~เปร่ง เปร่ง ตุบ ตุบ เปร่ง เปร่ง~ เสียนค้อนเหล็กตีกระทบเข้ากับแท่งเหล็กสีแดงที่วางพาดอยู่ ทั้งสามคนยืนมองเข้าไปในร้านตีดาบอย่างขลาดกลัว ในร้านมองเข้าไปมีแต่เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งนั้น ~เปร่ง เปร่ง ตุบ ตุบ เปร่ง เปร่ง~"ท่าน ท่าน พี่ชาย พี่ชาย"'อึก! อี้หมิงกลืนน้ำลายกับกล้ามหน้าอกและกล้ามท้องที่บัดนี้มีเหงื่อไหลตามร่องลอนกล้ามลงมา ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อผุดขึ้นจนผมเปียกลู่ลงมาปิดหน้าคมคาย หล่อมาก นี่เป็นดาราได้เลยนะเนี่ย อี้หมิงคิดในใจ อร้าย! หยุดคิดอี้หมิง'~เปร่ง เปร่ง เปร่ง~ ชายตรงหน้ายังก้มเงื้อมค้อนเหล็กต่อไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกจากร่างบางซักนิด"ไอ้บ้า หยุดก่อน"อี้หมิงเมื่อเห็นว่าเรียกยังไงชายตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีที่สนใจตนก็ตะโดฝกนขึ้นตุบ!"เฮ้ย" อี้หมิงกระโดดหลบค้อนเหล็กที่ถูกโยนลงพื้นเมื่อครู่ได้ผลชายหน้าตาหล่อเหลาที่เปลือยอกล่ำๆหน้าตาดูไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป และหน้าตาดูคุ้น ๆ ตาของอี้หมิงหยุดตีเหล็ก และทิ้งค้อนเหล็กลงพื้นก่อนที่จะมองหน้าเธอด้วยสายตาหงุดหงิดแล้วเดินอาด ๆ หายลับเข้าไปด้านหลังจางหยางเมื่อเห็นหญิงสาวก็จำนางได้ทันที หญิงงามชุดขาวที่ขายผักที่ท้ายตลาด นางมาทำอะไรที่นี
"เจ้าต้องการอะไร!" อี้เฉินกอดอก กวาดสายตาดุจพญาเหยี่ยวมองมาที่ร่างบางที่นั่งอยู่"ข้าอยากได้ถังพ่นยา""จะเอาไปทำอะไร""ขะ ข้า จะเอาไปพ่นน้ำหมักหนะ จะไปพ่นฆ่าเจ้าแมลงที่ระบาดอยู่ตอนนี้ไง" ชายตรงหน้าทำให้อี้หมิงพูดตะกุกตะกัก น่าแปลกที่ชายคนนี้มีรังสีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไป รึเธอคิดไปเองกันนะ"เล่าต่อสิ" เฉิงอี้เริ่มสนใจในสิ่งที่นางเล่า"คือข้าขอพู่กันกับกระดาษ" อี้หมิงเรียกร้องขอกระดาษกับพู่กันเพื่อจะวาดสิ่งที่ตนต้องการ เฉิงอี้ยิ่งสนใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น นางรู้หนังสือรึ น่าสนใจดีแฮะ!พรึบ! ตึก! กระดาษและแท่นหมึกพร้อมพู่กันโดนมือหนาคว้ามาวางลงตรงด้านหน้าหญิงสาว อี้หมิงไม่รอช้าลงมือใช้พู่กันขีดเขียน วาดไปมาทันทีภาพหญิงสาวร่างบอบบาง ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็ก ผิวขาวต่างจากหญิงชาวบ้านทั่วไปแม้สวมใส่ชุดเก่า ๆ ธรรมดากลับบดบังความงามที่ซ่อนอยู่ของหญิงตรงหน้าไม่ได้ นี่ข้าชมนางรึ! หึ! ไม่มีทาง! เฉิงอี้สบัดศรีษะไปมาเบาๆ อย่างนึกขันตัวเอง"อ่ะ เสร็จแล้วล่ะ" อี้หมิงเลื่อนกระดาษไปตรงหน้าให้ชายหนุ่มได้ดูอะไรล่ะเนี่ย หน้าตาประหลาดจริง! "นี่คือ..หน้าตาประหลาดจริง" เฉิงอี้มองหน้านวลอย่างฉงน"ถังพ่น
เมื่อเห็นชายตรงหน้ายังเงียบ อี้หมิงจึงปฏิบัติการเกลี้ยกล่อมทันที ตอนนี้อยากได้เครื่องพ่น อยากขายน้ำหมัก อยากได้เงินเยอะๆ แต่ก็กลัวๆ เอาว่ะลองซักตั้ง!"ตอนนี้เจ้าทำอะไรมากไม่ได้แล้วล่ะ แมลงมันระบาดไปทั่วแล้ว เพราะงั้นเจ้าต้องเร่งทำถังพ่นนี้ให้กับข้า จะได้รีบช่วยชาวบ้านผ่อนหนักให้เป็นเบาได้"เงียบ! เฉิงอี้ยังคงเงียบรอฟังเสียงเจื้อยแจ้วของหญิงตรงหน้าต่อไป"อีกอย่างตอนนี้ข้าวแพงมากเจ้าก็เห็น ประชาชนเดือดร้อน บางคนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว ถ้าเรากำจัดโรคระบาดนี้ได้นะ ราคาน่าจะลดลงมากโขทีเดียว"เฉิงอี้ค่อย ๆ คิดตาม ยังไงชาวเมืองหลี่ประชาชนของเขาต่างสำคัญอันดับหนึ่ง ข้อนี้เขาเกือบลืมนึกไป ต่อให้หญิงสาวตรงหน้าเป็นคนทำ แต่ตอนนี้คงตามน้ำไปก่อน เมื่อนางยับยั้งโรคระบาดนี้ได้ค่อยสังหารนางก็ยังไม่สาย "หึ"นึกแล้วใบหน้าหล่อเหลาของเฉิงอี้พลันแสยะยิ้มออกมา~พรึบ!~คิดได้ดังนั้นเฉิงอี้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู"ตามมาสิ!" เยส! ปิดดิว! อี้หมิงอุทานในใจ"เดี๋ยว! มาแก้มัดให้ข้าก่อน!" อี้หมิงรีบตะโกนไล่หลัง~แอด~ "ปึก!" เมื่อประตูถูกเปิดจากด้านในทำให้จางหยางที่กำลังแอบฟังโดยแนบหูกลับประตูเสียหล
"หน่วยราดตะเวนเงาของเรารายงานว่า ถ้ำนอกเมืองที่ชายป่าติดวัดฉงเซิ้ง มีข้าวเปลือกน่าจะหลายร้อยตันทีเดียวซ่อนอยู่ภายในถ้ำ ปากถ้ำมีกลุ่มคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา"~ปึก!~ เสียงมือตบโต๊ะอย่างแค้นใจของเฉิงอี้ดังลั่น"ข้านึกอยู่แล้วเชียว มันเป็นใคร""ตอนนี้ข้าให้ทหารเงาเราสืบอยู่ คาดว่าไม่นานน่าจะพบว่ามันเป็นใคร""เรื่องนี้เห็นทีจะช้าไม่ได้ เป็นเช่นนางว่าบัดนี้ชาวเมืองเดือดร้อน ราคาข้าวสูงขึ้นทุกวัน เราต้องชิงลงมือก่อนที่พวกมันจะปล่อยข้าวทั้งหมดออกมาขาย""เจ้ามีแผนการรึ"เฉิงอี้นิ่งเงียบไปซักพักแล้วจึงนั่งลงที่ตั่งโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยบอกจางหยางถึงแผนการที่วางไว้ในใจ"งานนี้เห็นทีหนามหยอกต้องเอาหนามบ่งแล้วล่ะ"เฉิงอี้กอดอกอย่างใช้ความคิด "จางหยางเจ้าให้คนสนิทเราไปปล่อยข่าวว่ามีพ่อค้าต่างเมือง แคว้นแถบทะเลทราย ต้องการข้าวจำนวนมาก มีเท่าไหร่รับซื้อหมดและยินดีให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด เจ้าทำยังไงก็ได้ให้คนของเราปั่นราคาข้าวให้สูงขึ้นไปอีก""ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจะเร่งให้พวกมันนำข้าวทั้งหมดออกมาขายให้เร็วขึ้นใช่รึไม่""ใช่! และเจ้าจงไปเตรียมข้าวในคลังส่วนหนึ่งไว้""ได้ ข้าจะเร่งไปจัดการให้""เจ้าประวิงเวลาไว้ซักสอ
"มู่เฉิน! มู่เฉิน! ""มาแล้วขอรับ นายท่าน" เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก มู่เฉินจึงละมือจากการตีเหล็กแล้วรีบวิ่งมายังนายตน"ไปส่งพวกเขาที" พูดจบเฉิงอี้ก็เดินมุ่งออกไปยังประตู ปลดเชือกอาชาคู่ใจ จากนั้นกระโดดขึ้นค่อมแล้วบังคับเจ้าอาชาสีดำทมิฬคู่ใจมุ่งหน้าตรงไปยังชายป่าเพื่อจะไปดูสิ่งที่จางหยางรายงานให้เห็นกับตาตนเอง"กุบกับ กุบกับ ย่ะ ย่ะ กุบกับ กุบกับ ยู่!"เมื่อเข้าใกล้แนวเขตชายป่าเฉิงอี้ค่อย ๆ ผ่อนความเร็วของม้าลงเปลี่ยนเป็นบังคับให้เจ้าสี่เท้าสีดำทมิฬคู่ใจเดินเยี่ยงย่าง ช้า ๆ แทน ไม่นานก็แว่นได้ยินเสียงคนคุยกัน จึงกระโดดลงจากหลังม้าแล้วผูกไว้ที่ต้นไม้แถวนั้น แล้วค่อย ๆ ย่องเข้าไปแอบดูอยู่ใกล้ ๆ ตัวถ้ำที่มีเหล่าชายฉกรรจ์ชาวบ้านจำนวนหนึ่งเฝ้าอยู่"เฮ้ย! อย่าหลับๆ เฝ้าให้มันดี ๆ หน่อย" ชายที่ดูท่าแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าคอยตะโกนสั่ง เฉิงอี้จึงค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปอีกด้านของถ้ำเพื่อหาทางเข้าไปดูภายในว่ามีข้าวเปลือกกักตุนอยู่เพียงใด เพื่อจะได้ประเมินปริมาณข้าวที่จะนำออกมาแจกให้ชาวเมืองถูกว่าควรมีอยู่เท่าไร และรอจังหวะให้ราคาข้าวที่พวกมันมีอยู่ตกก็จะกว้านซื้อกลับเข้าคลังดังเช่นเดิม"เฮ้ย ฝากด
"หมิงอี้เกิดอันใดขึ้น แล้วทำไมสองคนนี้สภาพเป็นแบบนี้เล่า หือ! กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว! นี่! พวกเจ้าเกเรถึงขั้นดื่มสุราเมามายกันแล้วรึ! แล้วนี่เจ้าพาใครมากัน ฮึ!" อี้เฟินรัวคำถามใส่บุตรสาวเป็นชุด"เดี๋ยวๆ ท่านแม่ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ข้าหนะไปโรงตีเหล็กมาหนะ""ห๊ะ! โรงตีเหล็ก พวกเจ้าไปทำอันใดกันเล่า โรงตีเหล็กมีแต่ชายฉกรรจ์ทั้งนั้นใครเห็นจะนินทาว่าร้ายเอาได้นะนั่น""ข้าไปให้พวกเขาช่วยทำถังพ่นน้ำหมักหนะ โถ่ท่านแม่ ข้าก็กลับมาแล้ว ดูสิ ไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย"อี้หมิงตรงเข้าไปกอดแขนอ้อนผู้เป็นมารดา แล้วหมุนตัวให้แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ "ช่างเถอะๆ เจ้ากลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่สองคนนี้หนะสิ จะฟื้นเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย ถ้าจะดื่มกันมาหนักเลยทีเดียว ดีแล้วที่เจ้าไม่เมามายมาด้วยอีกคน" อี้เฟินเอ่ยแล้วส่ายหน้าไปมาเบาๆ กับสภาพของเฟิน เฟิน และอู๋ไป๋ที่ตอนนี้นอนกร่นไม่รู้เรื่องอยู่"เอ่อ งั้นข้าขอตัวกลับแล้วนะ ไว้เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะเร่งทำให้ พรุ่งนี้เจ้าไปรับที่ร้านข้าได้เลย รับรองเสร็จตามที่เจ้าต้องการแน่นอน"มู๋เฉินเมื่อเห็นว่าเวลาจวนเจียนจะมืดก็เอ่ยปากขอตัวกลับขึ้นมา"เอ่อ พ่อหนุ่มถ้าเจ้าไม่
"กรุบ กรุบ อื้ม! กรอบ มัน ฮื้อเจ้าคิดได้ยังไงกัน แปลก!ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดปลูกถั่วงอกเช่นนี้เลยนะ อื้ม แต่อร่อยแฮะ รึบ้านเมืองเก่าเจ้าเขาเพราะกันเช่นนี้รึ" มู่เฉินพูดไปเคี้ยวไปด้วยความสงสัย"เปล่าหรอกข้าคิดเอง เจ้าดูนี่สิ" อี้หมิงไม่รีรอนำเสนอโอ่งถัดไปทันที มือเรียวๆ ค่อยๆ แกะเอากระสอบออก ชะเง้อคอลงไปมองดูผักบุ้งเล็กน้อย แล้วผายมือเชื้อเชิญให้มู่เฉินก้มลงไปดู"เฮ้ย! นี่ก็ด้วย ผักบุ้งหนิ โห" มู่เฉินตาโตอย่างตื่นเต้น "เจ้าลองดึงขึ้นมาซักต้นสิ"มู่เฉินไม่รอช้าล้วงเอามือลงไปในโอ่งดึงเอาต้นผักบุ้งขึ้นมาทันทีอย่างตื่นเต้นใคร่รู้ ผักบุ้งที่ต้นอวบและอ่อน แถมต้นยังยาวกว่าผักบุ้งทั่วไปที่ขายที่ตลาดมากนัก ยิ่งทำให้มู่เฉินฉงนไปใหญ่"เฮ้ย! รากขาวเชียวไม่มีดินติดเลย แถมต้นยังยาวมากอีกด้วย""ก็ข้าปลูกไม่ใช้ดินรากต้องขาวอยู่แล้ว และที่ต้นยาวอ่ะนะ " อี้หมิงเว้นจังหวะพูดแล้วป้องมือยืนเขย่งไปที่ใกล้ๆหูของมู่เฉินราวเป็นความลับที่ไม่อยากให้ใครได้ยิน"เป็นความลับหนะ ฮ่า ฮ่า "มู่เฉินหันขวับมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างค้อน ๆ เขารึก็อุตส่าห์ตื่นเต้นรอฟังนาง กลับไม่บอกกันซะนี่ "ช่างเถอะๆ เอาไว้ข้าค่อยมาใหม่แล้วกั
คล้อยหลังมู่เฉินอี้หมิงที่กำลังหมุนตัวเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงอี้เฟิน มารดาในยุคนี้ของนางตะโกนออกมาทันที"หมิงอี้ กลิ่นอะไรกัน ทำไมฉุนเช่นนี้ แค่กๆ""อ๋อ กลิ่นหน้ำหมักของข้าหนะ! ขอโทษทีท่านแม่ พอดีเมื่อกี้ข้าเปิดมันให้มู่เฉินดูหนะ แฮะๆ"ไม่เพียงแต่มารดานางเท่านั้นดูเหมือนสองคนที่เมามายนอนอยู่บนแคร่ก็ตื่นตัวขึ้นมาซะงั้นเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรฉุนๆโชยปะทะจมูก "ฮัดชิ้ว! อื้อ กลิ่นอะไรเนี่ย เหม็น ๆ" เฟิน เฟิน บ่นพึมพำทั้งๆ ที่ตายังปิดอยู่ ร่างบางพลิกไปพลิกมา เมื่อพลิกตัวไปมายังไงกลิ่นก็ยังคงตามรบกวนการนอนของนางไม่หายจึงปรือตาขึ้น และพยายามลุกขึ้นนั่ง แล้วลุกเดินเซๆ ไปยังทิศทางบ้านตนเอง"อ้าว เฟิน เฟิน เฮ้ย! ระวังๆ " อี้หมิงยกมือขึ้นลุ้นกับการเดินที่เซไปมา ซ้ายบ้าง ขวาบ้างของเฟิน เฟิน"แค่ก ๆ กลิ่นอะไรเนี่ย แค่กๆ โอ๊ย เหม็นๆ ข้าอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ" อู๋ไป๋ที่เมื่อครู่ยังหลับตานิ่งอยู่บนแคร่ลุกขึ้นนั่งบ้างก่อนที่จะพยายามโย้ตัวลุกขึ้นนั่งหลายรอบจนสำเร็จ ก็เดิน เซ ไปมาออกไปจากบ้านอี้หมิงเช่นกัน"อ้าว ไปหมดเลย ฮ่าๆ ขนาดคนยังต้องหนีเลย เจ้าเพลี้ยทั้งหลายพวกแกไม่พ้นเงื้อมมือฉันแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"อี้หมิงชูม
"สมุนไพรที่เจ้าต้องการ เจ้าต้องการมากเพียงใด เรือนข้าเป็นตระกูลพ่อค้าเก่าแก่มีสมุนไพรเก็บอยู่มากมาย ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก หากมิรังเกียจข้าอยากบริจาคให้ ถือว่าช่วยชาวเมืองหลี่แล้วกัน"อี้หมิงเผยรอยกว้างสวยเต็มวงหน้าทันที เดินอ้อมโต๊ะออกมา มือคว้าจับที่แขนแกร่ง แหงนเงยใบหน้าพูดกับบุรุษรูปงามหากแต่ใบหน้าช่างไร้อารมณ์และเย็นชายิ่งนักในสายตาของเธออย่างดีใจ ผู้ใดกันจะปล่อยให้โอกาสเช่นนี้หลุดลอยไป มีผู้เสนอวัตถุดิบให้แถมไม่คิดเงิน เธอคงมิใช่คนสมองหมูถึงเพียงนั้นที่จะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดไปโดยง่ายเป็นแน่"ขอบคุณท่านมาก ข้ายินดีรับโอกาสอันสุดแสนพิเศษนี้ไว้ แต่ร้านเราไม่เอาเปรียบท่านแน่นอนในเมื่อท่านยินดีบริจาคสมุนไพรให้กับเรา ไว้ข้าขอเลี้ยงอาหารซักมื้อตอบแทนท่านและสหายแล้วกัน""เช่นนั้นเจ้าเขียนเทียบสมุนไพรที่จะใช้มาเถิด เดี๋ยวให้จางหยางจัดการมาส่งที่เรือนให้ในวันพรุ่ง""อี้หมิง เจ้าเขียนเทียบมาเลยข้าจะคัดของดี ๆ มาให้นะ"จางหยางที่เพลิดเพลินกับการมองร่างอ้อนแอ่นตรงหน้าพูดเจื้อยแจ้วจัดการงานต่าง ๆ ก็ถึงคราวได้เอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้น"ขอบคุณท่านมากจางหยาง มู่เฉินด้วย ข้าฝากด้วยนะ"รอยย
ผ่านไปเพียงชั่วยามเหล่าบรรดาลูกค้าที่มาให้ร้านเทียนฝูได้รับใช้ก็ทยอยเดินกลับ จนลูกค้าคนสุดท้ายก้าวย่างออกไป"เฮ้อ ปิดจ๊อบสักที อื้อ"ร่างบางชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ ยืดตัวบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะเอนศีรษะซบลงที่บ่าเฉิงอี้อย่างลืมตัว'ฟู่'ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกมา ก่อนจะปิดเปลือกตาลงนิ่ง ๆ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการจับพู่กันไปมาทั้งวัน แม้ชายที่นั่งข้างเคียง จะอาสาช่วยเขียนอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเมื่อยอยู่ไม่น้อย'อึก'เฉิงอี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกราวเวลารอบข้างหยุดหมุน คิ้วคมขมวดเล็กน้อย เกร็งตัวขึ้นทันทียามที่ศีรษะทุยเอนซบลงมา สตรีนางนี้หาได้รู้ที่ต่ำที่สูงไม่ นางช่างไม่รู้รึไรการกระทำตอนนี้ของนางต้องโทษถึงประหารเชียว ตาคมเหลือบมองใบหน้าขาวผ่อง ไล้ลงมาที่จมูกเล็กโด่งเป็นสัน ปากบางชมพูจิ้มลิ้มราวดอกเหมยบาน เฉิงอี้เจ้าคงสติฟั่นเฟืองเสียแล้วกระมังถึงได้เผลอมองว่านางช่างน่ารักยิ่งนักยามเมื่อหลับตาพริ้ม พอได้สติจากภวังค์จึงค่อย ๆ ยื่นนิ้วออกไปค่อย ๆ จิ้มออกแรงเขี่ยศีรษะเล็ก ๆ ให้พ้นจากบ่าแกร่งของตน ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยลุกขึ้นเดินตรงไปหาจางหยาง และมู่เฉินด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม หากแต่เพียงผู้ใด
ร่างของชายอวบอ้วนพุงย้วย ที่กำลังพยายามก้มลงไปในโอ่งดิน ช่างดูทุละทุเลยิ่งนักในสายตาทุกคน มือด้านซ้ายใช้ค้ำดันโอ่ง ส่วนด้านขวาล้วงเข้าลงไปด้านในโอ่ง และด้วยส่วนสูงที่ต่างจากโอ่งไม่มากนัก ทำให้ใบหน้าของเขาแนบลงไปกับปากโอ่ง มือคว้ากำเข้าที่ลำต้นของผักบุ้งอวบคราแรกออกแรงดึงเบา ๆ ตามความคิดที่ว่ามันถูกปักไว้เพื่อพรางตาผู้คน 'เอ๋ หึ ปักมาแน่นกันเชียวนะ คิดว่าเท่านี้ข้าจะเชื่อรึ'ครานี้ก้มลงและกำลำต้นผักบุ้งแน่นกว่าเดิม ก่อนจะออกแรงดึงอย่างแรง ~ฮ่า ๆ มาดูกันคนเจ้าเล่ห์อย่างพวกเจ้าคิดจะมาหลอกลวงข้ารึ~"ฮึบ! ฮึบ"ออกแรงดึงสองครั้งต้นผักบุ้งก็ยังไม่ติดมือขึ้นมา ครานี้กำแน่นกว่าเดิม ใบหน้าเกร็งยู่ เม้มปากแน่น ย่อตัวออกแรงแล้วดึงขึ้นเต็มแรง"เฮ้ยย!"ต้นผักบุ้งขาดออกตามแรงดึง ร่างอวบอ้วนเซหงายหลัง ดวงตาเบิกโพล่งมู่เฉินที่เห็นร่างอ้วนท่วมเซหงายหลังมาทางตนจึงใจดี ยกเท้าขึ้นค้ำยันหลังไว้ ก่อนจะออกแรงถีบออกไป ร่างชายอ้วนจากตกใจคราแรกที่จะหงายหลังยังไม่ทันหาย กลับต้องตกใจอีกรอบเมื่อครานี้เซถลากลับมาด้านหน้า"เฮ้ยๆ"มือปล่อยผักบุ้งทิ้ง มือสองข้างรีบคว้าจับปากโอ่งเพื่อยั้งตัวไว้ "แฮ่ก ๆ เกือบไปแล้ว
"เชิญนั่งเจ้าค่ะ ท่านป้า" อี้หมิงเผยมือเชื้อเชิญลูกค้าให้นั่งลงเพื่อที่จะได้สอบถาม ถึงผืนนา และเมื่อสนใจ ก็จะได้ทำสัญญาให้แล้วเสร็จ"ท่านป้า ท่านป้าเพียงแค่สนใจน้ำหมักของข้า รึวันนี้จะให้ร้านเทียนฝูของเรารับใช้เจ้าคะ""ช่วยด้วยเถิดนังหนู นาข้าวข้าใกล้ตายเต็มทีแล้ว เท่าไหร่ก็เต็มใจจ่าย ใบข้าวล้วนเหลือง แห้งเหี่ยวลงทุกวันจริงเชียว"หญิงตรงหน้าเอื้อมมือมาจับมือของนางอย่างขอร้อง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ ดวงตามีกระแสความท้อแท้พาดผ่าน น้ำเสียงเจือสะท้อนความหนักใจออกมาเฉิงอี้เห็น และได้รับฟังความทุกข์ของชาวบ้านก็เกิดสะท้อนในอก ด้วยหลากหลายอารมณ์รู้สึก ถึงแม้นว่าจะสามารถคลี่คลายสถาการณ์ราคาข้าวได้แล้ว แต่ยังมีโรคระบาดที่ยังไม่มีทีท่าจะทุเลาลงเลยสักนิด หวังก็แต่หญิงประหลาดที่เคียงข้างตนยามนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้ดังเช่นนางเอ่ย ก่อนจะถอนสายตากลับมามองหญิงชาวบ้านตรงหน้าอย่างสนใจ"ช่วยได้แน่นอนท่านป้า ว่าแต่ท่านป้าจะให้ข้าช่วย ขอถามผืนนาท่านที่ต้องการให้ช่วย มีอยู่เท่าใดกัน""เอ่อ ไม่เยอะหรอก"ลูกค้านางทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ"เท่าไหร่เจ้าคะ""เอ่อ 10 หมู่ถ้วน เจ้าพอจะช่วยข้าได้รึไม่"10 หมู่ โฮ
อี้หมิง ใช้สองมือน้อย ๆ ออกแรงผลัก แต่ต่อให้ดันอย่างไรชายหน้านิ่งก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ นี่มันคนรึหินผากันนะ "นี่ เจ้า!""เงียบ จะขายรึไม่ ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่"เฉิงอี้ที่เริ่มหงุดหงิดหันไปใช้สายตาคมดุจพญาเหยี่ยวที่และใบหน้างดงามหล่อเหล่าที่เรียบนิ่งขู่ร่างบางที่ขยับขยุกขยิกไปมาทำให้แขนนางถูไถไปมากับแขนแกร่งของตนอย่างไม่ตั้งใจ อี้หมิงชะงักเล็กน้อย ฮึ! ดีเช่นกันให้เจ้าคนหล่อหน้านิ่งนี่ช่วยขายก็ดี ข้าจะได้ไม่เปลืองแรง ลองดูสักตั้งก็ได้ "นี่ ๆ เจ้า ไปนั่งข้างนางได้เยี่ยงไร ออกมาเลย ๆ"อู๋ไป๋เอ่ยรัวออกมาอย่างร้อนรน เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ก็รู้ว่ามาจากตระกูลที่ร่ำรวย เข้าใกล้หญิงที่ตนหมายปอง"อู๋ไป๋ ๆ ไม่เป็นไร ๆ คุณชายท่านนี้มาช่วยข้าขายก็ดี เราจะได้ขายหมดเร็ว ๆ ไง นะ ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลไปหรอก แค่ขายของเท่านั่น "อี้หมิงพูดกับอู๋ไป๋ก่อนหันมามองเจ้าคนหน้านิ่งที่บัดนี้หันมามองที่เธอเช่นกัน จะว่าไปหนุ่มยุคนี้นี่ช่างหน้าตาดีเสียจริง ใบหน้าเช่นนี้นี่ยุคปัจจุบันน่าจะเป็นดาราดังได้สบายเลยหล่ะ รึไอดอลก็ได้เลยนะเนี่ย"ฮ่า ฮ่า ฮึบ ฮ่า"หมิงอี้หลุดขำออกมาเสียมิได้ เจ้าตัวพยายามกล
บัดนี้เข้ายามเฉินแล้ว (07.30 น.) แต่กลับยังไร้เงาผู้คน อี้หมิงแอบใจเสียมิน้อย ไม่ต่างจากเฟิน เฟิน และอู๋ไป๋ ที่บัดนี้ต่างกระวนกระวายไม่แพ้กันแต่ก็ยังมิได้มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยประโยคใด ๆ ออกมา ของที่อยู่บนรถเข็นในที่สุดก็ทยอยถูกยกลงจนหมด ป้ายชื่อร้านที่หยิบติดมือมาด้วยถูกอู๋ไป๋นำไปปักไว้ด้านหน้า ส่วนโอ่งทั้ง 4 ใบ เหล่าคนงานและบุรุษทั้งสามที่ขอมาด้วยต่างช่วยกันเข็นย้ายวางเรียงอย่างเป็นระเบียน โต๊ะไม้ถูกยกออกมาเพื่อวางแท่นหมึกและกระดาษ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแต่ก็ยังไร้เงาผู้คนจนทำให้เจ้าของร้านสาวอดใจเสียมิได้ส่วนอี้เฟิน กับเฟิน เฟิน ทั้งสองกำลังช่วยกันติดเตาเพื่อทำซุปถั่วงอก และผัดยอดอ่อนผักบุ้ง เพื่อแจกให้ผู้คนที่มาซื้อน้ำหมักได้ลิ้มลองรสชาติของผักร้านเทียนฝู นับว่าเป็นกลยุทธ์การขายที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของร้านลูกสาวนาง ที่ใช้ได้ผลมาแล้ว"อ้าวเฮ้ย! นั่นผู้ใดกันมาทำสิ่งใดที่แปลงนาของข้า"เสียงชายเจ้าของแปลงนาตะโกนถามไถ่ใคร่สงสัยมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะแบกจอบเดินมาถึง"อ้าว ท่านลุง ข้าเอง! วันนี้พวกข้ามาตั้งร้านขายน้ำหมักหนะ""อ้าวเรอะ!"ชายเจ้าของแปลงนาไล่สายตามองดูข้าวของที่ตั้งเรียงรายใต
"หมิงอี้ พวกข้ามาแล้วล่ะ"อี้หมิงเงยหน้ามองเสียงทุ่มห้าว อ่า! เป็นมู่เฉินกับสหายของเขานั่นเอง มองเลยไหล่หนาบึกบึนของมู่เฉินและจางหยางไปก็พบเข้ากับใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักของชายอีกคน"อ้าว มาพอดีเลย ท่านแม่ เฟิน เฟิน อู๋ไป๋ นี่สหายข้า มู่เฉิน นี่จางหยาง แล้วนี่.."อี้หมิงเว้นจังหวะพูด ด้วยไม่แน่ใจว่าหากเอ่ยออกไปชายหนุ่มจะแย้งกลับมารึไม่ จากหลายคราที่เจอกันนับว่าห่างไกลคำว่าสหายอยู่มากโข"อ๋อ นี่เฉิงอี้"เป็นมู่เฉินที่เอ่ยความกระจ่าง"อ๋อ แล้วกินข้าวกินปลากันมารึยังล่ะ ถ้ายังพอดีเลย มากินด้วยกันสิ หากไม่รังเกียจ ข้าเตรียมอาหารเสร็จพอดี ร้อน ๆ เลยนะ"อี้เฟิน กล่าวต้อนรับสหายของบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้นในใจจะคุ้น ๆ กับใบหน้าของชายหนุ่มนามเฉิงอี้อยู่มิน้อย ใบหน้าเช่นนี้คับคล้ายคับคราว่าเคยพบเจอที่ใดมาก่อน ก่อนจะปัดความคิดทิ้งไปหันมาสนใจบุตรสาวและสหายของนางแทน ที่บัดนี้กำลังช่วยกันยกโอ่งผักขึ้นใส่รถที่เตรียมไว้ "ฮ่า เสร็จเสียที เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกันนะเนี่ย!"อู๋ไป๋ยกมือขึ้นซับเหงื่อที่ผุดออกมาที่หน้าผากกว้าง ในขณะที่ทุกคนสภาพเช่นเดิม ไม่มีแม้แต่เหงื่อเลยซักนิด คนพวกนี้ไร้เหงื่
"ฮ่า ฮ่า เฉิงอี้ ๆ ฮ่า ฮ่า ยอมแล้ว ๆ ข้า ฮ่า ๆ จะไม่ทำอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า หยุด ที ฉะ ฮ่า ฮ่า"ร่างสูงใหญ่ขององครักษ์หนุ่มบัดนี้ ถูกมัดยืนติดเสาหลักไม้กลางตำหนักใหญ่ใบหน้าเบ้บิด ส่งเสียงหัวเราะห่าวอกมาไม่ขาด จนใบหน้าคมคายที่ยามปกติจะนึ่งขรึมแทบตลอดเวลาบัดนี้กลับแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลยามเมื่อเจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะขำขันออกมาอย่างเสียมิได้ยามเมื่อขนนกยาวใหญ่ปัดป่ายไปมาตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น รักแร้ ใบหู ใบหน้าบทลงโทษจากเฉิงอี้หาใช่การต่อยตี รึลงดาบ ใช้โซ่แส้ไม่ หากแต่เป็นการจับมัดแล้วใช้ขนนกปัดป่ายไปมาถึงจะสาสมกับองครักษ์หนุ่มของตน หากใช้วิธีทางทหารละก็จางหยางที่เปรียบดังเช่นก้อนหินผา เกรงว่าจะไม่สะทกสะเทือนซักเพียงใดนัก"อึก!"มู่เฉินที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นการลงโทษจากองค์ชายของตน หากแม้นเป็นการลงโทษทางทหารพวกตนหาได้หวั่นใจไม่ แต่ใช้วิธีนี้บอกตรง ๆ ว่าตนขยาดยิ่งนัก"ต่อไปพวกเจ้าจะสนใจหญิงงามมากกว่าข้าอีกรึไม่"เฉิงอี้เอ่ยถามอย่างเอาแต่ใจ ทั้งสามเติบใหญ่มาด้วยกัน เขาล้วนได้รับความสนใจและปกป้องจากองครักษ์หนุ่มมาตลอด แม้นสถานะแตกต่างแต่เฉิงอี
"เจ้าจะเอาหนังสือไปทำสิ่งใดกัน"อี้หมิงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงห้าวที่ถามขึ้นอย่างมีความหวัง"ข้าจะเอาไปจดทำบัญชีวันพรุ่งนี้หนะ วันพรุ่งร้านของข้าจะไปเปิดรับกำจัดโรคระบาดในแปลงนา เลยจำเป็นต้องทำบัญชี""ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดถึงต้องทำบัญชีเล่า จัดการการเงินของร้านรึ"เป็นจางหยางที่กอดอกฟังเงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างใคร่สงสัย"อ่อ นั่นส่วนนึง ข้าจะเปิดให้ลงบัญชีมัดจำไว้ได้ก่อนครึ่งนึงหนะสำหรับชาวบ้านคนไหนที่ยังไม่มั่นใจในร้านของข้า ""อ๋อ เป็นเช่นนี้ น่าสนใจจริงเชียว งั้นพวกข้าขอไปดูเจ้าขายได้รึไม่ การค้าขายเช่นนี้ข้ายังมิเคยเห็นผู้ใดทำมาก่อน ช่างน่าสนใจเสียจริง"มู่เฉินเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปหาเฉิงอี้ผู้เป็นนายด้วยสีหน้าอ้อนวอนไม่เว้นแม้แต่องครักษ์หนุ่มที่มองมาเช่นกัน"แล้วแต่พวกเจ้าสิ แต่ข้ามิไป"พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากที่อี้หมิงยืนอยู่ ท่าทางของชายหนุ่มสร้างความฉงนให้กับทั้งสามคนที่ยังยืนอยู่ไม่น้อย แต่เพียงชั่วครู่ ชายทั้งสองที่ยังยืนอยู่กับเธอก็เอ่ยเสนอความช่วยเหลือออกมา"หากเจ้ามิรังเกียจ ข้ายังพอมีแท่นหมึกและกระดาษเหลืออยู่บ้าง หวังว่าจะช่วยเจ้าได้อยู่มิน้อย""ดีเลย