"ดูสิ่งสวยงามนี่สิครับ!” เสียงของผู้ดำเนินการประมูลปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงความคิดอันน่าตื่นตระหนก“ราคาเริ่มต้นของเครื่องประดับชิ้นนี้คือเจ็ดล้านบาท ไม่น้อยไปกว่านี้"ฉันรู้ว่าผู้ดำเนินการประมูลยังคงพูดอยู่ แต่ใจฉันไม่รับรู้คำพูดของเขาเลย ฉันไม่สามารถเอาภาพมาร์คที่จ้องมองฉันออกไปจากหัวได้ แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้มือสั่นเทาได้แล้ว ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากตักแล้วจับมันไว้แน่น โชคดีที่มือฉันหยุดสั่นแล้วฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ในขณะที่ผู้ดำเนินการประมูลกำลังยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็อาจมีใครบางคนเพิ่มจำนวนเงิน และเปิดปากพูด ฉันได้ยินลูคัสพูดว่า "สิบเจ็ดล้านบาท"ฉันหันไปมองเขาตาแทบถลน "อะไรนะ?” ฉันแอบตะโกนด้วยเสียงกระซิบ“ผมถามว่าคุณอยากได้มันไหม แต่คุณไม่ยอมตอบ"“แล้วทำไมคุณถึงประมูลมันล่ะ?” ถึงแม้ว่าราคาดั้งเดิมของสร้อยข้อมือเส้นนั้นจะสูงกว่านั้นมาก แต่ฉันก็ไม่สามรถปล่อยให้เขานำมาครอบครองได้หรอก“ยี่สิบสี่ล้าน"ในขณะที่เขามองข้างไหล่ฉันไป แล้วพยักหน้ากับอะไรบางอย่างตรงนั้น ก็มีคนเสนอราคาเพิ่มขึ้นมา ฉันจำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี ฉันรู้ว่าใครเป็นคนพูดก่อนจะหันไปมองด้วยซ้ำไ
ฉันเลื่อนแถบการแจ้งเตือนเพื่อเช็คอีเมล์หรือดูการแจ้งเตือนสำคัญ ๆ เมื่อเห็นว่าเบลล่าโทรมาแล้วฉันไม่ได้รับสาย และด้วยความที่ฉันไม่มีอะไรทำ และอยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน ฉันจึงตัดสินใจโทรหาเบลล่าดูเหมือนว่าเธอกำลังรอโทรศัพท์จากฉันอยู่ เพราะเธอรับสายทันทีและรัวคำพูดออกมาอย่างหงุดหงิด "ทำอย่างนั้นหมายความว่ายังไงยะ?” เธอพูดออกมาอย่างฉุนเฉียวสุด ๆ "หล่อนหวังว่าจะได้อะไรจากการส่งภาพนั้นมาเหรอ? ฉันเลิกกับมาร์คแล้ว ฉันกับเขาจบกันไปแล้ว ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะอยู่กับใคร เข้าใจไหม? ฉันไม่สนใจเลย!”“อืมมม" ฉันพึมพำอย่างใจเย็น ซึ่งยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้น "เธอแน่ใจเหรอ? เธอพ่นความโกรธเกรี้ยวออกมาแบบนั้น… จุ๊ จุ๊ ดูเหมือนเธอยังให้ความสนใจอยู่นะ"“รู้อะไรไหม? ทำไมหล่อนไม่สนใจแต่เรื่องของตัวเองล่ะ นางแพศยา? ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่สนใจก็คือไม่สนใจ!”ฉันหัวเราะ ฉันขำกลิ้งจนถึงกับต้องเอามือกุมท้อง ถ้ามีใครอยู่ในห้องน้ำห้องอื่น ๆ ล่ะก็ พวกเขาคงวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงฉัน เพราะคงคิดว่าฉันเป็นพวกโรคจิต“เธอสนใจนะเบลล่า ยอมรับมาซะเถอะ ไม่งั้นเธอคงไม่โกรธเกรี้ยวขนาดนี้หรอก นังเด็กโง่เอ๊ย เธอคิดว่าเธอจะกลายเ
ฉันกดฝ่ามือลงบนฉากกั้นโดยตั้งใจจะให้มันล้มทับฉันไปเลย ในขณะที่มาร์คจ้องมองฉันอย่างเงียบงัน ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของเขาทำให้หัวใจฉันเต้นรัว ฉันแทบจะได้ยินหัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อจ้องมองเขาอย่างระแวดระวังด้วยความตื่นตระหนก“คุณเข้ามาในห้องน้ำหญิงนะ" ฉันพูดออกมาอย่างหมดหนทาง ซึ่งอาจจะช่วยเตือนสติเขาได้ว่ากำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่แล้วเดินจากไป แต่เขากลับมองฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“ผมรู้ดี" เสียงทุ้มต่ำที่หลุดออกมานั้นเหมือนกำลังหักห้ามตัวเองไม่ให้เกรี้ยวกราดฉันกลืนน้ำลายพร้อมกับคิดฟุ้งซ่านในขณะพยายามจะพูดอะไรเพื่อทำลายความเงียบ และได้แต่หวังว่าเขาจะเดินจากไป สายตาของเขาเริ่มทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด และอยากจะวิ่งหนีเขาไปซุกอยู่ใต้อ้อมแขนของลูคัสอย่างปลอดภัย แล้วลูคัสไม่ได้จับตาดูเขาอยู่หรอกเหรอ? ทำไมเขาไม่โทรหาฉันตอนที่มาร์คมานี่ล่ะ?“คุณเพิ่งวางสายของเบลล่าไปนะ" ฉันพูดออกมาอย่างระมัดระวัง โดยหวังว่าบทสนทนาที่ฉันคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้จะไม่ทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น“ผมไม่สนหรอกว่าจะวางสายของใครไป" เขาคำรามออกมาพร้อมกับจับแขนฉันเอาไว้แน่นใช่สิ ฉันคิด เขาไม่สนใจหรอก ถ้า
มือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาสบตากับฉันเหมือนท้าทายให้ฉันลองทำอะไรดูสิ ฉันอยากส่งเสียงตะโกนออกไป แต่เขาก็ใช้นิ้วจิ้มเข้ามาที่ต้นขาฉันเพื่อให้ฉันรู้โดยไม่จำเป็นต้องพูดว่า อย่าได้อาจหาญเชียวนะ!ฉันหลับตาพร้อมกับกัดริมฝีปากในขณะที่รู้สึกได้ว่านิ้วของมาร์คกำลังแตะขอบกางเกงในของฉันอยู่ ฉันถึงกับต้องงอเข่าเมื่อนิ้วหัวแม่มือของเขากดอยู่บนกางเกงในฉัน ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าที่ฉันไม่ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความเหนื่อยหอบ ก็เพราะมาร์คกดตัวทับฉันเอาไว้แน่นจนฉันแทบขยับตัวไม่ได้“ซิดนีย์?” ฉันลืมตาขึ้นเมื่อลูคัสเรียกชื่อฉันอีกครั้ง ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันเกือบลืมไปว่าเขาอยู่ตรงนั้น "ซิดนีย์ คุณอยู่ในนั้นใช่ไหม?” เสียงของเขาฟังดูร้อนรนและเป็นกังวลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันแอบคาดหวังว่าเขาจะพังประตูเข้ามา แต่เขากลับใช้ข้อนิ้วเคาะประตูเบา ๆ "มีใครอยู่ในนั้นไหม? ซิดนีย์? ทุกอย่างโอเคไหม?” “บอกออกไปสิ!” มาร์คจ้องมองฉันอย่างไม่พอใจพร้อมกับตะคอกใส่ ในขณะเดียวกันนิ้วของไอ้เวรนั่นก็ถูไถอยู่บนกางเกงใน ทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกและอยากจะตบเขาสักฉาด ถ้าเพียงแต่เขาไม่จับข้อมือฉันแน่นขนาดนั้น "คุณรู้ว่าต้
มุมมองของซิดนีย์“ซิดนีย์ คุณโอเคไหม? หมอบอกว่า...”ฉันหยุดฟัง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูคัสพูดนั้นก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตอนแรกฉันรู้สึกได้ถึงพื้นผิวที่ฉันนอนทับอยู่ มันให้ความรู้สึกคุ้นเคย ฉันจำเสื้อที่ฉันสวมอยู่ได้ มันเป็นเสื้อตัวหนึ่งของลูคัสฉันตื่นขึ้นทันที ฉันนึกถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาครั้งสุดท้ายซ้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ฉันจำได้ว่าได้ล้มลงไปในอ้อมแขนของลูคัส แล้วหมดสติไป ในขณะที่เขาตะโกนถามว่าฉันโอเคไหม ฉันคิดว่าฉันจะได้อยู่ในห้องคนไข้ที่โรงพยาบาล แต่กลับมาอยู่บนเตียงนอนและผ้าปูเตียงที่แสนคุ้ยเคยของตัวเองหน้าของลูคัสเป็นหน้าสุดท้ายที่ฉันเห็น แล้วตอนนี้หน้าของเขาก็ยังเป็นภาพแรกที่ฉันเห็นหลังลืมตาขึ้นมา“คุณโอเคไหม?” เขาถามย้ำแล้วจับมือฉันไว้ เขาดูหน้านิ่วคิ้วขมวดและจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่าฉันไม่ได้ฟังที่เขาพูด“ฉันไม่เป็นไร" ฉันพึมพำตอบเขาไปด้วยเสียงอันแหบพร่า และพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ลูคัสรีบวิ่งเข้ามาหาฉัน เขาจัดหมอนที่ฉันหนุนนอนให้ตั้งขึ้นมา เพื่อที่ฉันจะเอาไว้พิงหลังได้ จากนั้นก็ช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้นนั่ง“ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดออกไปช้า ๆ
"ผมพูดจริงนะ เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ไปให้พ้นจากคนพวกนั้น คุณอาจตั้งสาขาธุรกิจที่นั่นก็ได้นะ"ฉันรู้สึกอบอุ่นใจกับความตั้งใจดีของเขา แล้วริมฝีปากของฉันก็ยืดออกเป็นรอยยิ้ม "ฉันอยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน" ฉันเริ่มพูดออกมา "แต่ฉันยังมีบางอย่างต้องจัดการที่นี่ เมื่อฉันจัดการอะไร ๆ ในบริษัทเสร็จแล้ว ฉันก็จะไปอิตาลีกับคุณค่ะ" ฉันตัดสินใจพูดต่อว่า "ฉันอยากไปดูที่ที่คุณใช้ชีวิตซักพักหนึ่ง"เขายิ้ม "ผมทนรอไม่ไหวแล้ว"“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องมาร์คนั้นฉันมาคิดทบทวนดูแล้ว ฉันคิดว่าในช่วงหลัง ๆ นี้ ฉันได้ทำตัวหยิ่งผยองเกินไป อย่างน้อยก็ทำกับเขานั่นแหละ ฉันคอยกวนประสาทและผลักให้เขาจนมุมมาเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่ต้องใจเย็นลงและยุติอะไรพวกนี้ซะที ตอนนี้เราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันแล้ว ฉันไม่ควรหยิ่งผยองกับเขามากเกินไป"“และคุณควรอยู่ห่างจากเขาด้วย" ลูคัสกล่าวเสริมแล้วฉันก็หัวเราะคิกคัก“คุณเป็นผู้ชายขี้หึงนะ" ฉันหยอกเย้า เขาส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอ่อน "ไม่หรอก คุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมรู้สึกหึงหวงหรอก ผมเป็นของคุณและคุณก็เป็นของผม ตลอดไป"“อั๊ยยย" ฉันดึงเขาเข้ามา "ใช่แล้วล่ะลูคัส ฉันจะเป็นของคุณตลอดไป"
ฉันตัวแข็งทื่อและไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่บนในหน้าเลย“ฉันจะส่งที่อยู่ของโรงพยาบาลให้เธอเอง" มาร์คพูด จากนั้นก็ตัดสายทิ้ง“โอ้ พระเจ้า" เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์เร่งด่วน ลูคัสก็รีบม้วนตัวมาหาฉัน แล้วฉันก็กระโดดลงจากเตียง "ลูคัส ฉันต้องรีบไปที่นั่นนะ" ฉันไม่ยอมเสียเวลาควานหาเสื้อผ้าที่เราหลับหูหลับตาโยนทิ้งไปทั่วห้อง ฉันรีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วคว้าชุดแรกที่เห็นออกมา นั่นคือชุดกระโปรงคอปกฉันควานหากางเกงในแล้วสวมมันไว้ มือของฉันสั่นเทาในขณะพยามถอดกระดุมเสื้อ จู่ ๆ ลูคัสก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน เขาคว้าชุดนั้นไปจากฉันอย่างนุ่มนวลและเงียบงัน ปลดกระดุมเแล้วสวมชุดนั้นเข้าทางหัว จากนั้นก็ติดกระดุมให้ ฉันแค่ยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้เขาแต่งเนื้อแต่งตัวให้ถึงแม้ว่าดอริสจะไม่ใช่คุณยายแท้ ๆ ของฉัน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคุณยายของผู้ชายที่ฉันเคยเกลียดชัง แต่ท่านก็ยังมีความหมายกับฉันมาก คุณยายดอริสเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี เธอเป็นคนทำให้ฉันรู้ว่าการมีแม่นั้นเป็นฉันใด เธอเป็นคนดีมากตั้งแต่เราได้พบกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านฉันคิดว่าฉันคงทนรับไม่ได้แน่ ๆอาการของท่านคงจะแย่มากจริง ๆ ถึงไ
"หนูอยู่นี่แล้วค่ะคุณยาย" ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้น“ขอบใจจ้ะ" เธอกระซิบแล้วหลับตาไปครู่หนึ่ง ซึ่งฉันรับรู้ได้ว่าท่านกำลังรู้สึกเจ็บปวด ท่านกำลังเจ็บปวดมากแต่ไม่อยากให้เราเห็นเธอลูบผมฉันพร้อมกับจ้องตา มีรอยยิ้มเศร้าสร้อยและเสียใจผุดขึ้นบนริมฝีปาก "รู้ไหม ยายหวังมาตลอดว่าเธอกับมาร์คจะครองรักกันไปได้นาน ๆ …ตลอดไป แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่ทะนุถนอมเธอไว้ เขาไม่คู่ควรกับเธอ ยายก็เลยจะไม่วิงวอนขอร้องให้เธอกลับมาคบกับเขาหรอก แต่ยายขอร้องให้เธอคอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เขาหน่อยนะ" ฉันอยากจะบอกท่านว่าถึงแม้ฉันจะคอยช่วยเหลือเขา มาร์คก็หยิ่งยะโสเกินกว่าจะโชว์ความอ่อนแอ และยอมรับความช่วยเหลือจากฉันได้ แต่ท่านก็ห้ามฉันเอาไว้“ยายเข้าใจดีว่ามาร์คเป็นคนเอาแต่ใจ และอาจพูดได้ว่าเป็นคนห่างเหิน แต่เชื่อยายเถอะว่าเขาเป็นคนใส่ใจ และต้องการใครสักคนมาดูแลเหมือนกัน ครอบครัวของเราอาจเป็นครอบครัวใหญ่ แต่หลังจากยายจากไปแล้ว มาร์คจะต้องอยู่ตัวคนเดียว แม่ของเขาก็อย่างที่รู้ ๆ กันนั่นแหละ เป็นคนผิวเผินและไม่รู้เรื่องราวอะไร แล้วสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ก็จับจ้องตำแหน่งของเขาอยู่ เขาเป็นคนเดียวที่สามารถพึ่งพาได้เมื่อฉ
ฉันถอนหายใจและทำเมินเฉยต่อคำถามของเขา ฉันดูแลความเรียบร้อยในการสวมสูทให้เขาต่อไป ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ฉันกับมาร์คก็ค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับความสัมพันธ์แบบเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจ แต่เราทั้งคู่ต่างรู้สึกว่ามีอะไรที่เดือดพล่านอยู่ภายใต้พิธีการและความเป็นมืออาชีพของเรา ไม่มีใครยอมรับในเรื่องนี้ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่อยากใช้เวลากับเขามากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่กันตามลำพัง ตอนนี้ฉันแค่อยากทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วเดินออกจากที่นี่ไปแต่ฉันก็น่าจะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันยอมถอย มาร์คไม่ใช่คนประเภทขี้อายหรือถอยหนีจากอะไรทั้งนั้น“ผมถามคำถามคุณอยู่นะ" เขาพูดอย่างจริงจังฉันถอนหายใจอีกครั้ง ฉันไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับเขาในเช้านี้ "นี่เป็นวันแต่งงานของคุณนะมาร์ค" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "ทำไมคุณถึงถามคำถามแบบนั้นกับฉัน?”ฉันส่ายหัวแล้วเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะทำภารกิจสุดท้ายในการสวมสูทให้ดูเหมาะเจาะกับตัวเขา ฉันถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาขึ้นลงตามรูปทรงของสูทที่ดูพอดีตัว จากนั้นก็ยิ้มออกมาจนได้ เมื่อมองไกล ๆ คุณก็สามารถบอกได้เลยว่าสูทตัว
"ห๊ะ?” ช้อนที่เต็มไปด้วยโกโก้ ป๊อปส์ของฉันหยุดนิ่งกลางอากาศ หลังจากได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพ มันฟังไม่สมเหตุสมผลเลยจนกระทั่งโหลดคลิปวิดีโอเสร็จ แล้วเห็นว่าของขวัญแต่งงานนั้นคืออะไรไคลฟ์ คริสเตียน ได้รังสรรค์น้ำหอมกลิ่นโปรดของเธอที่มีจำนวนจำกัด และตั้งชื่อกลิ่นหอมนั้นตามชื่อของเธอ พวกเขาปรุงน้ำหอมนี้ให้เธอหลายพันขวด เพื่อใช้เป็นของขวัญให้เธอได้แบ่งปันกับแขกที่มาร่วมงานแต่งงาน“โอ๊ย นี่มันบ้าไปแล้ว!” ฉันอุทานออกมา แล้วปล่อยช้อนหล่นลงในถ้วย“นั่นอะไรน่ะ?” เกรซเงยหน้าขึ้นจากถุงใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วฉันหันโทรศัพท์ให้เกรซดู แล้วเธอก็หัวเราะคิกคัก "เด็กเอาแต่ใจ เธอทำงานโดยไม่ได้อะไรเลย แต่กลับใช้จ่ายเงินไปอย่างมากมาย" เกรซพูดในขณะที่เธอนำชุดสูทแต่งงานของมาร์กบรรจุลงในถุงใส่เสื้อผ้าเจ้าบ่าวคนนี้ไม่เหมือนกับเจ้าสาว เขาเพียงแต่สั่งตัดชุดสูทจากลักซ์ โว้คเท่านั้นเอง เกรซใช้เวลาอันแสนหวานในการออกแบบและตัดเย็บสูทให้เขา ซึ่งเป็นสูทสามชิ้นสีดำที่มีผิวสัมผัสสุดนุ่มและเรียบเนียน ฉันสงสัยจังว่าเธอใช้เวลาขนาดไหนในการปักลวดลายอันซับซ้อนนั้นลงบนบริเวณคอเสื้อและข้อมือ ซึ่งทำให้สูทดูโดดเด่นและเข้ากับบุคล
หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากที่คุณยายถูกประกาศว่าอยู่ในอาการโคม่าผ่านไปเหมือนภาพรางเลือน ธุรกิจกำลังเฟื่องฟู ฉันกับลูคัสก็สนิทสนมกันมากกว่าเดิม ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีมาร์คกับแซนดร้าประกาศหมั้นหมายกัน และกำหนดวันหมั้นในวันนี้ แซนดร้าไม่สามารถหยุดคุยฟุ้งไปทั่วทั้งอินเตอร์เน็ตได้“ฉันสงสัยจังว่าสตีเว่นกับแซนดร้าจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้" เกรซกำลังนั่งดูหนึ่งในหลาย ๆ คลิปพรีเวดดิ้งของแซนดร้าอยู่ แล้วเธอพูดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยฉันก็แค่เลิกคิ้วขึ้นโดยไม่พูดอะไรเลย เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมารอฟังคำตอบ ฉันจึงไม่คิดว่าเธอจะต้องการคำตอบ นอกจากนี้ฉันก็ไม่สนใจด้วยว่าคนทั้งคู่นั้นจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งฉันอาจสนใจความรู้สึกของมาร์คมากกว่า แต่นั่นเป็นเพราะฉันให้สัญญากับดอริสเอาไว้ บางครั้งฉันก็รู้สึกต้องรับผิดชอบต่อเขาบ้าง ฉันรู้สึกหนักใจเหลือเกินเมื่อนึกถึงคุณยายด้วยสถานะทางการเงินที่เฟื่องฟูอย่างต่อเนื่องของมาร์ค ความต้องการอย่างเข้มงวดและหรูหราของแซนดร้าจึงได้รับการตอบสนองถ้าจะให้พูดตามตรงแล้ว เรื่องราวทั้งหมดนั้นก็เหมือนเป็นการทำธุรกิจกัน มากกว่าจะเป็นการจับคู่ของชายหญิงที่พยายามแสดงตนเป็นคู
"อ้อ ขอโทษค่ะ" ฉันพึมพำออกไปด้วยความรู้สึกเขินอายนิดหน่อย แล้วหลีกทางให้เธอเปลี่ยนขวดน้ำเกลือให้ดอริส ตรวจอุณภูมิร่างกาย และทำอะไรต่ออะไรที่นางพยาบาลพีงกระทำยามมาตรวจคนไข้ เสร็จแล้วก็เดินจากไปดอริสยังคงพูดคุยกับลูคัสต่อไป "ตอนนี้ฉันโล่งใจขึ้นมากที่เธอพบความสุขแล้ว"“ผมพบความสุขแล้วครับ" ลูคัสพูดซ้ำ แล้วดอริสกับลูคัสก็หันมามองฉันพร้อมกัน ลูคัสยิ้มแฉ่ง ส่วนมาร์คก็เงยหน้าขึ้นมาด้วย ฉันยืนหน้าแดงก่ำท่ามกลางสายตาจ้องมองของพวกเขา โดยภาวนาให้พวกเขาหันไปมองทางอื่น โชคดีที่พวกเขาหันหน้าไป แต่สายตาล้ำลึกของมาร์คยังคงจับจ้องอยู่ ฉันจ้องตาเขาแล้วเลิกคิ้วใส่เขา จากนั้นเห็นหันหน้าหนีไปดอริสมองดูลูคัสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ความเสียใจ และ...ความพึงพอใจคละเคล้ากัน? “ลูคัส" ท่านเอามือลูบแก้มเขาอีกครั้ง "เธอเป็นเด็กดีนะ ฉันหวังว่าเธอคงไม่จะไม่ทิ้งอะไรก็ตามที่ทำให้เธอมีความสุขไปหรอกนะ" ท่านจ้องมองเขาอย่างแข็งกร้าว "อย่าปล่อยให้เธอหลุดมือไปนะลูคัส" เขาพยักหน้าแต่คุณยายส่ายหัว "สัญญากับฉันสิ"ลูคัสไม่ได้ได้ตอบทันที เขาสวมกอดรีเบคก้าแน่นขึ้น และดูเหมือนทั้งคู่จะจ้องตากัน จากนั้นลูคัสก
ในขณะที่ฉันเฝ้ามองและฟังพวกเขาสนทนากัน ฉันก็อดที่จะนึกถึงสิ่งที่ลูคัสเคยบอกฉันไม่ได้ ซึ่งมีอยู่คืนหนึ่งที่เราพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ มากมายหลังจากมีเซ็กซ์กัน ฉันพูดในขณะขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา โดยเอาหัวหนุนหน้าอกกว้าง ๆ ของเขาอย่างสบายใจ...“เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ฉันไม่รู้เรื่องอดีตของคุณเลย...“ผมเป็นลูกนอกสมรสของแฮร์รี่ สามีของคุณยายดอริส...”“ฉันได้ยินเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว" ฉันขัดจังหวะเขาด้วยการส่งเสียงร้องพร้อมกับพูดติดตลก "เล่าเรื่องที่ฉันยังไม่รู้สิ" เขาหัวเราะคิกคักกับคำพูดของฉัน ซึ่งทำให้ฉันยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ“ก็ได้ ผมจะเล่าเรื่องที่คุณยังไม่รู้ แม่ของผมชื่อเซราฟิน่า" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพร้อมกับใช้มือลูบเส้นผมของฉันอย่างเหม่อลอยฉันจำได้เลยว่าฉันฟังเขาหูผึ่งเลย ลูคัสไม่เคยพูดถึงแม่ของเขาเลย“แฮร์รี่อยากได้ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า ใครสักคนที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง แม่ของผมเป็นได้มากกว่าที่เขาตั้งเป้าเอาไว้ เขาตกหลุมรักเธอแล้วตัดสินใจหย่ากับดอริส"ฉันนิ่งเงียบไปนานเลย ฉันเบ้ปากเพราะคิดว่าเขาจะจบลงแค่นั้น แต่เขาก็ยังพูดต่อไป“พ่อเ
มุมมองของซิดนีย์คุณยายดอริสยิ้มให้มาร์ค แล้วพูดขึ้นว่า "ขอบใจมาก"มาร์คพยักหน้าพร้อมกับเม้มปาก จากนั้นคุณยายก็หันมาทางฉัน "ลูคัสอยู่ไหน? เขามากับหนูหรือเปล่า?”“มาด้วยค่ะ" ฉันตอบอย่างรวดเร็ว ฉันรู้ว่าลูคัสก็อยากจะเจอท่านเหมือนกัน "เขารออยู่ข้างนอกค่ะ"“บอกให้เขาเข้ามา ยายอยากจะเจอเขาเหมือนกัน" ดอริสพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตู จากนั้นก็เปิดประตูแล้วโผล่หัวออกไปเหมือนตอนออกมาเรียกมาร์ค เขาวางข้อศอกไว้บนเข่าแล้วเอามือกุมหัวไว้ ฉันสงสัยจังว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่?“ที่รักคะ" ฉันเรียกเขาเบา ๆ แล้วเขาก็กระเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง“ครับ" เขาพูดอย่างกระอึกกระอัก แล้วรีบวิ่งมาที่ประตู "คุณยายเป็นยังไงบ้าง?”“ก็" ฉันยักไหล่เล็กน้อย "ท่านยังคงอยู่ที่นั่น" จากนั้นก็ส่งข้อความจากคุณยายให้เขา "ท่านอยากพบคุณ"ลูคัสเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับทำปากหวอราวกับเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกเรียกเข้าไปพบด้วยฉันเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วถอยห่างออกไปจากประตู "เข้ามาสิคะ" ฉันพูดแล้วหันกลับไปที่เตียงของดอริส ประตูส่งเสียงดังกริ๊กเบา ๆ เมื่อเขาปิดมันหลังจากเดินตามฉันเข้ามา ฉันกับมาร์คมอง
"หนูอยู่นี่แล้วค่ะคุณยาย" ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้น“ขอบใจจ้ะ" เธอกระซิบแล้วหลับตาไปครู่หนึ่ง ซึ่งฉันรับรู้ได้ว่าท่านกำลังรู้สึกเจ็บปวด ท่านกำลังเจ็บปวดมากแต่ไม่อยากให้เราเห็นเธอลูบผมฉันพร้อมกับจ้องตา มีรอยยิ้มเศร้าสร้อยและเสียใจผุดขึ้นบนริมฝีปาก "รู้ไหม ยายหวังมาตลอดว่าเธอกับมาร์คจะครองรักกันไปได้นาน ๆ …ตลอดไป แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่ทะนุถนอมเธอไว้ เขาไม่คู่ควรกับเธอ ยายก็เลยจะไม่วิงวอนขอร้องให้เธอกลับมาคบกับเขาหรอก แต่ยายขอร้องให้เธอคอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เขาหน่อยนะ" ฉันอยากจะบอกท่านว่าถึงแม้ฉันจะคอยช่วยเหลือเขา มาร์คก็หยิ่งยะโสเกินกว่าจะโชว์ความอ่อนแอ และยอมรับความช่วยเหลือจากฉันได้ แต่ท่านก็ห้ามฉันเอาไว้“ยายเข้าใจดีว่ามาร์คเป็นคนเอาแต่ใจ และอาจพูดได้ว่าเป็นคนห่างเหิน แต่เชื่อยายเถอะว่าเขาเป็นคนใส่ใจ และต้องการใครสักคนมาดูแลเหมือนกัน ครอบครัวของเราอาจเป็นครอบครัวใหญ่ แต่หลังจากยายจากไปแล้ว มาร์คจะต้องอยู่ตัวคนเดียว แม่ของเขาก็อย่างที่รู้ ๆ กันนั่นแหละ เป็นคนผิวเผินและไม่รู้เรื่องราวอะไร แล้วสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ก็จับจ้องตำแหน่งของเขาอยู่ เขาเป็นคนเดียวที่สามารถพึ่งพาได้เมื่อฉ
ฉันตัวแข็งทื่อและไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่บนในหน้าเลย“ฉันจะส่งที่อยู่ของโรงพยาบาลให้เธอเอง" มาร์คพูด จากนั้นก็ตัดสายทิ้ง“โอ้ พระเจ้า" เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์เร่งด่วน ลูคัสก็รีบม้วนตัวมาหาฉัน แล้วฉันก็กระโดดลงจากเตียง "ลูคัส ฉันต้องรีบไปที่นั่นนะ" ฉันไม่ยอมเสียเวลาควานหาเสื้อผ้าที่เราหลับหูหลับตาโยนทิ้งไปทั่วห้อง ฉันรีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วคว้าชุดแรกที่เห็นออกมา นั่นคือชุดกระโปรงคอปกฉันควานหากางเกงในแล้วสวมมันไว้ มือของฉันสั่นเทาในขณะพยามถอดกระดุมเสื้อ จู่ ๆ ลูคัสก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน เขาคว้าชุดนั้นไปจากฉันอย่างนุ่มนวลและเงียบงัน ปลดกระดุมเแล้วสวมชุดนั้นเข้าทางหัว จากนั้นก็ติดกระดุมให้ ฉันแค่ยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้เขาแต่งเนื้อแต่งตัวให้ถึงแม้ว่าดอริสจะไม่ใช่คุณยายแท้ ๆ ของฉัน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคุณยายของผู้ชายที่ฉันเคยเกลียดชัง แต่ท่านก็ยังมีความหมายกับฉันมาก คุณยายดอริสเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี เธอเป็นคนทำให้ฉันรู้ว่าการมีแม่นั้นเป็นฉันใด เธอเป็นคนดีมากตั้งแต่เราได้พบกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านฉันคิดว่าฉันคงทนรับไม่ได้แน่ ๆอาการของท่านคงจะแย่มากจริง ๆ ถึงไ
"ผมพูดจริงนะ เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ไปให้พ้นจากคนพวกนั้น คุณอาจตั้งสาขาธุรกิจที่นั่นก็ได้นะ"ฉันรู้สึกอบอุ่นใจกับความตั้งใจดีของเขา แล้วริมฝีปากของฉันก็ยืดออกเป็นรอยยิ้ม "ฉันอยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน" ฉันเริ่มพูดออกมา "แต่ฉันยังมีบางอย่างต้องจัดการที่นี่ เมื่อฉันจัดการอะไร ๆ ในบริษัทเสร็จแล้ว ฉันก็จะไปอิตาลีกับคุณค่ะ" ฉันตัดสินใจพูดต่อว่า "ฉันอยากไปดูที่ที่คุณใช้ชีวิตซักพักหนึ่ง"เขายิ้ม "ผมทนรอไม่ไหวแล้ว"“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องมาร์คนั้นฉันมาคิดทบทวนดูแล้ว ฉันคิดว่าในช่วงหลัง ๆ นี้ ฉันได้ทำตัวหยิ่งผยองเกินไป อย่างน้อยก็ทำกับเขานั่นแหละ ฉันคอยกวนประสาทและผลักให้เขาจนมุมมาเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่ต้องใจเย็นลงและยุติอะไรพวกนี้ซะที ตอนนี้เราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันแล้ว ฉันไม่ควรหยิ่งผยองกับเขามากเกินไป"“และคุณควรอยู่ห่างจากเขาด้วย" ลูคัสกล่าวเสริมแล้วฉันก็หัวเราะคิกคัก“คุณเป็นผู้ชายขี้หึงนะ" ฉันหยอกเย้า เขาส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอ่อน "ไม่หรอก คุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมรู้สึกหึงหวงหรอก ผมเป็นของคุณและคุณก็เป็นของผม ตลอดไป"“อั๊ยยย" ฉันดึงเขาเข้ามา "ใช่แล้วล่ะลูคัส ฉันจะเป็นของคุณตลอดไป"