"พระชายา!"เมื่อเห็นเลือด หัวใจเซียวลู่เซิงบีบรัด เพิ่งตระหนักว่านี่ไม่ใช่มือสังหารที่ซูอิ่งจัดการ!เซียวลู่เซิงใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดซูอวิ๋นไว้อีกมือหนึ่งพลิกข้อมือ ส่งพลังสะท้านจนมือสังหารทั้งสองลอยกระเด็น "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!"ซูอวิ๋นขมวดคิ้ว กุมบริเวณกระดูกสะบัก "เจ็บมาก"เซียวลู่เซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย "รู้ว่าเจ็บแล้วยังวิ่งมาอีก!""ข้า... ข้าแค่กลัวพวกเขาทำร้ายท่าน" หากตัวร้ายตายที่นี่ นางจะหาใครมาเป็นพันธมิตร โค่นล้มโลกอันเลวร้ายและพระเอกนางเอกที่ผู้แต่งสร้างขึ้นมาเล่า!"เจ้า เจ้าแค่กลัวพวกเขาทำร้ายข้า?""อืม"เซียวลู่เซิงอ้าปากค้าง จิตใจในขณะนั้นปะปนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย นอกจากองครักษ์ลับของเขา ในโลกนี้ นางเป็นคนแรกที่วิ่งมารับดาบแทนเขา!เขายังจมอยู่กับความซาบซึ้งใจ ก็เห็นนางเจ็บจนดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอ"ซูอิ่ง!!!"ซูอิ่งกำลังต่อสู้กับมือสังหารอย่างสนุก คิดในใจว่ามือสังหารคนนี้วรยุทธ์ไม่เท่าไร ทำไมถึงใช้กระบวนท่าสังหารตลอด?จู่ๆ ได้ยินเซียวลู่เซิงเรียก หันไปมอง เห็นมือสังหารชุดดำสองคนกำลังคลานอยู่บนพื้นเหมือนไส้เดือนไม่ดีแล้ว!หรือว่าจะเป็นมือสังหารตัวจริง?ซูอิ
"แล้วเหตุใดนางยังไม่ฟื้น?"หมอหลวงหลินตอบ "เพิ่งให้ยาถอนพิษไป ก่อนยามไฮ่ นางจะต้องฟื้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"ได้ยินคำตอบที่แน่ชัดของหมอหลวงหลิน เซียวลู่เซิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัวจนถึงตอนนี้ เขายังงุนงงอยู่บ้าง ซูอวิ๋น หญิงที่รักองค์ชายผิงหนาน เซียวอวี๋อย่างลึกซึ้ง เหตุใดจึงยอมเอาตัวบังดาบเพื่อเขา?คิดแล้ว กำปั้นของบุรุษยิ่งกำแน่นขึ้น ถึงกับเสียใจ ที่ไม่ควรทดสอบนางในจังหวะคับขัน...หมอหลวงหลินกำชับข้อควรระวังบางอย่างแล้วก็กลับจวนหลังหมอหลวงหลินจากไปชูอิ่งเข้ามาในห้อง คุกเข่าขอโทษต่อหน้าเซียวลู่เซิง "องค์ชาย กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมคิดว่า..."เซียวลู่เซิงยื่นมือออกมา ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อเพียงกล่าว "ไปสืบ ดูซิว่าใครกินหัวเสือมาถึงกล้า!" กล้าที่จะมาลอบสังหารพระชายาของเขา"พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย"พอชูอิ่งไป เซียวลู่เซิงไล่บ่าวในห้องออกไปหมด นั่งบนรถเข็น มองใบหน้าของหญิงสาวที่แดงระเรื่อ แดงราวกับแอปเปิ้ลเขายื่นมือแตะหน้าผากนางเบาๆ พบว่านางมีอาการเป็นไข้ตามที่หมอหลวงหลินว่าจริงทันใดนั้น เขาก็หยิบผ้าเปียกมาประคบที่หน้าผากนาง เพื่อลดไข้เขาเองก็เดินไม่สะดวก ชิงหนิงที่เฝ้าอยู
"ทูลองค์ชาย ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ""พระชายาจะไปล่วงเกินผู้ใดได้?"ชูอิ่งทูล "สตรีในห้องหอ จะล่วงเกินก็คงเป็นผู้คนในเรือนหลังเท่านั้นกระมัง?อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ ซูอวี่ซีก็เคยมาหาพระชายา ทำให้พระชายาต้องอับอายไปหนหนึ่งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?"นิ้วพระหัตถ์ของเซียวลู่เซิงเคาะที่ที่วางแขนรถเข็น พระเนตรเย็นชาเล็กน้อย "ซูอวี่ซี..."ซูอวิ๋นถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซู แต่กลับไม่เป็นที่ต้อนรับในตระกูลซูเช่นนี้ คิดดูแล้ว ชีวิตของนางคงลำบากยิ่งนัก"จงจับตาตระกูลซู โดยเฉพาะซูอวี่ซี อย่าให้พลาดร่องรอยใดๆ!""พ่ะย่ะค่ะ!"...หนึ่งในสี่ยามฉีเซียวลู่เซิงเห็นซูอวิ๋นยังไม่ฟื้น รีบให้คนไปตามหมอหลวงหลินมาหมอประจำจวนทูล "องค์ชายอย่าทรงร้อนพระทัย พระชายาไข้ลดแล้ว ข้าน้อยเพิ่งจับชีพจร พบว่าสัญญาณชีพกลับสู่ปกติแล้วพ่ะย่ะค่ะ""แล้วเหตุใดยังไม่ฟื้น?""บางที...""คอแห้ง...""ทูลองค์ชาย พระชายาฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ"หมอประจำจวนเพิ่งจะเช็ดเหงื่อ ซูอวิ๋นก็ฟื้นขึ้นมาซูอวิ๋นมองเซียวลู่เซิงที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง แล้วมองแสงเทียนสว่างไสวทั่วห้อง ขมวดคิ้วถาม "หม่อมฉัน... หม่อมฉันหลับไปนานเท่าใดแล้วเพคะ?"นางจำไ
ขณะที่ซูอวิ๋นกำลังจะเอ่ยปาก เซียวลู่เซิงก็เอ่ยขึ้นก่อน "เจ้าจงคิดให้ดี อย่าได้กล้ามาหลอกลวงข้า!""หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ หม่อมฉันกับซูอวี่ซีนั้นมิได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน"มิใช่เพียงไม่ดี แต่เป็นถึงความแค้น"ดี ข้ารู้แล้ว" ก่อนหน้านี้ เขาตั้งใจจะหาโอกาสสังหารทุกคนในตระกูลซู รวมถึงซูอวิ๋นด้วยแต่ในยามนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าซูอวิ๋นจะเป็นผู้ที่เคยช่วยชีวิตเขาหรือไม่ เขาก็จะไว้ชีวิตนางเซียวลู่เซิงเข็นรถเข็นออกไป แล้วเรียกชิงหนิงเข้ามาปรนนิบัติซูอวิ๋นมองตามแผ่นหลังที่จากไป ในใจระคนไปด้วยความรู้สึกสับสน เขาบอกว่าเขารู้แล้วแต่เขารู้อะไรกันแน่?เมื่อชิงหนิงเข้ามา นางก็เอ่ยกับซูอวิ๋นว่า "พระชายา หมอบอกว่าท่านได้รับบาดเจ็บ ต้องรับประทานอาหารอ่อนๆ บ่าวได้เตรียมโจ๊กผักกับเนื้อไว้ และแกงเม็ดบัวให้บ่าวช่วยท่านบ้วนปาก แล้วจะป้อนอาหารให้นะเพคะ"พอได้ยินชิงหนิงพูดถึงอาหาร ท้องของนางก็ส่งเสียงร้องจ๊อกๆ อย่างน่าอับอายซูอวิ๋นพยักหน้าแล้วถามว่า "องค์ชายเสวยแล้วหรือยัง?"ชิงหนิงชะงัก "หลังจากพระชายาบาดเจ็บ องค์ชายก็คอยเฝ้าอยู่ตลอด ยังมิได้เสวยอาหารเลยเพคะ""เช่นนั้นตอนนี้พระองค์เสด็
ราตรีกาลหิมะขนห่านโปรยปรายลงมาอีกคราเกล็ดหิมะร่วงหล่นกรอบแกรบ เสียงที่กระทบกิ่งไม้ดังชัดเจนยิ่งนักซูอวิ๋นนอนอยู่บนเตียง นึกในใจว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ เซียวลู่เซิงคงจะเชื่อใจนางเสียทีกระมังขณะที่กำลังครุ่นคิดด้านนอกมีความเคลื่อนไหวคงเป็นเซียวลู่เซิงมาถึงแล้วนางหลับตาแกล้งทำเป็นหลับครู่หนึ่ง สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามา เสียงล้อรถหยุดลงหน้าเตียงนางหลังจากเสียงกรอบแกรบ บุรุษผู้นั้นก็ขึ้นเตียง"พระชายา" เสียงของเขาเย็นชาซูอวิ๋นตกใจ เหตุใดเขาจึงเรียกนางเช่นนั้น? ควรลืมตาหรือไม่?"รอให้หิมะหยุดตก แล้วไปเข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดากับข้าที่วังหลวง"เขากำลังพูดกับนางจริงๆ!ซูอวิ๋นแกล้งต่อไปไม่ไหว ลืมตาขึ้นด้วยความเก้อเขิน"หม่อมฉันจะทำตามที่องค์ชายรับสั่งทุกประการเพคะ"นางอ่อนโยนดั่งลูกแมว ดวงตางามของนางราวกับมนตร์สะกด ทำให้เขาจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งเซียวลู่เซิงมองนาง ในอดีต นางอ่อนโยนเช่นนี้กับเซียวอวี๋หรือไม่?คงเป็นเช่นนั้น เขาคือคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันของนางมิใช่หรือซูอวิ๋นไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้กำลังคิดอะไร จึงทำลายความเงียบ "วันนี้หม่อมฉันตกใจมากจริงๆ"เมื่อได้ยิน
ซูอวิ๋นนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เปิดบานหน้าต่างเล็กน้อย มองดูพวกนางเล่นสนุกกันชิงหนิงเอ่ยว่า "เซียงหมิงและคนอื่นๆ ชอบปั้นตุ๊กตาหิมะทุกปี ไม่เคยเบื่อเลยเพคะ"ซูอวิ๋นตอบ "ดีนะ" อย่างน้อยก็เป็นความสุขที่แท้จริงผู้คนต่างพูดกันว่าอ๋องหวยหนาน เซียวลู่เซิง มีอารมณ์แปรปรวน แต่ไฉนสาวใช้ในจวนกลับร่าเริงเช่นนี้?คิดแล้วซูอวิ๋นก็พึมพำว่า "เช่นนั้นแล้ว องค์ชายคงไม่ได้เป็นคนที่ปรนนิบัติยากอย่างที่คนภายนอกเล่าลือกันกระมัง?"ชิงหนิงยิ้มพลางตอบ "ความโหดร้ายขององค์ชายมีเพียงต่อคนนอกและศัตรูเท่านั้นเพคะ"นางมองซูอวิ๋น หญิงคนนี้เป็นคนแรกและคนเดียวที่ได้ร่วมห้องกับองค์ชายชิงหนิงรู้สึกว่า บางทีครั้งนี้ องค์ชายอาจจะมีสตรีอยู่เคียงข้างจริงๆ"เฉพาะกับศัตรูเท่านั้น"ชิงหนิงพยักหน้า "ใช่แล้วเพคะ องค์ชายทรงอารมณ์แปรปรวนจริง แต่ก็มิได้ทรงพิโรธโดยไร้เหตุผล" รินชาดอกไม้ร้อนๆ ให้ซูอวิ๋นแล้วพูดต่อ "องค์ชายทรงปฏิบัติต่อพระชายาแตกต่างจากผู้อื่นเสมอ"ซูอวิ๋นยิ้มบางๆ นางรู้ว่าชิงหนิงกำลังแสดงไมตรีต่อนางบางที อย่างที่ชิงหนิงว่า นางเป็นเจ้าสาวคนแรกที่ไม่ถูกหามออกจากห้องหอดังนั้น พวกนางจึงคิดว่านางแตกต่างนางพยั
ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ขึ้น จึงค่อยถวายบังคมตวนกุ้ยเฟยตวนกุ้ยเฟยวางคัมภีร์ลงพลางยิ้ม ยกมือขึ้น "ไม่ต้องมากพิธีเลย""ขอบพระทัยพระมารดา"มองดูซูอวิ๋น หลังลุกขึ้น มือนางก็วางอยู่บนรถเข็นของเซียวลู่เซิง ดูไม่ออกว่านางรังเกียจโอรสของนางหรือไม่ใบหน้างามละไมนั้น คงถูกลมหิมะพัดจนแดงระเรื่อระหว่างทาง ดูราวกับตุ๊กตากระเบื้องเลยทีเดียวน่าแปลกนัก ที่ทำให้โอรสต้องมองนางด้วยสายตาต่างไปตวนกุ้ยเฟยรับสั่งให้นั่ง จากนั้นจึงให้แม่นมกุ้ยนำขนมที่ทำจากครัวเล็กมาเสิร์ฟ"เมื่อสองวันก่อน พระบิดาของเจ้ายังถามอยู่เลยว่า เมื่อไหร่จะพาสะใภ้ใหม่มาเข้าเฝ้า ไม่นึกว่าวันนี้จะมาเสียแล้ว" ตวนกุ้ยเฟยตรัสพลางยิ้มซูอวิ๋นลุกขึ้นถวายความเคารพ "ทำให้พระบิดาและพระมารดาต้องเป็นห่วงเพคะ"เซียวลู่เซิงเพียงแต่กล่าวว่าช่วงนี้พายุหิมะแรง จึงล่าช้าไปส่วนเรื่องที่ซูอวิ๋นบาดเจ็บ ก็ไม่ได้เอ่ยถึงแต่เซียวลู่เซิงรู้ดี เรื่องในจวนของเขา แปดในสิบส่วนตวนกุ้ยเฟยย่อมรู้ดีมิเช่นนั้น เขาก็คงไม่ต้องกลับไปนอนร่วมเตียงกับซูอวิ๋นในเรือนหลักทุกคืนสวรรค์เท่านั้นที่รู้ ช่วงนี้เขาเกิดราคะกี่ครั้ง อดกลั้นจนทรมานยิ่งนักแม่นมกุ้ยนำขันท
เมื่อเห็นใบหน้าของเซียวลู่เซิง พระทัยของพระองค์ทั้งเจ็บปวดและเสียดายเมื่อสายพระเนตรเลื่อนไปยังซูอวิ๋น กลับทรงตะลึงกับกิริยาและโฉมงามอันไม่ธรรมดาของหญิงสาวผู้นี้แต่เดิมทรงคิดว่าธิดาคนโตของจวนแม่ทัพเจิ้นหยวนที่ไม่เป็นที่โปรดปราน คงเพราะรูปโฉมและกิริยาไม่งดงามใครจะคิดว่า กลับตรงกันข้ามมองดูพระโอรสอีกครั้ง ท่าทางสงบนิ่ง การที่พานางเข้าวังได้ คงจะถูกพระทัยนางแล้วเช่นนี้ พระองค์ก็ต้องครุ่นคิดดูสักหน่อย"ลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็นการเลี้ยงในครอบครัว ไม่ต้องเกรงใจนัก"พอตรัสจบ ตวนกุ้ยเฟยก็ลุกขึ้นก่อน ส่งสายตาให้แม่นมกุ้ย แม่นมกุ้ยค้อมกายคำนับแล้วพานางกำนัลที่เกินจำเป็นออกไปซูอวิ๋นก้มหน้าตลอดนางยังไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ของฮ่องเต้หลังลุกขึ้น จึงได้เห็นด้วยหางตาว่า ฮ่องเต้มีพระวรกายสูงใหญ่ แม้เพียงประทับนั่งจิบชา กิริยาท่าทางก็ดูเป็นกันเองแต่หากมองพระพักตร์แล้ว กลับเป็นลักษณะที่น่าเกรงขามแม้มิได้ทรงพิโรธไม่นาน แม่นมกุ้ยและหยวนเซิง ขันทีใหญ่แห่งตำหนักฉี่เสียง นำนางกำนัลเดินเรียงแถวเข้ามา จัดวางอาหารบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบซูอวิ๋นชำเลืองมอง เพียงชั่วพริบตา โต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหา
เดินมาได้สักพัก ซูอวิ๋นก็ถอนหายใจ “ดอกเหมยเหล่านี้บานแข่งกัน งดงามจับตาเสียนี่กระไร น่าเสียดาย หากมีที่สูงให้ชม คงจะสวยกว่านี้”นางกำนัลกล่าวว่า “ในสวนอี้เหมยมีศาลาอยู่เพคะ” นางพูดพลางชี้มือไป “อยู่ตรงนั้นเพคะ ศาลาค่อนข้างสูง หากชมจนพอใจแล้ว เดินต่อไปข้างหน้ายังจะเห็นเกาะกลางทะเลสาบอีกด้วย”เกาะกลางทะเลสาบ?วังนี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก มีเกาะกลางทะเลสาบด้วยหรือซูอวิ๋นก้าวเดินเร็วขึ้น มุ่งหน้าไปยังศาลาที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ“ว้าย…” นางกำนัลพลันสะดุดล้ม ขาพลิกไปซูอวิ๋นหันกลับมา “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”“ทูลพระชายา บ่าวข้อเท้าพลิกเพคะ”ซูอวิ๋นขมวดคิ้ว มองเห็นศาลาอยู่ไม่ไกล จึงหันไปพูดกับชิงหนิง “เจ้าพานางกลับไปเถิด ข้าจะรอเจ้าที่ศาลา”ชิงหนิงลังเลเล็กน้อย “พระชายา ที่สวนอี้เหมยนี้…” ปลอดภัยแน่หรือเพคะ?“ที่นี่คือวังหลวง ไม่ใช่ถนนด้านนอก จะมีอันตรายใดได้?”นางกำนัลกล่าว “บ่าวสมควรตายที่ทำให้พระชายาหมดสนุก”ซูอวิ๋นว่า “เลิกพูดเถิด รีบกลับไป ไปให้หมอหลวงดูอาการเสีย”“บ่าวขอบพระทัยพระชายาเพคะ”ชิงหนิงไม่มีทางเลือกจำต้องพยุงนางกำนัลออกจากสวนอี้เหมยจนกระทั่งซูอวิ๋นมองไม่เห็นเงาของทั
เซียวอวี้อ้าปากค้าง “หากฝ่าบาทเกิดระแวงขึ้นมา ต่อให้เสด็จพ่อเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ในบรรดาเชื้อพระวงศ์สายรอง ก็ยังสามารถเลือกผู้สืบทอดได้”“เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่!”“ลูกเข้าใจแล้ว” ขณะนั้น ภาพใบหน้าของซูอวี่ซีที่ร้องไห้อ้อนวอน รวมถึงท่าทางเอาใจเขาก็ผุดขึ้นมาในหัวเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงคืนวันส่งท้ายปีเก่าช่วงบ่าย เจียนซุ่นนำคนในจวนมาแปะกลอนคู่ และติดกระดาษลวดลายต่าง ๆ บนหน้าต่างซูอิ่งเข็นรถของเซียวลู่เซิงเข้ามา “พวกเราต้องเข้าวัง ไปอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทและเสด็จแม่ในคืนส่งท้ายปีเก่า”ไม่ใช่แค่พวกเขา ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายก็ต้องเข้าวังเช่นกันซูอวิ๋นรับคำ จากนั้นชิงหนิงก็เริ่มช่วยนางเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าเซียวลู่เซิงนั่งอยู่บนเตียงอุ่น อ่านหนังสือไปพลาง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่ซูอวิ๋นตลอดเวลา นางนั่งอยู่อย่างสงบ มีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าเสมอ ซึ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด“พระชายา พระองค์คิดว่าเครื่องประดับปักผมอันนี้เป็นอย่างไรเพคะ?” ชิงหนิงยกปิ่นทองขึ้นมาถามซูอวิ๋นขมวดคิ้วสวย มองผ่านกระจกทองแดง เห็นชิงหนิงกำลังลองปิ่นทองให้ดูที่ข้างขมับ
เจ้ากรมเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รออยู่เงียบ ๆอ๋องผิงซีเซียวเจิ้นหนานกล่าวต่อว่า “ยาที่ทำให้เป็นหมันที่ให้เจ้าเตรียมไว้นั้น เจ้าได้นำมาหรือไม่?”“นำมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมเฉินหยิบขวดยาออกจากหีบยาแล้วถวายด้วยสองมืออ๋องผิงซีถามว่า “ใช้ได้ทั้งชายและหญิงหรือไม่?”เจ้ากรมเฉินพยักหน้า “ไม่ว่าจะชายหรือหญิง หากใช้ในระยะแรกจะเป็นเพียงยาคุมกำเนิด แต่หากใช้ต่อเนื่องเกินครึ่งปี จะกลายเป็นหมันแน่นอน”เป็นหมันงั้นรึ? ดีมาก!เขาโบกมือ “ดี ขอบใจเจ้ามาก เจ้ากลับไปได้แล้ว”เจ้ากรมเฉินคารวะตามมารยาท ก่อนจะแบกหีบยาแล้วเดินออกไป“ท่านอ๋อง ท่านซื่อจื่อมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเดินเข้ามารายงานอ๋องผิงซีว่า “ให้เขาเข้ามา ข้ากำลังมีเรื่องจะคุยพอดี” เขามองขวดยาในมือ ครุ่นคิดอย่างมีแผนการ“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”ไม่นานนัก เซียวอวี้ก็เข้ามา คารวะกล่าวว่า “ลูกขอคารวะท่านพ่อ”อ๋องผิงซีโบกมือเล็กน้อย “เจ้ากับซูอวิ๋นที่หลังจากนางแต่งเข้าวังอ๋องหวยหนานแล้ว เคยพบกันบ้างหรือไม่?”เซียวอวี้ส่ายหัว “ครั้งก่อนลูกใช้ชื่อของเสด็จแม่เชิญนางไปชมดอกเหมย แต่นางปฏิเสธ”“ปฏิเสธงั้นหรือ?” อ๋องผิงซีแทบไม่อยาก
เซียวลู่เซิงเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า“บางเรื่อง ต่อไปข้าจะเล่าให้ฟัง”ฟังดูแล้วเป็นเรื่องลับของราชวงศ์แน่ ซูอวิ๋นไม่อยากเดาว่าคืออะไรตอนนี้ทำได้แค่ต้องอดทน อดทนจนกว่าซูอวี่ซีจะได้แต่งงานกับเซียวเหิงโดยราบรื่นพระจันทร์ลอยขึ้นเหนือยอดต้นหลิวซูอวี่ซีเพิ่งออกจากประตูหลังของจวนอ๋องผิงซี แล้วขึ้นรถม้าของจวนซูด้วยการพยุงของชุ่ยจู“คุณหนู พวกเรากลับดึกขนาดนี้ จะอธิบายท่านพ่อแม่ทัพกับฮูหยินว่าอย่างไรดีเจ้าคะ?” ชุ่ยจูมีท่าทีวิตกกังวลรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปเสียงกีบม้าดังกึกก้อง เสียงล้อรถบดกับพื้นกลบเสียงสนทนาของนายบ่าวสารถีไม่ได้ยินอะไรเลยซูอวี่ซียิ้มบาง ๆ “ท่านซื่อจื่อตอบตกลงกับข้าแล้ว ว่าจะไปขอร้องอ๋องผิงซีให้ช่วยถอนหมั้นให้ข้า”“อ๋องผิงซีจะช่วยคุณหนูจริง ๆ หรือเจ้าคะ?”“ข้ากับท่านซื่อจื่อได้เป็นของกันและกันแล้ว อีกทั้งข้าเกิดมาพร้อมดวงชะตาราชินี ท่านอ๋องย่อมเห็นแก่ดวงชะตาของข้าจะต้องช่วยบุตรชายของตนให้ถึงที่สุดแน่”ใจที่กังวลของชุ่ยจูสงบลงไม่น้อย“เช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้ว” หากคุณหนูรองต้องแต่งเข้าไปในจวนอ๋องผิงเหยา ชีวิตดี ๆ ของนางก็คงจบสิ้นลงทุกคนต่างรู้ว่าอ๋องผิงเหยาไม่
"ไม่ยอมแพ้แล้วจะทำเช่นไรได้?"ซูอวิ๋นลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงพระราชทานการสมรสให้เอง ต่อให้เป็นอ๋องผิงซี ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ใช่หรือไม่?"เซียวลู่เซิงกล่าวว่า "เว้นแต่ว่าเสด็จอาและพระชายาจะไปทูลขอด้วยตนเอง"เมื่อพูดถึงตรงนี้ ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัวของเขา เสียงของเสด็จแม่ดังก้องอยู่ในใจ— 'ยิ่งหญิงงามเพียงใดยิ่งหลอกลวงเก่งเท่านั้น'ในช่วงที่เขายังเป็นองค์รัชทายาท เสด็จแม่ต้องเสียน้ำตาเพราะพระชายาอ๋องผิงซีมากเพียงใด...ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะมีความรู้สึกพิเศษต่อพระชายาอ๋องผิงซี เขาอธิบายความรู้สึกนั้นไม่ได้ แต่รู้แน่ว่า ในใจของฝ่าบาท พระชายาผู้นี้มีความสำคัญไม่น้อยให้เสด็จอาไปขอร้องฝ่าบาทเพื่อเปลี่ยนแปลงราชโองการ ไม่สู้ให้พระชายาของเสด็จอาไปขอร้องเพียงเล็กน้อย ฝ่าบาทก็คงประทานอนุญาตแล้ว"อ๋องผิงซีไปขอร้องฝ่าบาท แล้วฝ่าบาทจะทรงยินยอมจริงหรือ?" ซูอวิ๋นขมวดคิ้วเซียวลู่เซิงพยักหน้า"ไม่ได้! เซียวอวี้กับซูอวี่ซีจะแต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด!"เซียวลู่เซิงมองดูใบหน้าตื่นตระหนกของนาง ก่อนจะรีบคว้ามือนางไว้ "อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ"ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายปะป
ยิ่งมอง หัวใจยิ่งเต้นแรงแผลเป็นบนใบหน้านี้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว อีกไม่นาน เซียวลู่เซิงจะได้กลับมามีใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้งถึงตอนนั้น นางจะได้เห็นกับตาว่าบุรุษที่ช่วยเหลือเก็บศพนางในชาติก่อน เดิมทีแล้วมีโฉมหน้าเป็นเช่นไรไออุ่นหอมละมุนกระทบใบหน้า เซียวลู่เซิงรู้สึกว่ากลิ่นนั้นช่างหอมเหลือเกิน ดวงตาคมปลาบดุจพญาอินทรีเริ่มอ่อนโยนลงซูอวิ๋นสบตากับเขาพอดี นางยิ้มบางเบา “องค์ชาย”เซียวลู่เซิงพึมพำรับในลำคอ แล้วยิ้ม “ในดวงตาของพระชายา ข้าเห็นตัวเอง”ตัวเขาในดวงตาของนาง เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นแต่เขากลบเกลื่อนความรู้สึกต่ำต้อยไว้ได้อย่างแนบเนียน เพียงยิ้มบาง ๆ มองดูสีหน้าของนางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยซูอวิ๋นยิ้มบาง ๆ ใช้สองมือประคองใบหน้าเขา “หม่อมฉันก็เห็นตัวเองในดวงตาขององค์ชาย”นางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าว “นี่ใช่หรือไม่คือคำที่คู่รักกล่าวกันว่า—ในดวงตาของท่านมีข้า ในดวงตาของข้ามีท่าน?”เซียวลู่เซิงอ้าปากค้าง ก่อนจะหัวเราะเพราะนางทำให้เขาขบขัน “อืม”ในดวงตาและหัวใจของนาง มีเขาอยู่จริงหรือ?คำตอบของเรื่องนี้ เขาไม่กล้าคิดคำนึง ณ ตอนนี้ แค่นางพูดถ้อยคำหวานหูเช่นนี้กับเขา ก็ถือเป็นวาสนาอ
“องค์ชาย?”ซูอวิ๋นเห็นเขาไม่ตอบ ก็เลยตัดสินใจถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆเพราะคืนเข้าหอ เขาเป็นคนกรีดนิ้วตัวเองให้เลือดหยดลงบนผ้าโลหิตพิสุทธิ์ต่อมา หมอหลินก็เคยมาตรวจร่างกายเขาแล้ว แต่กลับให้คำตอบที่กำกวม นางจึงไม่รู้แน่ชัดว่าเซียวลู่เซิงยังมีความสามารถอยู่หรือไม่เซียวลู่เซิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ มุมปากมีรอยยิ้มขัดเขิน ยื่นมือไปกุมมือนางไว้ “อวิ๋นเอ๋อร์รออีกสักระยะเถอะ”ยังต้องรออีกหรือ?“อวิ๋นเอ๋อร์บอกว่าภายในสามเดือน ขาข้าจะกลับมามีความรู้สึกดังเดิม และอีกครึ่งปีข้าจะยืนขึ้นได้ ใช่หรือไม่?”ซูอวิ๋นพยักหน้า “เพคะ” หากแนวทางการรักษาไม่ผิดพลาด และไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางมั่นใจในเรื่องนี้เซียวลู่เซิงกล่าว “เช่นนั้นก็รอให้ข้าหายดีแล้วกัน” รอให้ขาหายดี แล้วค่อยร่วมอภิรมย์ซูอวิ๋นเข้าใจความหมาย ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความกระตือรือร้นของฝ่าบาทและตวนกุ้ยเฟยที่อยากได้หลาน พวกเขาจะรอได้นานขนาดนั้นหรือ?แม้จะมีคำถามในใจ แต่นางก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จะให้นางไปกระชากกางเกงของเซียวลู่เซิง แล้วเป็นฝ่ายเริ่มเองก็กระไรอยู่?แค่คิดก็น่าอายจนแทบต้องแทรกแผ่นดินหนีแล้ว!เพื่อทำลายความกระอักกระอ่วน ซูอ
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังหลอกลวงได้ต้วนกุ้ยเฟยถอนหายใจ ไม่สนใจอีกแล้วว่านางต้องการอะไร ขอแค่นางให้กำเนิดทายาทให้เซิงเอ๋อร์ได้ก็พอ"ลุกขึ้นเถิด ข้าเชื่อเจ้า" ต้วนกุ้ยเฟยกล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักจนถึงวันนี้ นางเป็นถึงพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด แต่ก็ยังไม่ได้เป็นฮองเฮา ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะพี่สาวแท้ ๆ ผู้เลอโฉมของนางหรอกหรือ?ซูอวิ๋นลุกขึ้น แล้วนั่งลงตรงที่นั่งต่ำกว่าไม่นานนัก แม่นมกุ้ยกล่าวขึ้นจากด้านนอกว่า "พระชายา หมอหลวงหลี่มาแล้วเพคะ"ต้วนกุ้ยเฟยกล่าวว่า "เชิญเขาเข้ามา"หลังจากพูดจบ นางก็กล่าวกับซูอวิ๋นว่า "หมอหลวงหลี่มาตรวจชีพจรให้เจ้าเพื่อความสบายใจ"สุขภาพแข็งแรงดีอยู่แล้ว จะตรวจชีพจรเพื่ออะไร?ไม่นานนัก แม่นมกุ้ยก็เดินนำหมอหลวงหลี่เข้ามาหมอหลวงหลี่ดูอายุยังน้อย น่าจะประมาณยี่สิบสองหรือยี่สิบสามปีหลังจากตรวจชีพจรของซูอวิ๋นแล้ว เขากล่าวกับต้วนกุ้ยเฟยว่า "ขอถวายรายงาน พระชายามีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่จำเป็นต้องบำรุงเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ"ต้วนกุ้ยเฟยเพียงพยักหน้ารับเบา ๆหลังจากหมอหลวงหลี่จากไปแล้ว ต้วนกุ้ยเฟยกล่าวว่า "ต่อไป หมอหลวงหลี่จะไปที่จวนอ๋องเป็นประจำ เพื่อตรวจชีพ
เซียวลู่เซิงจับมือนางไว้ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม โดยรวมแล้ว พระองค์ทรงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งนับตั้งแต่พิการ เขาก็กลายเป็นคนขี้ระแวงมาโดยตลอด แต่บัดนี้ ถึงแม้จะยังคงสงสัยว่าซูอวิ๋นมีเซียวอวี้อยู่ในใจหรือไม่ ก็พยายามเตือนตนเองให้เชื่อนางภาพนี้ตกอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ ทอดพระเนตรเห็นเซิงเอ๋อร์อารมณ์ดีเช่นนี้ พระองค์จึงมิได้ขุ่นเคืองเรื่องที่ตระกูลซูส่งเจ้าสาวมาสลับตัวกันอีกต่อไปเพียงแต่ สิ่งที่พระองค์คาดไม่ถึงคือ ซูอวิ๋นกลับมิได้ขอพระราชทานอภัยโทษให้ซูอวี่ซีเลยเฮ้อ... แม่ทัพเจิ้นหยวน ซูหงเผิงเอ๋ย!บุตรสาวคนโตอย่างซูอวิ๋น มีรูปลักษณ์สง่างามเป็นอย่างยิ่ง ไฉนจึงไม่ได้รับความโปรดปรานในตระกูลซูกัน?เป็นเพราะคำทำนายของนักพรตพเนจรผู้นั้น ที่กล่าวว่าซูอวี่ซีเกิดมาพร้อมชะตาผู้ราชินีกระนั้นหรือ?ในเมื่อเชื่อคำทำนายปานนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่เต็มใจให้ธิดาแต่งกับโอรสเพียงองค์เดียวของเขา กลับไปคบหาลับ ๆ กับทายาทแห่งจวนอ๋องผิงซี มีแผนคิดคดอันใด ทุกคนล้วนรู้แจ้งอยู่แก่ใจ!ดังนั้น เมื่อตวนกุ้ยเฟยทรงทูลขออภิเษกเซียวเหิงกับซูอวี่ซี พระองค์จึงตกลงโดยมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อยเซียวเหิงเป็นเชื้อพระ