ฉันสวมชุดเดรสสีดำเรียบ ๆ คู่กับรองเท้าส้นสูงสีเนื้อและกระเป๋าสีเดียวกัน ฉันแสกผมกลางและปล่อยให้ผมแต่ละข้างกรอบใบหน้า ลูคัสสวมชุดทักซิโด้เรียบหรู เราตัดสินใจเลือกสีให้เข้ากัน ดังนั้นทักซิโด้ของเขาจึงเป็นสีดำ ส่วนเสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีเนื้อแขนของฉันและลูคัสคล้องกันขณะเดินไปยังทางเข้าโรงประมูล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้าใช้เครื่องสแกนตรวจสอบเราก่อนที่จะผล่อยให้เข้าไปข้างใน เมื่อเราเข้าไปในโรงประมูล ผู้คนก็ล้นหลามอยู่แล้ว ถ้าลูคัสไม่ได้จองที่นั่งในชื่อของเขาไว้ในโซนวีไอพีแถวหน้า เราคงต้องยืนไปตลอดงาน พนักงานนำทางพาเราไปยังที่นั่งของเรา ขณะที่เราเข้าใกล้ที่นั่ง ฉันรู้สึกว่ามือของลูคัสจับมือฉันแน่นขึ้น ฉันที่มัวแต่ชื่นชมผลงานศิลปะอยู่จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่นั่งของเราถูกจัดไว้ติดกับที่นั่งของมาร์ค มาร์คที่กำลังสนใจรูปปั้นโบราณที่ดูน่าเกลียดในส่วนจัดแสดงนั่งอยู่ข้างแซนดร้าซึ่งมองตามเราจนถึงที่นั่งด้วยสีหน้าสะใจ ก่อนที่เราจะไปถึง ฉันใช้มืออีกข้างจับแขนลูคัสไว้ "คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกถูกคุกคามโดยจากมาร์คนะ" ฉันพูดเบา ๆ "ผมรู้" เขาตอบสั้น ๆ "เชิญครับท่าน" พนักงานยิ้มอย
ฉันรู้สึกถึงสายลมเย็นอ่อน ๆ ที่ปะทะต้นคอ เลยหันไปเห็นแซนดร้ากำลังสะบัดพัดโบราณอันงดงามเบา ๆ อยู่ฉันแค่นหัวเราะในใจและเบือนหน้าหนี "ไม่เห็นจะร้อนเลยสักนิด" ฉันพึมพำเบา ๆ "อะไรนะ?" แซนดร้าพูดแทรกทันที "ฉันได้ยินไม่ถนัด เธอว่าพัดนี้สวยมากเลยใช่ไหม?" ฉันกลอกตาให้กับท่าทางเสแสร้งของเธอ "แหม ในเมื่อเธอหยิ่งเกินกว่าจะถาม ฉันจะบอกให้ก็ได้ มาร์คประมูลมันให้ฉันก่อนที่พวกเธอจะมาถึง ฉันแค่บอกเขาว่าฉันต้องการมัน แล้วเขาก็ชนะประมูลที่ราคาหกหมื่นเหรียญ" เธอพูดอย่างภูมิใจราวกับว่ามาร์คเพิ่งขุดต้นไม้อายุร้อยปีมาให้เธอ ฉันยิ้มเยาะ คิดอยู่ว่าจะบอกเธอว่ามาร์คเคยให้เงินฉันหนึ่งแสนดอลลาร์เพื่อแค่ให้ได้เจอหน้าฉันสงสัยว่าเธอจะว่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่พูด เธอกระซิบอีกครั้ง "ฉันพนันเลยว่าเธอไม่เคยเห็นของที่สวยงามแบบนี้มาก่อนเลย ใช่ไหมล่ะ?" "ไม่เคย" ฉันตอบรับพร้อมมองพัดด้วยสายตาอยากได้เพื่อแกล้งทำให้เธอหลงกล อย่างที่คาดไว้ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนริมฝีปากของเธอ "ฉันไม่เคยเห็นอะไรน่าเกลียดขนาดนี้ถูกอวดเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่ามาก่อนเลย เธอไม่อายบ้างเหรอ?" รอยยิ้มของเธอหายว
ขณะที่เขาลุกจากที่นั่งและยื่นมือมาหาฉัน เขาก็พูดว่า "ว่าแต่ ถ้าคุณเห็นอะไรที่ชอบในของที่นำมาประมูลล่ะก็ คุณบอกผมนะ" ฉันยิ้มหวานให้เขา "ได้ค่ะ" ขณะที่ฉันวางมือบนมือของเขา จู่ ๆ ฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่อยากจากไปเฉย ๆ แบบนั้น ฉันอยากทำให้แซนดร้าต้องกังวลใจสักหน่อย ฉันค่อย ๆ ดึงมือของลูคัสออก"รอเดี๋ยวนะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับแซนสักหน่อย" เขามองระหว่างฉันกับแซนดร้า "มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า?" "ไม่เลย ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากบอกอะไรเธอนิดหน่อยเท่านั้นเอง" หลังจากมองดูอีกครั้ง เขาก็พยักหน้า "ได้สิ" เขารออยู่ขณะที่ฉันเดินเฉียงไปทางแซนดร้า ซึ่งตอนนี้จ้องฉันด้วยสายตาเกลียดชัง "เธอรู้ไหมว่าหลังจากเธอแต่งงานกับเขาแล้ว เขาจะพูดอะไรกับเธอ?" แววตาเธอหันไปทางมาร์คอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาที่ฉัน ดูเหมือนคำพูดของฉันจะทำให้เธอเริ่มกังวลแล้ว โอ้ ไวกว่าที่คิดแฮะ"อะไร?" เธอโต้กลับอย่างดุดัน พยายามทำตัวไม่แยแส แต่ริ้วรอยขมวดคิ้วลึกบนใบหน้ามันฟ้องชัดเจน ฉันยิ้มเหยียด รู้สึกเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว "เขาจะพูดว่า… ฉันขอยกคำพูดเขามาเลยแล้วกัน…" ฉันพูดช้า ๆ ชัด ๆ "อย่าคาดหวังอะไรล่ะ สิ่งเด
"ดูสิ่งสวยงามนี่สิครับ!” เสียงของผู้ดำเนินการประมูลปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงความคิดอันน่าตื่นตระหนก“ราคาเริ่มต้นของเครื่องประดับชิ้นนี้คือเจ็ดล้านบาท ไม่น้อยไปกว่านี้"ฉันรู้ว่าผู้ดำเนินการประมูลยังคงพูดอยู่ แต่ใจฉันไม่รับรู้คำพูดของเขาเลย ฉันไม่สามารถเอาภาพมาร์คที่จ้องมองฉันออกไปจากหัวได้ แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้มือสั่นเทาได้แล้ว ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากตักแล้วจับมันไว้แน่น โชคดีที่มือฉันหยุดสั่นแล้วฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ในขณะที่ผู้ดำเนินการประมูลกำลังยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็อาจมีใครบางคนเพิ่มจำนวนเงิน และเปิดปากพูด ฉันได้ยินลูคัสพูดว่า "สิบเจ็ดล้านบาท"ฉันหันไปมองเขาตาแทบถลน "อะไรนะ?” ฉันแอบตะโกนด้วยเสียงกระซิบ“ผมถามว่าคุณอยากได้มันไหม แต่คุณไม่ยอมตอบ"“แล้วทำไมคุณถึงประมูลมันล่ะ?” ถึงแม้ว่าราคาดั้งเดิมของสร้อยข้อมือเส้นนั้นจะสูงกว่านั้นมาก แต่ฉันก็ไม่สามรถปล่อยให้เขานำมาครอบครองได้หรอก“ยี่สิบสี่ล้าน"ในขณะที่เขามองข้างไหล่ฉันไป แล้วพยักหน้ากับอะไรบางอย่างตรงนั้น ก็มีคนเสนอราคาเพิ่มขึ้นมา ฉันจำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี ฉันรู้ว่าใครเป็นคนพูดก่อนจะหันไปมองด้วยซ้ำไ
ฉันเลื่อนแถบการแจ้งเตือนเพื่อเช็คอีเมล์หรือดูการแจ้งเตือนสำคัญ ๆ เมื่อเห็นว่าเบลล่าโทรมาแล้วฉันไม่ได้รับสาย และด้วยความที่ฉันไม่มีอะไรทำ และอยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน ฉันจึงตัดสินใจโทรหาเบลล่าดูเหมือนว่าเธอกำลังรอโทรศัพท์จากฉันอยู่ เพราะเธอรับสายทันทีและรัวคำพูดออกมาอย่างหงุดหงิด "ทำอย่างนั้นหมายความว่ายังไงยะ?” เธอพูดออกมาอย่างฉุนเฉียวสุด ๆ "หล่อนหวังว่าจะได้อะไรจากการส่งภาพนั้นมาเหรอ? ฉันเลิกกับมาร์คแล้ว ฉันกับเขาจบกันไปแล้ว ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะอยู่กับใคร เข้าใจไหม? ฉันไม่สนใจเลย!”“อืมมม" ฉันพึมพำอย่างใจเย็น ซึ่งยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้น "เธอแน่ใจเหรอ? เธอพ่นความโกรธเกรี้ยวออกมาแบบนั้น… จุ๊ จุ๊ ดูเหมือนเธอยังให้ความสนใจอยู่นะ"“รู้อะไรไหม? ทำไมหล่อนไม่สนใจแต่เรื่องของตัวเองล่ะ นางแพศยา? ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่สนใจก็คือไม่สนใจ!”ฉันหัวเราะ ฉันขำกลิ้งจนถึงกับต้องเอามือกุมท้อง ถ้ามีใครอยู่ในห้องน้ำห้องอื่น ๆ ล่ะก็ พวกเขาคงวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงฉัน เพราะคงคิดว่าฉันเป็นพวกโรคจิต“เธอสนใจนะเบลล่า ยอมรับมาซะเถอะ ไม่งั้นเธอคงไม่โกรธเกรี้ยวขนาดนี้หรอก นังเด็กโง่เอ๊ย เธอคิดว่าเธอจะกลายเ
ฉันกดฝ่ามือลงบนฉากกั้นโดยตั้งใจจะให้มันล้มทับฉันไปเลย ในขณะที่มาร์คจ้องมองฉันอย่างเงียบงัน ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของเขาทำให้หัวใจฉันเต้นรัว ฉันแทบจะได้ยินหัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อจ้องมองเขาอย่างระแวดระวังด้วยความตื่นตระหนก“คุณเข้ามาในห้องน้ำหญิงนะ" ฉันพูดออกมาอย่างหมดหนทาง ซึ่งอาจจะช่วยเตือนสติเขาได้ว่ากำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่แล้วเดินจากไป แต่เขากลับมองฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“ผมรู้ดี" เสียงทุ้มต่ำที่หลุดออกมานั้นเหมือนกำลังหักห้ามตัวเองไม่ให้เกรี้ยวกราดฉันกลืนน้ำลายพร้อมกับคิดฟุ้งซ่านในขณะพยายามจะพูดอะไรเพื่อทำลายความเงียบ และได้แต่หวังว่าเขาจะเดินจากไป สายตาของเขาเริ่มทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด และอยากจะวิ่งหนีเขาไปซุกอยู่ใต้อ้อมแขนของลูคัสอย่างปลอดภัย แล้วลูคัสไม่ได้จับตาดูเขาอยู่หรอกเหรอ? ทำไมเขาไม่โทรหาฉันตอนที่มาร์คมานี่ล่ะ?“คุณเพิ่งวางสายของเบลล่าไปนะ" ฉันพูดออกมาอย่างระมัดระวัง โดยหวังว่าบทสนทนาที่ฉันคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้จะไม่ทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น“ผมไม่สนหรอกว่าจะวางสายของใครไป" เขาคำรามออกมาพร้อมกับจับแขนฉันเอาไว้แน่นใช่สิ ฉันคิด เขาไม่สนใจหรอก ถ้า
มือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาสบตากับฉันเหมือนท้าทายให้ฉันลองทำอะไรดูสิ ฉันอยากส่งเสียงตะโกนออกไป แต่เขาก็ใช้นิ้วจิ้มเข้ามาที่ต้นขาฉันเพื่อให้ฉันรู้โดยไม่จำเป็นต้องพูดว่า อย่าได้อาจหาญเชียวนะ!ฉันหลับตาพร้อมกับกัดริมฝีปากในขณะที่รู้สึกได้ว่านิ้วของมาร์คกำลังแตะขอบกางเกงในของฉันอยู่ ฉันถึงกับต้องงอเข่าเมื่อนิ้วหัวแม่มือของเขากดอยู่บนกางเกงในฉัน ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าที่ฉันไม่ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ ก็เพราะมาร์คกดตัวทับฉันเอาไว้แน่นจนฉันแทบขยับตัวไม่ได้“ซิดนีย์?” ฉันลืมตาขึ้นเมื่อลูคัสเรียกชื่อฉันอีกครั้ง ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันเกือบลืมไปว่าเขาอยู่ตรงนั้น "ซิดนีย์ คุณอยู่ในนั้นใช่ไหม?” เสียงของเขาฟังดูร้อนรนและเป็นกังวลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันแอบคาดหวังว่าเขาจะพังประตูเข้ามา แต่เขากลับใช้ข้อนิ้วเคาะประตูเบา ๆ "มีใครอยู่ในนั้นไหม? ซิดนีย์? ทุกอย่างโอเคไหม?” “บอกออกไปสิ!” มาร์คจ้องมองฉันอย่างไม่พอใจพร้อมกับตะคอกใส่ ในขณะเดียวกันนิ้วของไอ้เวรนั่นก็ถูไถอยู่บนกางเกงใน ทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกและอยากจะตบเขาสักฉาด ถ้าเพียงแต่เขาไม่จับข้อมือฉันแน่นขนาดนั้น "คุณรู้ว่าต้
มุมมองของซิดนีย์“ซิดนีย์ คุณโอเคไหม? หมอบอกว่า...”ฉันหยุดฟัง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูคัสพูดนั้นก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตอนแรกฉันรู้สึกได้ถึงพื้นผิวที่ฉันนอนทับอยู่ มันให้ความรู้สึกคุ้นเคย ฉันจำเสื้อที่ฉันสวมอยู่ได้ มันเป็นเสื้อตัวหนึ่งของลูคัสฉันตื่นขึ้นทันที ฉันนึกถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาครั้งสุดท้ายซ้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ฉันจำได้ว่าได้ล้มลงไปในอ้อมแขนของลูคัส แล้วหมดสติไป ในขณะที่เขาตะโกนถามว่าฉันโอเคไหม ฉันคิดว่าฉันจะได้อยู่ในห้องคนไข้ที่โรงพยาบาล แต่กลับมาอยู่บนเตียงนอนและผ้าปูเตียงที่แสนคุ้ยเคยของตัวเองหน้าของลูคัสเป็นหน้าสุดท้ายที่ฉันเห็น แล้วตอนนี้หน้าของเขาก็ยังเป็นภาพแรกที่ฉันเห็นหลังลืมตาขึ้นมา“คุณโอเคไหม?” เขาถามย้ำแล้วจับมือฉันไว้ เขาดูหน้านิ่วคิ้วขมวดและจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่าฉันไม่ได้ฟังที่เขาพูด“ฉันไม่เป็นไร" ฉันพึมพำตอบเขาไปด้วยเสียงอันแหบพร่า และพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ลูคัสรีบวิ่งเข้ามาหาฉัน เขาจัดหมอนที่ฉันหนุนนอนให้ตั้งขึ้นมา เพื่อที่ฉันจะเอาไว้พิงหลังได้ จากนั้นก็ช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้นนั่ง“ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดออกไปช้า ๆ
มุมมองของนักเขียนอาน่าถอนหายใจเสียงดังขณะเดินเข้าไปในห้องพักของเดนนิสและนั่งลงข้าง ๆ เขา เธอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มอ่านเป็นครั้งคราว เธอจะเปิดโทรศัพท์เพื่อดูจัสตินนอนหลับหรือเล่นรอบบ้านในขณะที่พี่เลี้ยงยุ่งอยู่ หรือแค่ซุกตัวบนโซฟาตัวหนึ่งเพื่ออ่านหนังสือ โดยคอยจับตาดูจัสตินตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของอาน่าไปแล้วในวันที่เธอพักค้างคืนที่โรงพยาบาล เธอจะออกจากที่นั่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลจัสตินและกลับมา ขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา นิ้วอุ่นๆ ของเธอประสานกับนิ้วเย็นๆ ที่ยังคงนิ่งของเขา เธอจะอ่านหนังสือเดนนิสยังคงอยู่ในอาการโคม่า และในแต่ละวัน อาน่ารู้สึกว่าความกลัวกำลังเพิ่มขึ้น... กลัวว่าเขาอาจจะยังคงอยู่ในอาการโคม่าจนถึงแก่ชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคนเดียวเธอต้องการให้เขาลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยความรักที่เขามีให้เธอเสมอ เธอต้องการบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและรู้สึกขอบคุณที่มีเขาในชีวิตของเธอ แต่ที่สำคัญที่สุด เธอต้องการขอโทษเขาเธอเห็นแก่ตัวมาก คิดว่าความเจ็บปวดของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าของเธอ... พวกเขาทุกคนรักเอมี่อย่างสุดซึ้ง และพวกเขาทุกคนเจ็บปวดกับการจากไปของเธอจากชีวิตนี้ ห
มุมมองของนักเขียนชารอนถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดฐานมีส่วนร่วมโดยตรงในการเสียชีวิตของเอมี่ แต่มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด เธอโชคดีพอที่จะได้รับการลดหย่อนโทษ จำคุกในระยะเวลาอันสั้น ทนายของเธอทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อของเธอแม้ว่าพ่อของเธอจะผิดหวังกับทุกสิ่งที่เธอทำ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ทายาทที่น่าเกรงขามเพียงคนเดียวของเขา ไม่มีทางที่เขาจะทอดทิ้งเธอได้ขณะที่เธอรับโทษจำคุก นับถอยหลังสู่วันที่เธอจะได้ออกไปจากที่นั่นในที่สุด เธอได้รับเอกสารหย่าร้างส่งมาให้เธอเธอคิดว่าเช้าวันนั้นหนาวเกินไปสำหรับฤดูกาล ห้องขังเล็กๆ ของเธอรู้สึกเล็กกะทันหัน มันรู้สึกเหมือนมันจะปิดล้อมเธอ และเธอเอามือสอดเข้าไปในช่องประตูเพื่อหายใจเมื่อหนึ่งในผู้คุมมาพาเธอไปเธอนั่งลง ได้รับปากกา และต่อหน้าเธอ บนโต๊ะเหล็ก มีจดหมายหย่าร้างวางอยู่ เหตุผลหลักที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการกระทำสกปรกเหล่านี้ทั้งหมดคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไอเดนทิ้งเธอ มันน่าเศร้าจริงๆ ที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ แต่กลับถูกโยนใส่อย่างแรงที่ใบหน้าของเธอในตอนท้ายดวงตาปวดหนึบด้วยน้ำตาขณะที่เธ
"หยุด!" เสียงของเธอสั่นเครือขณะที่เธอตะโกนบอกคนขับแท็กซี่แค่นั้นก็เพียงพอให้อาน่าหันกลับมา"ฉันทำอะไรลงไป?" ลมหายใจของเธอสั่นเทาขณะที่เธอเปิดประตูและรีบออกจากแท็กซี่ มือของเธอสั่นเทาขณะที่เธอสะดุดลงบนทางเท้า"เดนนิส!" เธอตะโกนขณะที่เข่าของเธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตแข็ง "ได้โปรด อย่า" เธอพูดกระซิบ สายตาของเธอจ้องมองไปที่รถที่พังยับเยิน "เดนนิส ต้องรอดให้ได้นะ"เธอคลานไปที่รถ มองเข้าไปข้างในเพื่อดูเขา แต่ข้างในนั้นมืดมิดและเสียงสะอื้นของเธอก็ดังขึ้น "ทำไมฉันถึงออกมา? ทำไมฉันไม่รอเขา?"เธอเช็ดน้ำตา "ฉันสัญญา" เธอสะอื้น "ฉันจะไม่ไปหาเอมี่อีกแล้ว ฉันสัญญา เดนนิส ได้โปรดออกมา" เธอร้องไห้ขณะที่เธอจำได้เลือนรางว่าเขาบอกเธอว่าเอมี่ได้รับความยุติธรรมแล้ว และไม่จำเป็นต้องไปหาเธออีกต่อไปนี่เป็นความผิดของเธอทั้งหมด เธอควรจะฟังเขา เธอควรจะรอเขาก่อนที่เธอจะออกไป"อาน่า!" ไอเดนตะโกนขณะที่เขารีบออกจากรถ เขารู้สึกโล่งใจที่เห็นอาน่า เขาหารถแท็กซี่หลังจากที่เดนนิสขับออกไปสักพัก และตามเขาไป เมื่อเขาสังเกตเห็นฝูงชนและเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็กลัวว่าจะเป็นอาน่า"ให้ตายสิ!" เขาพึมพำขณะหยุดอยู่ต่อ
มุมมองของนักเขียนหลังจากที่ไอเดนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ลังเลเลยก่อนที่จะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีหัวใจของชารอนแตกสลายเมื่อมองดูไอเดนเดินออกไปอย่างโกรธจัด เขาเกลียดชังเธอมากจนทนดูการพิจารณาคดีของเธอไม่ได้เลยหรือ? น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ และเธอรีบเช็ดมันออกก่อนที่พ่อของเธอจะเห็นพ่อของเธอบอกเธอไปก่อนหน้านี้ว่า "พอได้แล้ว ชารอน อย่าร้องไห้เพราะผู้ชายอย่างเขาเลย" แต่นั่นหลังจากที่เขาตำหนิเธอสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ"มีการตัดสินแล้วหรือยัง คุณไอเดน? คุณจะประกันตัวภรรยาของคุณไหม?"คำถามทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้เข้าหูไอเดนแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยขณะที่เขาเร่งรีบไปที่รถของเขาและขับออกจากบริเวณศาลระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาโทรหาทีมรักษาความปลอดภัยของเขาที่ตามเขามาทันทีที่เขาขับรถออกไป "อาน่าสตาเซียเพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลบ้า ตามหาเธอ" เขาออกคำสั่ง "ผมจะส่งรูปของเธอให้คุณตอนนี้""ครับ"เขาตัดสาย ขณะที่เขาขับรถ เขาหารูปอาน่าที่ชัดเจนและส่งให้ทีมรักษาความปลอดภัยที่เริ่มตามหาเธอทันทีจากนั้นไอเดนพยายามโทรหาเดนนิส แต่เขาก็ยังไม่รับสายเมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขาพบเดนนิสอยู่ข้างนอก เขา
ไอเดนเมื่อเวลาผ่านไป คดีของเอมี่ได้รับความสนใจจากสื่อมากมาย ช่องข่าวทุกช่องมีรูปเด็กผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นขณะที่พวกเขาพูดถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของเธอ และทุกคนที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษตามนั้นท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง จุดสนใจก็เปลี่ยนจากเอมี่มาเป็นชารอนและผม อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานของเราและการตั้งครรภ์ปลอมของเธอผมเริ่มได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จักหลายหมายเลข โทรมาถามคำถามไร้สาระทั้งหมดเพื่อต้องการข้อมูลโดยตรงจากแหล่งข่าว ผมต้องเปลี่ยนซิมการ์ดในโทรศัพท์ของผมเป็นซิมที่ผู้ช่วยของผมใช้ หากมีข้อมูลใดๆ เขาก็แค่ส่งต่อมา ผมเบื่อที่จะรับมือกับสายเรียกเข้าที่ไม่หยุดหย่อนเหล่านั้นเมื่อชารอนอาการดีขึ้นและเธอต้องถูกส่งตัวกลับไปที่สถานีตำรวจ พวกเขามาถึงสถานีพร้อมกับกลุ่มนักข่าวที่ทางเข้าตำรวจคุ้มกันเธอขณะพาเธอเข้าไปข้างใน แต่นั่นไม่ได้หยุดนักข่าวจากการตะโกนถามคำถามของพวกเขา"คุณเสแสร้งว่าท้องจริง ๆ เหรอ คุณนายไอเดน?""คุณชารอน คุณยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอยู่ไหม?""สามีของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังรักคุณอยู่ไหม?""จะมีการหย่าร้างไหม?""คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสีย
เดนนิสอาน่าถูกส่งตัวไปยังศูนย์บำบัดวิกฤตสุขภาพจิต และผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของผมที่นั่น แม้ว่าผมจะพยายามแบ่งเวลาอย่างเท่าเทียมกันระหว่างงาน จัสติน และเอมี่ แต่ผมก็พบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่งานเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมทำเงินได้มากกว่าที่เคยทำก่อนที่ผมจะถูกหลอก แต่ผมไม่มีความสุข คนที่ผมรักที่สุดอยู่ในบ้านพักผู้ป่วยทางจิต ทุกวันที่ผมไปที่นั่น ผมหวังว่าอาการของเธอจะเริ่มดีขึ้นในไม่ช้า ครึ่งหนึ่งของเวลา เธอดูปกติดี แค่นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าที่เป็นกลาง เธอจะไม่พูดคุยกับใครเป็นเวลาหลายชั่วโมง อีกครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการร้องไห้และขอร้องให้ผมพาพวกเราไปหาเอมี่แพทย์บอกว่าเธอดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับผมจัสตินทำได้ดีมาก เขาดูเหมือนจะไม่โศกเศร้าอย่างที่ไอเดนแนะนำ มีบางครั้งที่เขาจะร้องไห้และไม่มีอะไรทำให้เขาหยุดได้จนกว่าเขาจะหลับไป แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นหายาก และผมคิดว่าเขาแค่คิดถึงแม่ของเขาผมทำให้แน่ใจว่าผมมีเวลาให้เขาเสมอ เหมือนกับที่ผมมีเวลาให้อาน่า ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน ผมไม่ต้องการปล่อยเขาไว้กับพี่เลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ผมต้องการให้ไอเดนเติ
ไอเดนนักสืบส่งที่อยู่โรงพยาบาลที่ชารอนถูกนำตัวส่งมาให้กับผมภายในห้อง ชารอนนอนขดตัวอยู่กับตนเองพร้อมกับกุญแจมือที่คล้องอยู่พอจะเอื้อมถึงเธอรีบลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้อง "ไอเดน" เธอหายใจออกมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว"ไม่เพียงแต่คุณจะเป็นอาชญากร แต่ยังเป็นคนโกหกด้วยเหรอ? คนโป้ปด!" ผมพูดออกมาขณะที่สายตาเหลือบไปที่ท้องแบนราบของเธอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองขณะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาเตียงของเธอ ผมรู้สึกหมดแรงจนแทบจะยืนด้วยขาของตัวเองไม่ได้เธอส่ายหัว น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ เหมือนกับที่มันไหลลงมาบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอถูกจับกุม "มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ฉันสาบานได้นะ ฉัน…" เธอพูดไม่ออกและไหล่ของเธอก็สั่นเทาขณะที่เธอร้องไห้หนักขึ้นผมเอียงศีรษะไปด้านข้างและมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมไม่รู้สึกสงสารเธอแม้แต่น้อย "ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วมันคืออะไร? บอกมาสิ""คุณแกล้งทำเป็นท้องมาตั้งหลายเดือน!" เสียงหัวเราะขมขื่นหลุดออกจากริมฝีปากขณะที่ผมส่ายหัว มันยังคงรู้สึกเหมือนเรื่องตลก ผมคงไม่เชื่อนักสืบเลย ถ้าไม่มีสัญญาณทั้งหมดที่ผมมองข้ามไปผมโน้มตัวไปข้างหน้
ไอเดนผมตกใจกับคำพูดของเขา เดนนิสรู้แล้วเหรอ?เดนนิสก็มีส่วนร่วมในการสอบสวนด้วย เขาแค่ไม่ได้กระตือรือร้นเท่าผม ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้ยินเรื่องนี้ นอกจากนี้ มันเป็นคดีของลูกสาวเขาด้วย เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้แต่ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดที่รุนแรงของเขา ผมยังคงสับสนกับข่าวที่ว่าอนาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชในขณะนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผมอยากจะตะโกนใส่เขา แต่ผมก็สงบสติอารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผมตั้งแต่แรก... และของชารอน"แล้วเธออยู่ที่โรงพยาบาลไหน?" มันฟังดูไม่จริง ผมรู้ว่าเธอรักเอมี่มาก แต่ผมไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเธอมากขนาดนี้เดนนิสหันมาหาผม คิ้วของเขาขมวดลึกขณะที่เขาขมวดคิ้ว "อยากรู้ไปทำไม? จะได้เอาไปบอกภรรยานายหรือไง?"ให้ตายสิ! ผมรู้สึกว่ามือกำแน่นโดยอัตโนมัติผมหายใจเข้าลึกๆ "ฉันโทรหาพวกนาย แต่ไม่มีใครรับสาย อาน่าก็ปิดโทรศัพท์อีก ฉันก็แค่เป็นห่วง..." ผมพูดเสียงแผ่วและไหล่สั่น “ฉันก็เลยตัดสินใจมาดูเธอนี่ไง"“ตอนนี้นายก็รู้แล้วนะว่าเธออยู่ไหน งั้นเชิญออกไปได้แล้ว”เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะขอให้ผมออกจากบ้านและชีวิต แต่ผ
ไอเดน"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ชารอนพูดขณะที่เธอโอบแขนรอบไหล่ "คุณต้องหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว ที่รัก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ และการทุ่มเทตัวเองให้กับการสอบสวนทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วยเลย""ผมต้องหาตัวคนผิดมาให้ได้ ชารอน ผมต้องหาว่าใครทำเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อลูกสาวผมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผิดนี้ทุเลาลง" "ถ้ามันเป็นวิธีเดียว คุณก็ควรทำอยู่แล้ว" เธอให้กำลังใจ "ฉันจะคอยดูแลให้พ่อช่วยในคดีนี้ด้วย ฉันสัญญา"พ่อของเธอโทรหาผมครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกสาวผม ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับลูกสาวเขาเลย และเขาฟังดูไม่พอใจนัก ผมประหลาดใจด้วยซ้ำที่เธอจะบอกเรื่องนั้นกับพ่อของเธอ ผมสงสัยว่าเขาอยากจะช่วยเปิดโปงฆาตกรของเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเขาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ แต่ผมเก็บเรื่องนั้นไว้กับตัวเอง"ขอบคุณครับ" ผมบอกเธอแทนเธอโอบกอดผมครึ่งหนึ่ง และคราวนี้ไม่ได้ผละออกทันที ในวันแบบนี้เองที่เธอไม่ได้กระโดดหนีจากผมเหมือนผมติดเชื้อเมื่อใดก็ตามที่ผมพยายามสัมผัสเธอ"แล้วคุณจะยิ้มให้ฉันไหม?" เธอยิ้มขณะที่ดึงผิวแก้มของผมเพื่อพยายามทำให้ผมยิ้มเมื่อผมเอามือของเธอออก เธอก็แสร้