ฮ่องกง...ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นเขตวิกตอเรียพีค ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของเหล่าดารา นักธุรกิจ และมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นสถานที่พักผ่อน ห่างจากความวุ่นวายและมลพิษในเมืองหลวง และมากกว่านั้น พื้นที่บริเวณนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่อสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในเอเชียรถคันหรูที่ได้รับคำสั่งให้ไปรับทายาทรุ่นที่หนึ่งถึงสนามบิน ก็เคลื่อนผ่านประตูใหญ่เข้ามาจอดอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์หรู ซึ่งมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในขณะที่ผู้คนยื่นอยู่ในแต่ละจุดหันมามองเป็นตาเดียวกัน และเมื่อรถจอดด้านหน้าโดมใหญ่ ประตูรถด้านหลังฝั่งคนนั่งถูกเปิดออกด้วยการ์ดในชุดสูทสีดำที่ยืนรออยู่แล้วอย่างรู้หน้าที่ หากแต่คนด้านหลังยังนั่งจับมือส่งกำลังใจให้กัน“หนูสัญญา ไม่ว่าใครจะบังคับยังไง หนูก็เลือกพี่ แม้จะถูกคุณพ่อไล่ออกจากกองมรดกก็เถอะ... ยังไงซะ พี่ก็ไม่ทิ้งหนูลงกลางทางหรอกใช่ไหมคะ”ทำท่าจะซึ้ง ได้ยินประโยคหลังของถิงถิง เหม่ยหลินก็หลุดขำออกมา“พี่ว่า เราลงจากรถกันเถอะ” กำลังขยับ แต่คนน้องดึงแขนไว้ เหม่ยหลินหันมามองเห็นแววตาไหวสั่น จึงถามออกไป“มีอะไรงั้นรึ”“พี่ยังไม่ตอบหนูเลย...” สายตา
“พ่อไม่ต้องแนะนำใครให้รู้จักแล้วนะ” มิสเตอร์หยางพูดขึ้น เพราะรู้แล้วว่าทุกคนต่างรู้จักเหม่ยหลินดี หากแต่ยังพูดประกาศต่อ“ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วนะว่าเหม่ยหลินคือลูกสาวคนโตของฉัน ส่วนเหม่ยจูคือลูกสาวคนเล็กแต่ตอนนี้เธอยังเดินทางมาไม่ถึง ขอให้รอกันอีกนิด”เสียงที่มีพลังบารมีดังกังวานไปทั่วห้อง ทำเอาบางคนที่เป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านถึงกับต้องก้มหน้ามองต่ำลงไปตาม ๆ กัน“ยินดีต้อนรับกลับมานะเหม่ยหลิน” อี้ถง กับ ไฉ่หง ภรรยาคนแรกกับคนที่สองของพ่อบุญธรรมของเธอ เอ่ยขึ้นพร้อมกัน เหม่ยหลินยกมือไหว้อย่างนอบน้อม“ยินดีต้อนรับกลับมาเช่นกันนะ” ครานี้เป็น ไห่หลงซึ่งเป็นอารองและอิงฟ้าที่ผู้เป็นภรรยาก็พูดขึ้น ในขณะที่ อาสามอย่าง เฟยหลง กับ บัวบงกช ก็พยักหน้ายิ้มให้อยากคนมีจิตไมตรีดีต่อกัน ซึ่งภรรยาของทั้งคู่เป็นคนไทย การเข้าหาและรู้เขารู้เราจึงเป็นง่ายจากนั้นหนุ่มสาว ที่เคยเจอกันตั้งแต่สมัยเด็กรุ่น ๆ หากตอนนี้โตเป็นหนุ่มสาวเต็มตัวกันหมด นั้นก็คือ หลิงหลิง ไห่หมิง หวังเหว่ย เพ่ยเพ่ย...ทั้งหมดเพียงยิ้มและค้อมคำนับให้กัน แต่มีอยู่หนึ่งคนที่เหม่ยหลินรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ นั้นก็คือ หยางห
หยางฟางหลงแนะนำน้องชายกับน้องสะใภ้ให้บุตรสาวได้รู้จักต่อ จากนั้นก็ปรายตามไปมองยังลูกสาวบุญธรรมของเขาอีกคน กับหลาน ๆ ที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ก่อนผ่อนลมหายใจยาวออกมา“นี่หลิงหลิง ไห่หมิง หวังเหว่ย เพ่ยเพ่ย น่าจะเป็นพี่เรานะ”สิ้นเสียงผู้เป็นบิดาบุญธรรม หยางเหม่ยจูก็ยกมือขึ้นไว้ทุกคนทันที และแน่นอนว่าคนที่รับไหว้นั้นมีเพียงสองหนุ่มเท่านั้น ส่วนหยางเพ่ยเพ่ยได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งแล้วก็ยกริมฝีปากยิ้ม ทว่าคนที่ดูจะมีปฏิกิริยากต่อคนเพิ่งมามากที่สุดคือ หยางหลิงหลิง ที่เวลานี้ขยับตัวนั่งกอดอกเชิดหน้าขึ้นมองเธอเพียงหางตาเท่านั้น หากคนที่เห็นรับรู้ได้ทันที....เหม่ยจูน่าจะมีอริเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว ดังนั้นทางที่ดีขอให้เธอห่างจากผู้หญิงคนนี้ เพื่อเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว...เหม่ยหลินคิดกังวลแทนเหม่ยจูขึ้นมา“เอาไว้ก็ไปทำความรู้จักกันแล้วกันนะ ... และส่วนอีกสองคนนั่น หยางหวังเหล่ย กับถิงถิง หวังเหล่ยน่าจะรุ่นเดียวกับเหม่ยจู ถิงถิง นั่นเด็กน้อยสุดแล้ว ทั้งดื้อ ทั้งซน ทั้งเอาแต่ใจตัวเอง” คำต่อกึ่งหยอกกึ่งแซวของประมุข ทำให้หลายคนอมยิ้ม“ถิงถิง ไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองสักหน่อยค่ะ”คนโดน
ในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารและหนังสือ “นั่งลงสิ” มิสเตอร์หยางหันมาบอกหลังจากที่ตัวเองหนังลงบนเก้าอี้ตัวโปรด“มีอะไรจะบอกพ่อไหม” สายตานั้นมองมาอย่างรอคอยและค้นหา“เรื่องที่ดินประมูลมาได้ ทุกอย่างไม่มีปัญหาค่ะ ตอนนี้หนูปล่อยให้เจ้าของกลับมาทำมาหากินในที่ตัวเอง โดยไม่เอาค่าเช่า”“ลูกลืมไปแล้วหรือว่าตระกูลของเราทำอะไร...” เสียงนั้นจริงจัง หากไม่มีแววตำหนิ แต่มีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม“ทำธุรกิจค่ะ” เธอตอบอย่างมั่นใจ เพราะทุกวันนี้ชีวิตของเธอหมุนอยู่กับตัวเลข“ลูกรู้นิ แล้วทำแบบนั้น เราได้อะไรกลับมา” ผู้สูงวัยอยากรู้เหตุผล“ความไว้ใจและความเชื่อใจไงคะ”“แล้วลูกรู้หรือ ว่าคนพวกนั้นเขาจะมีให้ลูกได้”“มีค่ะ เพราะหากต่อไปที่ดินผืนนั้น ไม่มีใครอยากทำอาชีพเดิม ๆ หรือไม่เห็นผลกำไรเลย ถึงตอนนั้นเรายื่นขอเสนอ ขอเปิดทำโรงงาน หรืออุตสาหกรรม เพื่อยกระดับการทำงานให้ทุกคนมีงานทำ และได้เงินที่แน่นอนกว่า ถึงตอนนั้นคงไม่มีชาวบ้านคนไหนคัดค้าน”“เออ... คิดดี...” มิสเตอร์หยางตบโต๊ะดังปังด้วยความพอใจ คิดไม่ถึงว่าเหม่ยหลินจะสร้างเกมนี้ขึ้นมา “พ่อคิดไม่ถึงตรงนี้ ดีนะที่ลูกเข้าใจถึงเสียงของชาวบ้าน การพึ่งพาอาศั
“แล้วพี่จะหยุดงานหนึ่งอาทิตย์จริง ๆหรือคะ” ถิงถิงเอ่ยถามหลังจากที่อีกคนเงียบไปซึ่งคนที่รักงานเป็นชีวิตจิตใจจะหยุดงานที่ต้องใจแข็งแค่ไหน...“จริงสิ หรือหนูไม่ชอบที่เราจะมีเวลายู่ด้วยกัน”จากนั้นทั้งคู่ก็หันมาสบตาอย่างค้นหา หากถิงถิงโน้มใบหน้าเข้ามาหาแตะริมฝีปากไปบนปากบางได้รูป“ขอบคุณนะคะ” เสียงนั้นแผ่วเบาและแฝงไปด้วยความขัดเขินเหม่ยหลินเลิกคิ้วยกสูงแล้วถาม “ขอบคุณเรื่อง” สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูเจ้าของใบหน้าขาวนวลไม่ตอบหากแต่หลบสายตานั้นทำให้เหม่ยหลินยกยิ้ม ที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เร็วกว่าความคิดของคนที่รอจังหวะอยู่แล้ว ก่อนจะเอี้ยวตัวไปดึงร่างบางให้หันนั่งค้อมตักของตัวเองถิงถิงเงอะงะไปเพียงครู่ “พี่คะ ที่มันที่โล่งนะคะ” เธอขืนตัวเพราะว่ามันโจ่งแจ้งเกินว่าจะทำเรื่องอย่างว่า“ที่ส่วนบุคคลใครจะกล้าเข้ามา” คนเอาแต่ใจบอก“แต่...”“นา เปลี่ยนบรรยากาศไง”สายตานั้นเว้าวอนมองมา ถิงถิงจึงปล่อยเลยตามเลย และเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย จึงตอบสนองให้ทันท่วงที โดยการรับจูบที่ดูดดื่ม ร้อนแรงและดูดดื่มส่งมอบไปให้คนบนตัก ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เขากลั่นออกมาและสนองไปให้ด้วยการกระทำ รัก
สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ห่วงความรู้สึก ห่วงการถูกมองจากคนในสังคมที่คนพี่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะบางสังคมและผู้ใหญ่บางคน ยังไม่ยอมรับเรื่องรักเพศเดียวกัน“เรื่องนี้ พี่พร้อมมาทั้งชีวิตแล้วล่ะ...ว่าแต่ห่วงตัวเองเถอะ พร้อมหรือยังฮึ?” คำถาม มาพร้อมสายตากรุ่มกริ่มที่แฝงไปด้วยความปรารถนาซ้ำยังยกยิ้มมุมปากถิงถิงทำหน้าเมื่อย อยากสั่งห้ามว่าอย่าไปทำหน้าทำตาออกอาการแบบนี้กับใคร!“พะพร้อมอะไร... ชุดเหรอ เรียบร้อยแล้วไง ก็ไปเลือกพร้อมกัน”ถิงถิงเสียอาการจนเสียงแกว่ง ทำเป็นเฉไฉตอบความหมายเป็นอย่างอื่น ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดในแง่ไหน...สายตาออกชัด ซึ่งทุกครั้งที่เห็นสายตานี้ อดเสียววาบช่องท้องไม่ได้“แน่เหรอ ว่าที่พี่ถาม หนูเข้าใจว่าเรื่องชุด?” สายตาของเหม่ยหลินยังวาบหวามเปล่งประกายถิงถิงหน้าฉาบสี เขินจนอยากหมุดหน้าหนี เถอะ!คนผีทะเล ยังจะมาขยี้จี้ถามได้อีก“ว่าไง ฮึ?”ทำเสียงเยิ้มหวาน ซึ่งเธอไม่ได้ตั้งใจเอาคำตอบ หากแต่อยากแกล้งให้อีกฝ่ายเขิน ซึ่งภาพนั้นมันน่ามองน่ารัก จนถอนตัวถอนใจไม่ได้อีกแล้วถิงถิงจิกตาค้อน หื่นได้ทุกทีสิน่า... “ไม่พูดด้วยแล้ว” เสียงนุ่มสะบัด จากนั้นหมุนตัวพาหน้าฉาบสี
ผ่ามือเรียวที่ดันอยู่บนหน้าอกก็ถูกดึงออกมาฟาดไปบนไหล่คนหื่นหนัก ๆ “เนี่ย ระวังเหอะ จะหมดแรงคาอกหนูสักวัน” พูดข่ม คนอายุห่างเกือบ10ปีเหม่ยหลินยิ้มร่า สายตาท้าทาย “เคยมีสักครั้งไหมล่ะ”“เนี่ย หากยังไม่ไปอาบน้ำ แล้วกลับมานอนพักผ่อนเอาแรง...” สายตาและน้ำเสียงเป็นห่วงมากกว่าติเตียนเหม่ยหลินถอนหายใจ แกล้งทำหน้างอ “ใจร้าย...”“หวังดีค่ะ” ถิงถิงย้อนสายตาเต็มไปด้วยผู้ชัยชนะคนโดนสกัดทำได้แค่ส่งสายตาคาดโทษ ลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อนอนพักผ่อนตามที่เด็กดื้อได้พูดไว้ เพราะหลังจากนี้คงไม่มีเวลาได้พักสายตาเต็มตื่น จนกว่างานทุกอย่างจะผ่านพ้นไป...แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเด็กดื้อยังแผงฤทธิ์ไม่หยุด!เวลาผ่านไป...เหม่ยหลินเดินออกมาจากห้องน้ำ สายตาของเธอมองตรงไปยังเตียงนอน แต่พบว่าถิงถิงไม่ได้อยู่บนเตียงเพื่อนอนพักผ่อนไปด้วยกัน“ถิงถิง...” เธอเรียกหา “เด็กดื้อ... หายไปไม่บอกไม่รออีกแล้วนะ” บ่นคนให้เป็นห่วงเมื่อไม่มีถิงถิง เหม่ยหลินก็ไม่มีใจทำอะไร นอกจากเดินหาไปทั่วบ้านพักหลังใหญ่แต่ก็ไม่เจอ ใจเริ่มกังวล ตัดสินใจเดินกลับมาในห้องนอนและเห็นว่าชุดลำลองของตนถูกจัดวางไว้ให้ จึงรีบหยิบ
“ตอนหนูเข้าห้องน้ำพี่ยังหลับลงเลยนี่คะ”“ตอนนั้นหนูอยู่ในห้องน้ำ... แต่ตอนนี้หนูอยู่ข้างนอก จะให้หลับลงได้ยังไง... ปะ เรากลับกันเถอะ แดดก็ร้อนเดี๋ยวผิวเสียหมด”“หนูทากันแดดมาอย่างดีเลยค่ะ” คนดื้อบอกสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนพร้อมกับยกแขนเรียวขึ้นมาให้ดูอีกเหม่ยหลินกรอกตามองบน“ถึงจะทาแล้วก็เถอะ... ปะกลับที่พัก” เดินเข้ามาดึงแขนเรียวที่เจ้าของมีทีท่าจะเดินไปต่อ แต่โดนสะบัดออกพร้อมคำปฏิเสธ“ไม่เอา!” จนฝามือที่จับไว้หลวม ๆ หลุดออกเมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นอิสระแล้ว ถิงถิงก็ออกวิ่ง พร้อมกับตะโกนบอก “อยากให้กลับ ก็จับให้ทันสิคะ”เหม่ยหลินยกมือขึ้นเท้าสะเอว มองหญิงสาวร่างบาง ที่ตอนนี้เหมือนเด็กน้อยวัยสามขวบอยากได้เพื่อนเล่น ด้วยดวงตาหมายหมาด...หากตรงหน้าเปรียบเป็นเหยื่อ ผู้ล่าอย่างเธอจะไม่ปล่อยใหเหยื่อ เป็นอิสระสักวินาทีเดียว“จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม...” เหม่ยหลินกัดฟันปั้นปาก จ้องร่างบางที่สาวเท้าวิ่งออกไปอย่างไม่รอ “คิดว่าจะหยุดแค่จับหรือไง” เธอเปรยขึ้นด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นก็พุ่งตามออกไปในขณะที่ถิงถิงหันกลับมาดู ก็เห็นว่าเหม่ยหลินกำลังวิ่งไล่ตามมาใกล้ถึง เธอก็ส่งเสียงกรี๊ดออกมาพร้อมกับหลบฝ่ามือที่