการประมูลกำลังยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็อาจมีใครบางคนเพิ่มจำนวนเงิน และเปิดปากพูด ฉันได้ยินลูคัสพูดว่า "สิบเจ็ดล้านบาท"ฉันหันไปมองเขาตาแทบถลน "อะไรนะ?” ฉันแอบตะโกนด้วยเสียงกระซิบ“ผมถามว่าคุณอยากได้มันไหม แต่คุณไม่ยอมตอบ"“แล้วทำไมคุณถึงประมูลมันล่ะ?” ถึงแม้ว่าราคาดั้งเดิมของสร้อยข้อมือเส้นนั้นจะสูงกว่านั้นมาก แต่ฉันก็ไม่สามรถปล่อยให้เขานำมาครอบครองได้หรอก“ยี่สิบสี่ล้าน"ในขณะที่เขามองข้างไหล่ฉันไป แล้วพยักหน้ากับอะไรบางอย่างตรงนั้น ก็มีคนเสนอราคาเพิ่มขึ้นมา ฉันจำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี ฉันรู้ว่าใครเป็นคนพูดก่อนจะหันไปมองด้วยซ้ำไ
ขณะที่เขาลุกจากที่นั่งและยื่นมือมาหาฉัน เขาก็พูดว่า "ว่าแต่ ถ้าคุณเห็นอะไรที่ชอบในของที่นำมาประมูลล่ะก็ คุณบอกผมนะ" ฉันยิ้มหวานให้เขา "ได้ค่ะ" ขณะที่ฉันวางมือบนมือของเขา จู่ ๆ ฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่อยากจากไปเฉย ๆ แบบนั้น ฉันอยากทำให้แซนดร้าต้องกังวลใจสักหน่อย ฉันค่อย ๆ ดึงมือของลูคัสออก"รอเดี๋ยวนะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับแซนสักหน่อย" เขามองระหว่างฉันกับแซนดร้า "มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า?" "ไม่เลย ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากบอกอะไรเธอนิดหน่อยเท่านั้นเอง" หลังจากมองดูอีกครั้ง เขาก็พยักหน้า "ได้สิ" เขารออยู่ขณะที่ฉันเดินเฉียงไปทางแซนดร้า ซึ่งตอนนี้จ้องฉันด้วยสายตาเกลียดชัง "เธอรู้ไหมว่าหลังจากเธอแต่งงานกับเขาแล้ว เขาจะพูดอะไรกับเธอ?" แววตาเธอหันไปทางมาร์คอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาที่ฉัน ดูเหมือนคำพูดของฉันจะทำให้เธอเริ่มกังวลแล้ว โอ้ ไวกว่าที่คิดแฮะ"อะไร?" เธอโต้กลับอย่างดุดัน พยายามทำตัวไม่แยแส แต่ริ้วรอยขมวดคิ้วลึกบนใบหน้ามันฟ้องชัดเจน ฉันยิ้มเหยียด รู้สึกเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว "เขาจะพูดว่า… ฉันขอยกคำพูดเขามาเลยแล้วกัน…" ฉันพูดช้า ๆ ชัด ๆ "อย่าคาดหวังอะไรล่ะ สิ่งเด
ฉันรู้สึกถึงสายลมเย็นอ่อน ๆ ที่ปะทะต้นคอ เลยหันไปเห็นแซนดร้ากำลังสะบัดพัดโบราณอันงดงามเบา ๆ อยู่ฉันแค่นหัวเราะในใจและเบือนหน้าหนี "ไม่เห็นจะร้อนเลยสักนิด" ฉันพึมพำเบา ๆ "อะไรนะ?" แซนดร้าพูดแทรกทันที "ฉันได้ยินไม่ถนัด เธอว่าพัดนี้สวยมากเลยใช่ไหม?" ฉันกลอกตาให้กับท่าทางเสแสร้งของเธอ "แหม ในเมื่อเธอหยิ่งเกินกว่าจะถาม ฉันจะบอกให้ก็ได้ มาร์คประมูลมันให้ฉันก่อนที่พวกเธอจะมาถึง ฉันแค่บอกเขาว่าฉันต้องการมัน แล้วเขาก็ชนะประมูลที่ราคาหกหมื่นเหรียญ" เธอพูดอย่างภูมิใจราวกับว่ามาร์คเพิ่งขุดต้นไม้อายุร้อยปีมาให้เธอ ฉันยิ้มเยาะ คิดอยู่ว่าจะบอกเธอว่ามาร์คเคยให้เงินฉันหนึ่งแสนดอลลาร์เพื่อแค่ให้ได้เจอหน้าฉันสงสัยว่าเธอจะว่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่พูด เธอกระซิบอีกครั้ง "ฉันพนันเลยว่าเธอไม่เคยเห็นของที่สวยงามแบบนี้มาก่อนเลย ใช่ไหมล่ะ?" "ไม่เคย" ฉันตอบรับพร้อมมองพัดด้วยสายตาอยากได้เพื่อแกล้งทำให้เธอหลงกล อย่างที่คาดไว้ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนริมฝีปากของเธอ "ฉันไม่เคยเห็นอะไรน่าเกลียดขนาดนี้ถูกอวดเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่ามาก่อนเลย เธอไม่อายบ้างเหรอ?" รอยยิ้มของเธอหายว
ฉันสวมชุดเดรสสีดำเรียบ ๆ คู่กับรองเท้าส้นสูงสีเนื้อและกระเป๋าสีเดียวกัน ฉันแสกผมกลางและปล่อยให้ผมแต่ละข้างกรอบใบหน้า ลูคัสสวมชุดทักซิโด้เรียบหรู เราตัดสินใจเลือกสีให้เข้ากัน ดังนั้นทักซิโด้ของเขาจึงเป็นสีดำ ส่วนเสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีเนื้อแขนของฉันและลูคัสคล้องกันขณะเดินไปยังทางเข้าโรงประมูล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้าใช้เครื่องสแกนตรวจสอบเราก่อนที่จะผล่อยให้เข้าไปข้างใน เมื่อเราเข้าไปในโรงประมูล ผู้คนก็ล้นหลามอยู่แล้ว ถ้าลูคัสไม่ได้จองที่นั่งในชื่อของเขาไว้ในโซนวีไอพีแถวหน้า เราคงต้องยืนไปตลอดงาน พนักงานนำทางพาเราไปยังที่นั่งของเรา ขณะที่เราเข้าใกล้ที่นั่ง ฉันรู้สึกว่ามือของลูคัสจับมือฉันแน่นขึ้น ฉันที่มัวแต่ชื่นชมผลงานศิลปะอยู่จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่นั่งของเราถูกจัดไว้ติดกับที่นั่งของมาร์ค มาร์คที่กำลังสนใจรูปปั้นโบราณที่ดูน่าเกลียดในส่วนจัดแสดงนั่งอยู่ข้างแซนดร้าซึ่งมองตามเราจนถึงที่นั่งด้วยสีหน้าสะใจ ก่อนที่เราจะไปถึง ฉันใช้มืออีกข้างจับแขนลูคัสไว้ "คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกถูกคุกคามโดยจากมาร์คนะ" ฉันพูดเบา ๆ "ผมรู้" เขาตอบสั้น ๆ "เชิญครับท่าน" พนักงานยิ้มอย