บทที่ 8 : ใกล้ชิดในสวนหลวง
ในค่ำคืนฉลองวันประสูติขององค์ฮองเฮา งานเลี้ยงภายในวังหลวงถูกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริก ทั้งราชสำนักและขุนนางชั้นสูงต่างมาร่วมงานเฉลิมฉลองกันอย่างคับคั่ง ทุกคนในวังหลวงต่างสวมใส่เสื้อผ้าอันหรูหราและประดับประดาเครื่องประดับอย่างงดงาม ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างไสวและเสียงดนตรีที่ก้องกังวาน งานเลี้ยงในครั้งนี้จะขาดบุคคลสำคัญอย่างครอบครัวตระกูลชิงไปไม่ได้ พวกเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าวเช่นกัน
พระราชวังยามค่ำคืนถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใสที่แขวนเรียงรายตามทางเดินและเสาต่าง ๆ แสงโคมไฟสะท้อนแสงเงางามบนพื้นหินอ่อน ทำให้บรรยากาศทั้งงานดูอบอุ่นและหรูหรา กลิ่นหอมของดอกไม้สดที่ประดับตามโต๊ะและประตูใหญ่แผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ทุกคนรู้สึกสดชื่น
ในลานกว้างกลางพระราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง วันประสูติของฮองเฮา ตกแต่งด้วยธงสีทองและผ้าลายดอกไม้สวยงาม แขกผู้มีเกียรติและขุนนางน้อยใหญ่ต่างเดินเข้ามาในงานด้วยชุดคลุมหรูหราประดับด้วยผ้าไหมและลายปักอย่างละเอียด ทุกคนต่างพากันมอบของขวัญและกล่าวคำอวยพรต่อฮองเฮา
โต๊ะอาหารยาวถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะมีอาหารเลิศรสมากมาย ทั้งเป็ดปักกิ่ง หมูหัน ปลาอบเกลือ และซุปรังนก นอกจากนี้ยังมีผลไม้สดและขนมหวานที่จัดเรียงอย่างสวยงาม เหล้าหอมหมื่นลี้ถูกเสิร์ฟในแก้วทองคำ สร้างบรรยากาศแห่งความสำราญและความยินดี
ในระหว่างงานเลี้ยง มีกลุ่มนักดนตรีและนักแสดงที่มาแสดงการบรรเลงเพลงและรำโบราณเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับแขกทุกคน เสียงดนตรีที่ไพเราะและการร่ายรำที่งดงามทำให้บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความประทับใจ
ชิงอี้หรานนั่งอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยง สายตามากมายต่างจับจ้องมาที่หญิงสาว ทำให้ชิงอี้หรานรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย สักพักหญิงสาวรู้สึกเบื่อหน่าย ชิงอี้หรานตัดสินใจปลีกตัวออกมาเดินเล่นที่สวนอุทยานเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ หญิงสาวเดินลัดเลาะไปตามลานดอกไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายตัวทั่วบริเวณ ทำให้ชิงอี้หรานค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
ระหว่างที่ชิงอี้หรานกำลังจะเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง จู่ ๆ พลันร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากที่ลับ ร่างแกร่งประชิดตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วและปิดปากหญิงสาว ชิงอี้หรานถูกดันตัวแนบกับเสาหินสลักใหญ่ ชิงอี้หรานตกตะลึงแต่มิอาจเปล่งเสียงร้องใดออกมาได้ ใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อสายตาเบิ่งโตพลันได้เห็นหน้าบุคคลดังกล่าว
“หนิงซีโย่ว!” ชิงอี้หรานกระซิบเสียงสั่น
ชิงอี้หรานพบว่าชายหนุ่มคือหนิงซีโย่ว หญิงสาวทั้งดีใจและตกใจในคราเดียวกัน
"เงียบก่อนนะ" หนิงซีโย่วทำนิ้วจุ๊ปากพร้อมมองไปยังทหารรักษาการที่เดินผ่านทางมา
สัมผัสที่แนบชิดและไอร้อนจากกายหนุ่มที่แผ่ซ่านทำให้ชิงอี้หรานหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นรัว ราวกับจะหลุดออกมา หลังจากทหารเดินผ่านทางไปแล้ว หนิงซีโย่วถอนหายใจยาว แล้วพลันเหลือบตามองหญิงสาวในอ้อมกอด ท่าทางเขินอายของชิงอี้หรานทำให้ชายหนุ่มอดใจกลั่นแกล้งและกระเซ้าไม่ได้
“เจ้าเขินหรือ” หนิงซีโย่วแกล้งถามด้วยรอยยิ้ม
ชิงอี้หรานก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตา “ข้า... ข้าไม่ได้เขิน”
หนิงซีโย่วหัวเราะเบาๆ และฉวยโอกาสรังแกหญิงสาวโดยจุมพิตเบาๆ ที่แก้มของนาง ทำให้ชิงอี้หรานหัวใจเต้นรัวและหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้น
“ท่าน..ท่านทำอะไร!” ชิงอี้หรานกระซิบเสียงสั่น
“ข้าไม่ได้ตั้งใจเอาเปรียบเจ้า ข้าเพียงคิดถึงเจ้า หยวนเอ๋อ” หนิงซีโย่วมีรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เสียงกระซิบแผ่วเบาที่แผ่วเบา ชายหนุ่มกล่าวพลางแกล้งก้มหน้าใกล้จนหญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นเบา ๆ
ชิงอี้หรานรู้สึกเขินอายมาก แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อหนิงซีโย่วได้ หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในอ้อมกอดของชายหนุ่ม
ชิงอี้หรานพยายามหันหน้าเบี่ยงไปทางอื่น แต่หนิงซีโย่วจับคางหญิงสาวเบา ๆ หันกลับมา ท่าทางที่ทำให้ชายหนุ่มดูจริงจัง
"ข้าคิดถึงเจ้า แล้วเจ้าเล่า คิดถึงข้าบ้างหรือไม่" หนิงซีโย่วพูดพลางหัวเราะเบา ๆ แต่แววตาของชายหนุ่มดูอ่อนโยนมากกว่าทุกครั้ง
ชิงอี้หรานได้ยินเช่นนั้น ยิ่งทำให้หญิงสาวใจเต้นรัว หน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตา
“ท่าน..ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ชิงอี้หรานถามออกไปพยายามบ่ายเบี่ยงคำถามน่าอับอายเช่นนั้น
หนิงชิงโย่วหัวเราะเบาๆ ออกมา ชายหนุ่มค่อย ๆ คลายมือออกจากร่างบางของชิงอี้หราน ปลดปล่อยให้หญิงสาวได้ยืนอย่างอิสระ
“ข้าเพียงมาร่วมงานเลี้ยงอันน่าเบื่อนี้เท่านั้น” หนิงซีโย่วตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
"ข้าอยากคุยกับเจ้าต่อ หยวนเอ๋อเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้หรือไม่" หนิงซีโย่วเอื้อมมือมากุมมือหญิงสาวไว้ไม่อยากปล่อยโอกาสอันดีนี้ไป
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ชิงอี้หรานใจเต้นแรงขึ้น หญิงสาวรู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในห้วงฝันที่ไม่ต้องการตื่นชิงอี้หรานพยักหน้าเบา ๆ ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง หนิงซีโย่วจับมือชิงอี้หรานแน่น แล้วทั้งสองก็เดินไปตามทางเดินในสวนด้วยกัน
คืนนั้น สวนในวังหลวงกลายเป็นสถานที่ที่ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ทั้งสองพูดคุยและแบ่งปันความรู้สึกในใจ ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ทั้งคู่รู้สึกว่าความรักของพวกเขาเป็นดั่งแสงดาวที่ส่องสว่างในคืนมืด ความรักที่ไม่มีสิ่งใดสามารถดับลงได้
บทที่ 9 : ตัวตนเปิดเผยหลังจากใช้เวลาสักพักในสวนสวยที่สงบเงียบ ชิงอี้หรานก็ขอตัวกลับเข้าไปในงานเลี้ยงในวังหลวงอีกครั้ง หญิงสาวกลับเข้าสู่ตำหนัก“อี้หราน เจ้าหายไปไหนมา พวกเข้าร้อนใจจนเกือบจะออกตามหาเจ้า” ชิงหลงพี่ชายคนรองกระซิบถามอย่างห่วงใย“ข้าเพียงออกไปเดินเล่นเท่านั้น ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ” ชิงอี้หรานกล่าวตอบพร้อมคีบอาหารเข้าปาก ทำท่าทางประหนึ่งมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นสักพักหนึ่ง พลันเสียงขันทีที่ประกาศขึ้นอย่างก้องกังวานดึงความสนใจของทุกคนในงาน"องค์ชายห้าเสด็จ!"เสียงขันทีทำให้ทุกสายตาหันไปยังประตูตำหนัก ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แสดงสีหน้าดีใจ เมื่อเห็นบุตรชายของสนมอันเป็นที่รักเสด็จมา หนิงซีโย่วเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาของชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ และประสานเข้ากับชิงหยวนเปา อัครเสนาบดีผู้ทรงอำนาจ สายตานั้นล้ำลึก มิอาจคาดเดาได้ แต่ก็หาได้มีความเป็นมิตรแต่อย่างใดทันใดนั้น หนิงซีโย่วเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายชิงหยวนเปา ใจของชายหนุ่มพลันตกตะลึงอย่างยิ่งยวด "หยานเอ๋อ!" หนิงซีโย่วร้องเรียกในใจ หญิงสาวที่เขารู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งกำลังยืนเคียงข้างชายชั่วที่ช
บทที่ 10 : การล่อลวงภายหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หนิงซีโย่วกลับมาที่ตำหนักของตน ใจเขายังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย การได้รับรู้ว่าหญิงสาวที่ตนมอบใจให้ กลับกลายเป็นบุตรสาวของศัตรูที่หนิงซีโย่วไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินด้วยได้ ความคิดที่จะล้างแค้นต่อครอบครัวชิงหยวนเปาไม่เคยหายไปจากใจชายหนุ่ม หลังจากหนิงซีโย่วครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มตัดสินใจวางแผนการในการทำลายล้างครอบครัวตระกูลชิง โดยเป้าหมายแรกที่ชายหนุ่มพุ่งเป้าก็คือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของชิงหยวนเปา “ชิงอี้หราน”ยามค่ำคืนในวันต่อมา ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลจ้าท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แสงจันทร์สะท้อนกับน้ำในสระและพื้นหินอ่อนทำให้บรรยากาศรอบ ๆ งดงามราวกับภาพวาดสายลมเย็นเบา ๆ พัดผ่านต้นไม้และดอกไม้ในสวน กลิ่นหอมหวานของดอกมะลิและดอกเหมยลอยเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของชิงอี้หราน หน้าต่างห้องนอนเปิดกว้างรับลม แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้ห้องนอนสว่างด้วยแสงสีเงินอ่อน ๆภายในห้องนอนตกแต่งอย่างงดงาม เตียงนอนใหญ่ปูด้วยผ้าไหมสีขาวและหมอนปักลายดอกไม้ สะท้อนความหรูหราและงดงาม บนโต๊ะข้างเตียงมีโคมไฟน้ำมันตั้งอยู่ ให้แสงสว่างเพียงพอที่จะม
บทที่ 11 : ไม่อาจอยู่ร่วมในเช้าวันหนึ่ง แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมา ภายในห้องทำงานของชิงหยวนเปา ห้องดังกล่าวตั้งอยู่ในส่วนที่สงบเงียบของจวนตระกูลชิง มีประตูไม้แกะสลักอย่างงดงามเปิดสู่ห้องที่กว้างขวาง ปูด้วยเสื่อทอมือจากไหมอย่างประณีต พื้นห้องสะท้อนแสงแดดที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าม่านไหมสีทองและสีแดงเข้ม โต๊ะทำงานของชิงหยวนเปาตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ทำจากไม้จันทน์แดงแกะสลักลวดลายมังกรละเอียดอ่อน ด้านบนของโต๊ะมีของตกแต่ง เช่น พู่กันและกระดาษเขียนตัวอักษรจีนโบราณ หมึกหินรูปเสือ กระเบื้องเคลือบสีลวดลายจีน และหนังสือสักหลาดที่มีลวดลายทอง ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพวาดภูเขาและน้ำตกที่งดงาม พร้อมกับชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยตำราโบราณและเอกสารสำคัญ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความสงบเงียบ แต่ภายในห้องใหญ่กลับถูกทำลายด้วยอารมณ์โมโหและโกรธเคือง“พวกเจ้าว่าอะไรนะ เหตุใดชิงอี้หรานและหนิงซีโย่วถึง...พวกเจ้าแน่ใจรึ”“ท่านพ่อ ข้าแน่ใจว่าหนิงซีโย่วกำลังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชิงอี้หรานไม่ผิดเป็นแน่” ชิงหยางกล่าวอย่างชัดเจน“เป็นความจริงขอรับท่านพ่อ พวกเขามักจะพบกันบ่อย ๆ และดูเหมือนว่าอี้หร
บทที่ 12 : มิอาจห้ามรักชิงอี้หรานนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ที่งดงาม ต้นไม้นานาชนิดที่กำลังออกดอกสวยงามทำให้หญิงสาวดูเหมือนเทพธิดาท่ามกลางบุปผางาม แต่ในใจของหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยความขมขื่นและความกังวล สายตาเลื่อนลอยเหม่อมองไปบนท้องฟ้าอย่างหม่นหมอง หลายวันมานี้ ชิงอี้หรานกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวรู้ว่าความรักระหว่างนางกับหนิงซีโย่วเป็นสิ่งที่บิดาของตนไม่สามารถยอมรับได้ทำให้ชิงอี้หรานแทบหมดอาลัยตายอยากพี่ชายทั้งสามที่รู้เรื่องการทะเลาะกันของบิดาและน้องสาวได้แต่กลัดกลุ้ม แม้จะพอรู้ว่าบิดาตนหวงและห่วงน้องสาวมากเพียงนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าบิดาจะถึงขั้นลงไม้ลงมือกับน้องสาวเช่นนั้น ทั้งสามเดินเข้ามาหาน้องสาว ชิงหลงยกมือลูบศีรษะน้องสาวอย่างแผ่วเบา“อี้หราน เจ้ากินขนมหนิวโหย่วถาสักหน่อยเถิด พี่จำได้ว่าเป็นของโปรดเจ้า พี่ให้พ่อครัวทำมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ” ชิงเฟยยื่นขนมเค้กน้ำมันเนื้อวัวให้น้องสาว หวังให้หญิงสาวได้กินอะไรเข้าไปบ้าง“ข้าไม่หิว ท่านนำกลับไปเถิด” ชิงอี้หรานปฏิเสธโดยไม่มองเสียด้วยซ้ำ กลิ่นขนมหอมกรุ่น แต่ไม่อาจทำให้หญิงสาวเกิดความอยากอาหารได้“หากเจ้า
บทที่ 13 : แผนการของหนิงซีโย่วยามเช้าตรู่ ณ ตำหนักไทเฮาที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและสง่างาม แสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าตรู่ส่องผ่านต้นไม้ใหญ่น้อยที่ล้อมรอบตำหนัก ส่องแสงทองสว่างไสวทั่วบริเวณ สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หายากกำลังเบ่งบาน มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาแตะจมูก น้ำพุเล็ก ๆ ในสวนส่งเสียงไหลเย็นสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย นกกระจิบน้อยร้องเพลงประสานเสียงทำให้บรรยากาศยิ่งสดชื่นและรื่นรมย์ตำหนักไทเฮาที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเหลืองทอง ประดับด้วยลวดลายมังกรและฟีนิกซ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจ ประตูใหญ่ของตำหนักทำจากไม้แกะสลักประณีต ประดับด้วยโคมไฟสีแดงที่ห้อยลงมาต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในตำหนักเต็มไปด้วยความหรูหราและความอลังการ ห้องโถงใหญ่ประดับด้วยพรมแดงที่ปูเต็มพื้น ผ้าม่านผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง โคมไฟทองเหลืองประดับประดาทั่วห้องสร้างบรรยากาศที่สว่างไสวและอบอุ่น บัลลังก์ของไทเฮาตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ ทำจากไม้หอมแกะสลักประณีต ปูด้วยเบาะผ้าไหมสีแดงและทองหนิงซีโย่วก้าวเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป บันไดหินอ่อนที่ทอดยาวมุ่งสู่ทางเข้าหลักของตำหนัก ชายหน
บทที่ 14 : แผนการที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างภายใต้ท้องฟ้าครามที่โอบล้อมด้วยความงามของพระราชวัง ฮ่องเต้ได้ลงนามในราชโองการพระราชทานสมรส และราชโองการนั้นถูกส่งไปยังจวนสกุลชิงอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงและความกังวลใจไปทั่วทุกมุมของจวนอัครเสนาบดีชิงหยวนเปา ภายหลังได้รับราชโองการ ชายชราก็นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ เขามองไปยังเอกสารที่มีตราประทับของฮ่องเต้ด้วยสายตาเคร่งเครียด ความคิดหลายประการผ่านเข้ามาในหัว "นี่มันเป็นไปไม่ได้! ฮ่องเต้ยอมให้สมรสระหว่างหนิงซีโย่วและอี้หรานจริงหรือ" เขาครุ่นคิดอย่างไม่สบายใจ ความสงสัยและความกังวลเพิ่มพูนขึ้นทันใดนั้น ขันทีในพระราชวังเข้ามาพร้อมกับประกาศ "ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านอัครเสนาบดีเข้าเฝ้าโดยด่วน" น้ำเสียงของขันทีแสดงถึงความเร่งด่วนชิงหยวนเปาพยักหน้ารับ ขมวดคิ้วเข้าหากัน "ข้าจะรีบเข้าเฝ้าทันที" ความรู้สึกหนักอึ้งเพิ่มขึ้นทุกก้าวที่เขาเดินไปยังตำหนักของฮองเฮาในพระตำหนักของฮองเฮา ความเงียบสงบถูกทำลายโดยเสียงฝีเท้าของขันทีที่เดินนำอัครเสนาบดีเข้ามา ฮองเฮายืนอยู่ตรงกลางห้องด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเป็นผู้นำและความเคร่งขรึม "ใต้เท้าชิง ท่านรู้เรื่องนี้หร
บทที่ 15 : เค้าลางเริ่มเกิดณ ตำหนักฮองเฮา ความเงียบสงบถูกทำลายด้วยเสียงฝีเท้าของรัชทายาทหนิงหลานอิงที่เดินเข้ามา ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่างพอประมาณ ฮองเฮายืนอยู่ตรงกลางห้อง ท่ามกลางความเคร่งขรึมและความคิดที่หนักหน่วง"เสด็จแม่" หนิงหลานอิงกล่าวขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น "ข้าได้รับข่าวเรื่องการสมรสระหว่างหนิงซีโย่วและชิงอี้หราน ข้าไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วฝ่ายใต้เท้าชิงเล่าเหตุใดจึงเงียบเฉยไปเช่นนี้"ฮองเฮามองลูกชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิด "ลูกข้า ข้าก็เองก็รู้สึกว่าเรื่องราวนี้ไม่ง่ายดายเช่นกัน ท่าทีที่ใต้เท้าชิงมี ข้าก็มิอาจหาประโยชน์แก่พวกเราได้ ข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะอยู่เฉยเช่นนี้ไม่ได้แล้ว"หนิงหลานอิงขมวดคิ้ว พลางเดินเข้ามาใกล้ฮองเฮา "เสด็จแม่ หากข้าไม่ได้ครอบครอง ข้าเพียงหวังให้พวกมันย่อยยับ ข้าต้องการทำลายพวกมันให้สิ้น"ฮองเฮาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "เราต้องวางแผนการที่รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย ข้าตัดสินใจจะวางยาฮ่องเต้ และบีบบังคับให้เขายอมมอบบัลลังก์ให้เจ้าซะก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป"หนิงหลานอิงหยุดคิดสักครู่ ก่อนจะกล่าวต่อไป "เรื่องนี้ ข้า..
บทที่ 16 : พายุก่อตัวฟ้าฝนตั้งเค้าข่าวการประชวรของฮ่องเต้สร้างความระส่ำระสายไปทั่วแคว้น ทั้งเมืองหลวงและต่างเมืองต่างเต็มไปด้วยข่าวลือและความไม่สงบ ฝ่ายขั้วอำนาจต่าง ๆ พากันเคลื่อนไหวทั้งเปิดเผยและคลื่นใต้น้ำ ความไม่แน่นอนในราชสำนักกระตุ้นให้เหล่าขุนนางและผู้นำตระกูลใหญ่ๆ ทั่วแคว้นต่างเร่งหาทางเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นภายในพระราชวัง ฮองเฮาตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ยึดอำนาจว่าราชการแทนองค์ฮ่องเต้ พระนางใช้โอกาสนี้เสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของรัชทายาทเพื่อให้เขาได้ครองบัลลังก์ การตัดสินใจของฮองเฮาทำให้เหล่าขุนนางบางส่วนรู้สึกไม่พอใจและหวาดระแวง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าต่อต้านอย่างเปิดเผย เนื่องจากเกรงกลัวอำนาจของพระนางฮองเฮาจัดประชุมเหล่าขุนนางในห้องโถงใหญ่ ความมืดของห้องถูกแทรกแซงด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างพอประมาณ ทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขุนนางทั้งหลายต่างจับจ้องมาที่ฮองเฮาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล"ท่านทั้งหลาย" ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและเด็ดขาด "ในเวลานี้ องค์ฮ่องเต้ประชวรหนัก ไม่สามารถว่าราชการได้ ข้าและรัชทายาทจึงจำเป็นต้องเข้ามาดูแลและจ
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา