บทที่ 16 : พายุก่อตัวฟ้าฝนตั้งเค้าข่าวการประชวรของฮ่องเต้สร้างความระส่ำระสายไปทั่วแคว้น ทั้งเมืองหลวงและต่างเมืองต่างเต็มไปด้วยข่าวลือและความไม่สงบ ฝ่ายขั้วอำนาจต่าง ๆ พากันเคลื่อนไหวทั้งเปิดเผยและคลื่นใต้น้ำ ความไม่แน่นอนในราชสำนักกระตุ้นให้เหล่าขุนนางและผู้นำตระกูลใหญ่ๆ ทั่วแคว้นต่างเร่งหาทางเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นภายในพระราชวัง ฮองเฮาตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ยึดอำนาจว่าราชการแทนองค์ฮ่องเต้ พระนางใช้โอกาสนี้เสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของรัชทายาทเพื่อให้เขาได้ครองบัลลังก์ การตัดสินใจของฮองเฮาทำให้เหล่าขุนนางบางส่วนรู้สึกไม่พอใจและหวาดระแวง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าต่อต้านอย่างเปิดเผย เนื่องจากเกรงกลัวอำนาจของพระนางฮองเฮาจัดประชุมเหล่าขุนนางในห้องโถงใหญ่ ความมืดของห้องถูกแทรกแซงด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างพอประมาณ ทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขุนนางทั้งหลายต่างจับจ้องมาที่ฮองเฮาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล"ท่านทั้งหลาย" ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและเด็ดขาด "ในเวลานี้ องค์ฮ่องเต้ประชวรหนัก ไม่สามารถว่าราชการได้ ข้าและรัชทายาทจึงจำเป็นต้องเข้ามาดูแลและจ
บทที่ 17 : เมื่อทางเดินที่ต้องตัดสินใจเลือกภายในห้องทำงานของชิงหยวนเปา เสนาบดีผู้ทรงอิทธิพล ชายชราอันโดดเด่นด้วยบารมีและความเฉลียวฉลาด กำลังนั่งปรึกษากับบุตรชายทั้งสามของเขา ชิงหยาง ชิงเฟย และชิงหลง แต่ละคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิดและเคร่งเครียด"เราจะทำเช่นไรดี ท่านพ่อ" ชิงหยางเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "สถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ขณะนี้ฮองเฮาเข้าควบคุมราชสำนัก สกุลชิงยากจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าดังกล่าวได้"ชิงเฟย พยักหน้าเห็นด้วย "ข้ากังวลว่าแคว้นโย่วกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงซะแล้ว""แต่น้ำที่กำลังเชี่ยว หากพวกเราขวางเรือ ข้าไม่อาจคิดถึงผลลัพธ์นี้ไปได้เลย แล้วเรื่องของอี้หราน พวกเราควรทำเช่นใดกันดีเล่า" ชิงหลงเสริมชิงหยวนเปาถอนหายใจลึก เขามองหน้าลูกชายทั้งสามด้วยความหนักใจ "ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสามมีความกังวล ข้าเองก็กำลังหาทางออกเพื่อไม่ให้สกุลชิงต้องมีอันเป็นไปเช่นกัน"ชายชราหน้าตาหมองคล้ำ ทางที่ฮองเฮาเลือกเดินไม่อาจย้อนกลับได้ แต่หากเขาเข้าฝ่ายฮองเฮา แล้วอี้หรานบุตรสาวเขาเล่าจะทำเช่นไร แต่หากเลือกข้างหนิงซีโย่ว ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าสกุลชิงคงต้องจบสิ้นกันเป็นแน่บ
บทที่ 18 : เรื่องราวได้แปรเปลี่ยนแล้วสิ้นณ ตำหนักฮองเฮา ฮองเฮามีท่าทีเคร่งขรึมในขณะที่หนิงหลานอิงกลับตื่นตระหนก เขาเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องด้วยความกระวนกระวายใจ พวกเขาระแวดระวังกับท่าทีของตระกูลชิงเป็นอันมาก และตระกูลชิงก็มีอิทธิพลมากพอจะเป็นภัยต่อแผนการของนาง"พวกตระกูลชิงจะต้องถูกกำจัด" ฮองเฮาประกาศเสียงดัง "พวกเขามีพลังและอิทธิพลมากเกินไป ข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีอำนาจอยู่ต่อไปได้"นางหันไปสั่งการทหารชั้นสูง "พวกเจ้าแบ่งกำลังพลเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเข้าปิดล้อมวังหลวง นอกนั้นส่งคนไปปิดล้อมครอบครัวสกุลชิง เราต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้"ทหารชั้นสูงพยักหน้าและรีบดำเนินการตามคำสั่ง ฮองเฮามีท่าทีแน่วแน่และมุ่งมั่นในการดำเนินแผนการของนางขณะเดียวกัน ในบ้านสกุลชิง ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินไป"ฮองเฮาจะไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ พวกเจ้าคอยคุ้มครองอี้หรานให้ดี" ชิงหยวนเปาท่าทางเคร่งขรึมหันไปสั่งการกับบุตรชายทั้งสามชิงหยาง ชิงเฟย และชิงหลงพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาต่างเตรียมพร้อมทั้งด้านกำลังทหารและอาวุธ รวมถึงท
บทที่ 19 : จุดเริ่มต้นของหนี้รักเมื่อหนิงซีโย่วได้ขึ้นนั่งเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ เขาเริ่มวางแผนแก้แค้นตระกูลชิง โดยมีชิงหยวนเปาเป็นเป้าหมายหลัก แม้ว่าหนิงซีโย่วจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขารู้ดีว่ารากฐานอำนาจยังไม่ถูกถ่ายโอน ตระกูลชิงยังมีอำนาจบารมีล้นฟ้า ดังนั้นเขาจึงจำต้องวางแผนทำลายตระกูลชิงทีละน้อย ๆ จนกระทั่งตระกูลชิงต้องล่มสลายลงไปภายใต้เงื้อมมือของเขาเป้าหมายแรกของเขาคือชิงอี้หราน หนิงซีโย่วถ่ายทอดราชโองการแต่งตั้งชิงอี้หรานเป็นฮองเฮา พร้อมจัดงานอภิเษกสมรสอย่างใหญ่โต สร้างความปลาบปลื้มแก่สกุลชิงไม่น้อย และยังทำให้สกุลชิงลดทอนความหวาดระแวงให้แก่หนิงซีโย่วอย่างมากคืนหนึ่ง หนิงซีโย่วเรียกหยางเจ้าซินเข้ามาในห้องบรรทม แสงจากโคมไฟส่องสว่างในห้องบรรทมใหญ่ เงาสะท้อนบนผนังห้องทำให้บรรยากาศดูน่าขนลุก หนิงซีโย่ว นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม้สูง ผิวหน้าของเขาดูเคร่งขรึม และสายตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็น“ข้าต้องการให้เจ้าไปสืบข่าวในเรือนสกุลชิง” หนิงซีโย่วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและเด็ดขาดหยางเจ้าซินโค้งคำนับและเข้ามาใกล้ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชา”หนิงซีโย่วหยิบกระดาษออ
บทที่ 20 : ค่ำคืนแห่งปรารถนาหลังงานอภิเษกสมรสจบสิ้น ภายในห้องบรรทมถูกจัดอย่างวิจิตรบรรจงและงดงาม ห้องขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างพิถีพิถันเต็มไปด้วยรายละเอียดที่สวยงาม ผนังห้องประดับด้วยผ้าไหมสีแดงเพลิงปักด้วยลายทองคำที่ละเอียดอ่อน เป็นลวดลายของดอกเหมยและมังกร แสงเทียนที่กะพริบอยู่รอบห้องถูกจัดวางอย่างประณีตบนเชิงเทียนทองคำและโคมไฟทองคำที่แขวนจากเพดาน แสงที่อบอุ่นและอ่อนโยนของเทียนสร้างบรรยากาศโรแมนติกและเงียบสงบ เงาสะท้อนที่เกิดจากแสงเทียนทำให้ลวดลายปักบนผนังและเพดานดูมีชีวิตชีวา เตียงบรรทมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง เตียงถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนและหมอนที่ปักลายดอกเหมยและมังกรด้วยด้ายทองคำ เตียงนี้ถูกล้อมรอบด้วยผ้าม่านหนาแน่นที่ห้อยลงมาจากเพดาน ผ้าม่านสีแดงสดถูกปักด้วยลายทองคำละเอียดอ่อนอย่างมีเอกลักษณ์ชิงอี้หรานนั่งอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิง ผ้าปักทอลายเส้นด้ายทองทั้งตัว เสื้อผ้าชุดนี้ยิ่งขับให้ร่างของหญิงสาวดูงดงามน่าตกตะลึง ใบหน้าของหญิงสาวถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวบางเบา แสงเทียนที่กะพริบอยู่รอบห้องทำให้เกิดเงาสะท้อนบนใบหน้าของนางหนิงซีโย่วเดินเข้ามาในห้องบรรทมด้วยท่าทางที่มั่นคง เขา
บทที่ 21 : ความเฉยชาที่ไม่คาดคิดแสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างเข้าสู่ห้องนอนที่งดงาม ดอกไม้ในสวนส่งกลิ่นหอมกรุ่นเข้ามาผ่านม่านโปร่งสีขาว ชิงอี้หรานหันไปเรียกสาวใช้คนสนิท ซิวเอ๋อ"ซิวเอ๋อ แต่งตัวให้ข้าที ข้าจะไปถวายพระพรไทเฮา" ชิงอี้หรานกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลซิวเอ๋อรีบเร่งมือจัดการแต่งตัวให้ชิงอี้หราน ชุดของนางเป็นชุดที่ประณีตงดงาม เหมาะสมกับสถานะใหม่ของนางในฐานะฮองเฮา เสื้อผ้าทอด้วยผ้าไหมเนื้อดี ตกแต่งด้วยลายปักที่วิจิตรงดงาม ชิงอี้หรานยืนสง่างามราวกับภาพวาดในชุดที่สมบูรณ์แบบเมื่อทุกอย่างพร้อม ชิงอี้หรานก้าวออกจากห้องและมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักของไทเฮา ระหว่างทาง สาวใช้และข้าราชบริพารต่างพากันนอบน้อมทำความเคารพนาง นางเดินไปด้วยท่าทางสง่างามและมั่นคงบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบสงบ พระตำหนักของไทเฮาตั้งอยู่ในสวนหลวงที่งดงาม รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และดอกไม้นานาพันธุ์ กลิ่นหอมของดอกเหมยที่เบ่งบานทั่วทั้งสวนทำให้อากาศยามเช้าช่างสดชื่นเมื่อถึงพระตำหนักของไทเฮา ชิงอี้หรานทำความเคารพอย่างนอบน้อม "หม่อมฉันชิงอี้หราน ขอถวายพระพรไทเฮา"ไทเฮาทอดมองชิงอี้หรานอย่างพิจารณา หญิงสาวที่หลานชายถึง
บทที่ 22 : การรอคอยที่มีเพียงความว่างเปล่าวันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน ตั้งแต่วันอภิเษกสมรส หนิงซีโย่วก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าชิงอี้หรานอีกเลย หญิงสาวเฝ้าชะเง้อคอยชายหนุ่มอยู่ในทุก ๆ วัน จากความคาดหวัง เปลี่ยนเป็นการรอคอย จากการรอคอยเปลี่ยนเป็นความผิดหวังเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกปวดร้าวกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ชิงอี้หรานกลายเป็นคนเงียบเฉย และหม่นหมองลงไปอย่างมากในตำหนักที่เงียบสงบ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงัน ความงามของตำหนักที่เคยเป็นที่ชื่นชมกลับกลายเป็นเพียงสิ่งที่ตอกย้ำความเงียบเหงา ชิงอี้หรานยังคงสั่งให้ซิวเอ๋อนำเครื่องเสวยที่หญิงสาวตั้งใจปรุงไปถวายฮ่องเต้ในทุกๆ วัน แต่กลับได้รับการบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธไปในทุกครั้ง นานวันเข้าหญิงสาวก็เริ่มยอมแพ้และไม่เคยส่งเครื่องเสวยไปให้หนิงซีโย่วอีกเลย ข่าวของหนิงซีโย่วที่ไม่สนใจชิงอี้หราน ฮองเฮาที่คอยเฝ้าตำหนักเพียงเปล่าเปลี่ยว ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วในวัง ทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกอับอายและโดดเดี่ยวมากไปกว่าเดิมเสียอีกในแต่ละวันชิงอี้หรานได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่ภายในสวนดอกไม้หน้าตำหนัก แม้สวนดอกไม้จะบาน
บทที่ 23 : คัดเลือกพระสนมบรรยากาศในพระราชวังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคึกคัก การคัดเลือกพระสนมที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พระตำหนักที่เคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและการขยับเขยื้อนของผู้คน บรรดาหญิงสาวที่ถูกส่งตัวมาจากครอบครัวขุนนางต่างพากันแต่งกายงดงามเพื่อหวังได้รับการคัดเลือก เหล่าสาวงามต่างคาดหวังว่าหากเพียงตนได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เช่นนั้นพวกนางก็คงดั่งนั่งพญาอินทรีขึ้นสู่เวหา ดังนั้นพวกนางมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการได้เป็นพระสนมเพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและความมั่นคงของตระกูลนั่นเองชิงอี้หรานยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของพระตำหนัก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอึดอัด จะมีหญิงใดในโลกเล่าที่ต้องการหาสาวงามมาปรนนิบัติสามีแทนที่ตน หน้าตาที่ดูหมองคล้ำ ทว่าท่าทีที่ชิงอี้หรานแสดงออกยังคงสง่างาม และหยิ่งทะนง ชิงอี้หรานนั่งอยู่บนบังลังก์เบื้องหน้า ทอดสายตามองเหล่าสาวงามน้อยใหญ่มากมายแสดงความสามารถตนการคัดเลือกพระสนมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หญิงสาวไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาความงาม แต่ยังต้องพิจารณาคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เหมาะสมอีกด้วยห้องโถงที่ตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารด้วยภาพวาดและแจกันดอกไม้ มี
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา