เธอถูกวางลงบนพื้นห้องน้ำอย่างเบามือ จากนั้นเหม่ยหลินก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปจัดการลูบไล้ แล้วปลดเสื้อคลุมของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว โดยริมฝีปากยังคงลากไล้และจุมพิตไปตามผิวกายนวลเนียนของถิงถิงอย่างปรารถนาเมื่อจัดการกับเสื้อผ้าตัวเองเสร็จเรียบร้อย มือเรียวก็ถูกส่งกลับมาทำหน้าที่ฟ้อนเฟ้นสองเต้ากลมกลึงที่เด้งรับเมื่อกดขยำลงไป“อืมส์...” ถิงถิงส่งเสียงคราง เข่าอ่อนแรง หากดีที่แขนของเหม่ยหลินสวมกอดเอาไว้ได้เป็นหลักยืด เหม่ยหลินหมุนตัวให้ถิงถิงหันหน้ามาหาตนเองแล้วดันคนตัวเล็กหลังชิดกำแพง ตาสบตาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่กำลังเปลี่ยมล้นใบหน้าที่ซุกไซร้พรมจูบไปทั่ว ก่อนจะย่อตัวเลื่อนลงต่ำในท่านั่งคุกเข่า แล้วแยกขาเรียวของถิงถิงให้ห่างออกจากกัน ใบหน้าของเหม่ยหลินอยู่ระดับกลางลำตัวถิงถิงพอดิบพอดีถิงถิงเหงนหน้าหู่ปากสูดเอาอากาศเข้าไป แล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมา เพื่อบรรเทาความกระสันเสียว นัยน์ตาเคลิ้มลอย เมื่อริมฝีปากอิ่มประทับลงไปบนหน้าท้องราบแบน แล้วลากไล้ด้วยลิ้นอุ่นร้อนไปทั่วผิวเนื้อนวลเนียนที่ไร้ไขมันส่วนเกินของเธอ“ช้า ๆ ไม่ต้องรีบนะ...” เสียงแผ่วพร่าเอ่ยบอก ในขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของผิวกายนวลเ
ความหวาบหวามไหลซ่านไปทั่วอณูขุมขน เหม่ยหลินถอนริมฝีปากห่าง สองมือเลื่อนลงมาคำยันด้านหลัง ก่อนจะยกสะโพกสูงเพื่อให้ได้จังหวะกดทับกลีบบัวงามที่บานเบ่ง กดคลึงแน่นย้ำขยี้ไปตามความปรารถาที่กำลังถาโถมเข้ามา แล้วยกห่างแล้วกระแทกลงไปใหม่ จนน้ำหวานที่หลั่งรินของกันและกันไหลเยิ้มออกมาด้วยความกระสันเสียวหากเหม่ยหลินไม่หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อเธอกดให้ถิงถิงนอนราบไปกับอ่างเปลี่ยนท่าให้นอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นสูง ส่วนตัวเองก็นั่งยอง ๆ คร่อมหน้าขา สายตาจดจ่อ มองดูกลีบบัวงามที่เริ่มบวมแดงของคนตัวเล็กที่มีสภาพไม่ต่างกันเหม่ยหลินกดกลางกายสาวให้ทักทายกันอีกครั้ง ค่อย ๆ บดเบียดเสียดสี ไปตามจังหวะที่ถนัดถนี่ขึ้น แล้วเพิ่มความแรงกดคลึงเสียดสีจนเสียวซ่านไปทั่วช่องท้อง มือก็ทำหน้าที่เค้นคลึงสองเต้ากลมที่เด้งดึงไปตามจังหวะยามที่ส่วนกลางกระแทกลงไป“พะ พี่ หยก นะหนู มะ ไม่ไหวแล้ว...” เสียงแหบพล่าเริ่มไม่ไหวกับความรัญจวนที่โถมเข้ามา เหม่ยหลินขยับเปลี่ยนท่านอนตะแคงสองขายังไขว้และซ้อนทับกันอยู่ เพื่อให้ได้จังหวะจะโคนตอกกลีบกุหลาบงามชิดแนบ บดเบียดไม่แยกห่าง จนช่องทางกลีบงามเริ่มตอดขมิบเกร็งและแตะเส้นสีรุ้งไปพร้
เมื่อสัมผัสด้วยมือจนพอใจ ถิงถิงจึงก้มหน้าลงต่ำ กดปลายจมูกสูดดมกลิ่นสาบสาวหืดเข้าจนเต็มปอด แล้วใช้ลิ้นตวัดยอดเกษร จนเหม่ยหลินต้องซีดปากด้วยความกระสันเสียวช่องท้อง จนตัวบิดเกร็งเหม่ยหลินตัดสินใจดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง และจัดการเสียเองโดยคนถูกแย่งหน้าที่ไม่คัดค้าน เมื่อเหม่ยหลินลุกขึ้นนั่ง แล้วดันให้ร่างบางนอนราบไปในอ่าง ที่มีน้ำเพิ่มสูงขึ้นเหม่ยหลินเริ่มทาบทับริมฝีปากลงไป ตามร่างกายที่มีรอยช้ำเขียวทั้งเก่าและรอยใหม่ที่เธอเป็นคนฝากไว้อุ้งปากบางครอบครองยอดปลายถัน ใช้ฟันหน้างับไปที่เม็ดบัวเบา ๆ แล้วค่อย ๆ รูดขึ้นสลับกับงับแล้วอม จากนั้นใช้ปลายลิ้นสะกิดเม็ดบัวด้วยความเร็วคงที่ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นแล้วสลับไปอีกข้าง เพื่อให้เท่าเทียมกันทั้งสองเต้ากลมถิงถิงถึงกับบิดตัวเกร็ง ส่วนกลางกายตอดขมิบรับสัมผัสส่วนบนที่ถูกกระทำ “โอ้ว...”เสียงร้องที่มาพร้อมกับการบิดเกร็งของคนใต้ร่าง ทำให้เหม่ยหลินรีบประเคนลีลาตอบสนอง โดยดันตัวออกห่าง แล้วยกร่างบางให้อยู่ในท่าคลานคุกเข่า โดยมือให้จับขอบอ่างไว้ เพื่อเป็นหลักยืดเหม่ยหลินจ้องกลีบกุหลาบงาม ที่บานเบ่งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะให้ลิ้นตวัดไปตรงกลีบกุหลาบด้านซ้าย ทักทา
ฮ่องกง...ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นเขตวิกตอเรียพีค ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของเหล่าดารา นักธุรกิจ และมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นสถานที่พักผ่อน ห่างจากความวุ่นวายและมลพิษในเมืองหลวง และมากกว่านั้น พื้นที่บริเวณนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่อสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในเอเชียรถคันหรูที่ได้รับคำสั่งให้ไปรับทายาทรุ่นที่หนึ่งถึงสนามบิน ก็เคลื่อนผ่านประตูใหญ่เข้ามาจอดอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์หรู ซึ่งมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในขณะที่ผู้คนยื่นอยู่ในแต่ละจุดหันมามองเป็นตาเดียวกัน และเมื่อรถจอดด้านหน้าโดมใหญ่ ประตูรถด้านหลังฝั่งคนนั่งถูกเปิดออกด้วยการ์ดในชุดสูทสีดำที่ยืนรออยู่แล้วอย่างรู้หน้าที่ หากแต่คนด้านหลังยังนั่งจับมือส่งกำลังใจให้กัน“หนูสัญญา ไม่ว่าใครจะบังคับยังไง หนูก็เลือกพี่ แม้จะถูกคุณพ่อไล่ออกจากกองมรดกก็เถอะ... ยังไงซะ พี่ก็ไม่ทิ้งหนูลงกลางทางหรอกใช่ไหมคะ”ทำท่าจะซึ้ง ได้ยินประโยคหลังของถิงถิง เหม่ยหลินก็หลุดขำออกมา“พี่ว่า เราลงจากรถกันเถอะ” กำลังขยับ แต่คนน้องดึงแขนไว้ เหม่ยหลินหันมามองเห็นแววตาไหวสั่น จึงถามออกไป“มีอะไรงั้นรึ”“พี่ยังไม่ตอบหนูเลย...” สายตา
“พ่อไม่ต้องแนะนำใครให้รู้จักแล้วนะ” มิสเตอร์หยางพูดขึ้น เพราะรู้แล้วว่าทุกคนต่างรู้จักเหม่ยหลินดี หากแต่ยังพูดประกาศต่อ“ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วนะว่าเหม่ยหลินคือลูกสาวคนโตของฉัน ส่วนเหม่ยจูคือลูกสาวคนเล็กแต่ตอนนี้เธอยังเดินทางมาไม่ถึง ขอให้รอกันอีกนิด”เสียงที่มีพลังบารมีดังกังวานไปทั่วห้อง ทำเอาบางคนที่เป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านถึงกับต้องก้มหน้ามองต่ำลงไปตาม ๆ กัน“ยินดีต้อนรับกลับมานะเหม่ยหลิน” อี้ถง กับ ไฉ่หง ภรรยาคนแรกกับคนที่สองของพ่อบุญธรรมของเธอ เอ่ยขึ้นพร้อมกัน เหม่ยหลินยกมือไหว้อย่างนอบน้อม“ยินดีต้อนรับกลับมาเช่นกันนะ” ครานี้เป็น ไห่หลงซึ่งเป็นอารองและอิงฟ้าที่ผู้เป็นภรรยาก็พูดขึ้น ในขณะที่ อาสามอย่าง เฟยหลง กับ บัวบงกช ก็พยักหน้ายิ้มให้อยากคนมีจิตไมตรีดีต่อกัน ซึ่งภรรยาของทั้งคู่เป็นคนไทย การเข้าหาและรู้เขารู้เราจึงเป็นง่ายจากนั้นหนุ่มสาว ที่เคยเจอกันตั้งแต่สมัยเด็กรุ่น ๆ หากตอนนี้โตเป็นหนุ่มสาวเต็มตัวกันหมด นั้นก็คือ หลิงหลิง ไห่หมิง หวังเหว่ย เพ่ยเพ่ย...ทั้งหมดเพียงยิ้มและค้อมคำนับให้กัน แต่มีอยู่หนึ่งคนที่เหม่ยหลินรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ นั้นก็คือ หยางห
หยางฟางหลงแนะนำน้องชายกับน้องสะใภ้ให้บุตรสาวได้รู้จักต่อ จากนั้นก็ปรายตามไปมองยังลูกสาวบุญธรรมของเขาอีกคน กับหลาน ๆ ที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ก่อนผ่อนลมหายใจยาวออกมา“นี่หลิงหลิง ไห่หมิง หวังเหว่ย เพ่ยเพ่ย น่าจะเป็นพี่เรานะ”สิ้นเสียงผู้เป็นบิดาบุญธรรม หยางเหม่ยจูก็ยกมือขึ้นไว้ทุกคนทันที และแน่นอนว่าคนที่รับไหว้นั้นมีเพียงสองหนุ่มเท่านั้น ส่วนหยางเพ่ยเพ่ยได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งแล้วก็ยกริมฝีปากยิ้ม ทว่าคนที่ดูจะมีปฏิกิริยากต่อคนเพิ่งมามากที่สุดคือ หยางหลิงหลิง ที่เวลานี้ขยับตัวนั่งกอดอกเชิดหน้าขึ้นมองเธอเพียงหางตาเท่านั้น หากคนที่เห็นรับรู้ได้ทันที....เหม่ยจูน่าจะมีอริเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว ดังนั้นทางที่ดีขอให้เธอห่างจากผู้หญิงคนนี้ เพื่อเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว...เหม่ยหลินคิดกังวลแทนเหม่ยจูขึ้นมา“เอาไว้ก็ไปทำความรู้จักกันแล้วกันนะ ... และส่วนอีกสองคนนั่น หยางหวังเหล่ย กับถิงถิง หวังเหล่ยน่าจะรุ่นเดียวกับเหม่ยจู ถิงถิง นั่นเด็กน้อยสุดแล้ว ทั้งดื้อ ทั้งซน ทั้งเอาแต่ใจตัวเอง” คำต่อกึ่งหยอกกึ่งแซวของประมุข ทำให้หลายคนอมยิ้ม“ถิงถิง ไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองสักหน่อยค่ะ”คนโดน
ในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารและหนังสือ “นั่งลงสิ” มิสเตอร์หยางหันมาบอกหลังจากที่ตัวเองหนังลงบนเก้าอี้ตัวโปรด“มีอะไรจะบอกพ่อไหม” สายตานั้นมองมาอย่างรอคอยและค้นหา“เรื่องที่ดินประมูลมาได้ ทุกอย่างไม่มีปัญหาค่ะ ตอนนี้หนูปล่อยให้เจ้าของกลับมาทำมาหากินในที่ตัวเอง โดยไม่เอาค่าเช่า”“ลูกลืมไปแล้วหรือว่าตระกูลของเราทำอะไร...” เสียงนั้นจริงจัง หากไม่มีแววตำหนิ แต่มีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม“ทำธุรกิจค่ะ” เธอตอบอย่างมั่นใจ เพราะทุกวันนี้ชีวิตของเธอหมุนอยู่กับตัวเลข“ลูกรู้นิ แล้วทำแบบนั้น เราได้อะไรกลับมา” ผู้สูงวัยอยากรู้เหตุผล“ความไว้ใจและความเชื่อใจไงคะ”“แล้วลูกรู้หรือ ว่าคนพวกนั้นเขาจะมีให้ลูกได้”“มีค่ะ เพราะหากต่อไปที่ดินผืนนั้น ไม่มีใครอยากทำอาชีพเดิม ๆ หรือไม่เห็นผลกำไรเลย ถึงตอนนั้นเรายื่นขอเสนอ ขอเปิดทำโรงงาน หรืออุตสาหกรรม เพื่อยกระดับการทำงานให้ทุกคนมีงานทำ และได้เงินที่แน่นอนกว่า ถึงตอนนั้นคงไม่มีชาวบ้านคนไหนคัดค้าน”“เออ... คิดดี...” มิสเตอร์หยางตบโต๊ะดังปังด้วยความพอใจ คิดไม่ถึงว่าเหม่ยหลินจะสร้างเกมนี้ขึ้นมา “พ่อคิดไม่ถึงตรงนี้ ดีนะที่ลูกเข้าใจถึงเสียงของชาวบ้าน การพึ่งพาอาศั
“แล้วพี่จะหยุดงานหนึ่งอาทิตย์จริง ๆหรือคะ” ถิงถิงเอ่ยถามหลังจากที่อีกคนเงียบไปซึ่งคนที่รักงานเป็นชีวิตจิตใจจะหยุดงานที่ต้องใจแข็งแค่ไหน...“จริงสิ หรือหนูไม่ชอบที่เราจะมีเวลายู่ด้วยกัน”จากนั้นทั้งคู่ก็หันมาสบตาอย่างค้นหา หากถิงถิงโน้มใบหน้าเข้ามาหาแตะริมฝีปากไปบนปากบางได้รูป“ขอบคุณนะคะ” เสียงนั้นแผ่วเบาและแฝงไปด้วยความขัดเขินเหม่ยหลินเลิกคิ้วยกสูงแล้วถาม “ขอบคุณเรื่อง” สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูเจ้าของใบหน้าขาวนวลไม่ตอบหากแต่หลบสายตานั้นทำให้เหม่ยหลินยกยิ้ม ที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เร็วกว่าความคิดของคนที่รอจังหวะอยู่แล้ว ก่อนจะเอี้ยวตัวไปดึงร่างบางให้หันนั่งค้อมตักของตัวเองถิงถิงเงอะงะไปเพียงครู่ “พี่คะ ที่มันที่โล่งนะคะ” เธอขืนตัวเพราะว่ามันโจ่งแจ้งเกินว่าจะทำเรื่องอย่างว่า“ที่ส่วนบุคคลใครจะกล้าเข้ามา” คนเอาแต่ใจบอก“แต่...”“นา เปลี่ยนบรรยากาศไง”สายตานั้นเว้าวอนมองมา ถิงถิงจึงปล่อยเลยตามเลย และเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย จึงตอบสนองให้ทันท่วงที โดยการรับจูบที่ดูดดื่ม ร้อนแรงและดูดดื่มส่งมอบไปให้คนบนตัก ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เขากลั่นออกมาและสนองไปให้ด้วยการกระทำ รัก