บทที่ 38 : พบกันอีกครา บ่ายวันหนึ่งในสวนอุทยานอันเงียบสงบ ชิงอี้หรานเดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก หญิงสาวนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย รอบข้างมีดอกไม้หลากสีสันส่งกลิ่นหอมอบอวล สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้เสียงดังสวบสาบ เสียงนกน้อยร้องเพลงสร้างบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลาย ซิวเอ๋อยังคงอยู่ข้างกายหญิงสาวไม่ห่าง นางคอยดูแลปรนนิบัติหญิงสาวด้วยความเอาใจใส่เป็นอันมาก “ฮองเฮาสวมเสื้อคลุมสักหน่อยเถิด อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ร่างกายพระองค์เพิ่งจะหายดี” ซิวเอ๋อหยิบเสื้อคลุมสวมทับให้หญิงสาวอย่างแผ่วเบา “ฮองเฮา จิบชาเสียหน่อย ร่างกายจะได้อุ่นขึ้นเพคะ” ซิวเอ๋อยกกาน้ำชาค่อย ๆ รินให้หญิงสาวอย่างระวังชิงอี้หรานมองหน้าซิวเอ๋ออย่างนึกเอ็นดู นางช่างโชคดียิ่งนักที่มีสาวใช้ที่ดีเยี่ยมเช่นนี้อยู่ข้างกายชิงอี้หรานนั่งจิบชาอย่างใช้ความคิด ดวงตาคู่งามจ้องมองออกไปยังสระน้ำที่กว้างใหญ่ ความสงบเงียบนี้ช่วยให้นางรู้สึกปลอดโปร่ง หญิงสาวเริ่มคิดหาหนทางในการช่วยเหลือครอบครัวตนเองอย่างจริงจัง ทันใดนั้นชิงอี้หรานก็เห็นร่างของชายผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมายังตน เป็นหลีซานนั่นเอง
บทที่ 39: ความรู้สึกที่ปะทุช่วงบ่ายคล้อยเข้ายามเย็น ชิงอี้หรานและหลีซานยังคงกำลังสนทนากันอย่างสนิทสนม เสียงหัวเราะและการพูดคุยอย่างเบิกบานใจทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แต่ทันใดนั้น ซิวเอ๋อวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จเพคะ” ซิวเอ๋อรีบบอกทั้งสองด้วยสีหน้าเป็นกังวลหลีซานมีสีหน้าเคร่งเครียดในทันที ชายหนุ่มพลันลุกขึ้นยืนก่อนจะถอยหลังออกไปหลายต่อหลายก้าว ในขณะนั้นชิงอี้หรานกลับยังคงนั่งเฉย สีหน้ายังคงราบเรียบเช่นเดิมหนิงซีโย่วที่กำลังเดินมายังจุดที่ทั้งสองคนอยู่ เมื่อชายหนุ่มเห็นภาพด้านหน้า เขาเพ่งสายตามองคนทั้งสองอย่างระแวง ภาพหลีซานที่ดูลุกลี้ลุกลน ยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ความหึงหวงในใจของเขาปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและโมโหเมื่อเห็นชิงอี้หรานอยู่กับชายอื่น หนิงซีโย่วเดินเข้ามาขัดจังหวะด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด“หลีซาน” หนิงซีโย่วตะโกนออกมาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”หลีซานหันมามองหนิงซีโย่ว และคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงบังเอิญพบฮองเฮา จึงได้อยู่สนทนาเพียงชั่วครู่พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มพยายามสะกดกั้นความรู้สึก
บทที่ 40 : เจ้ามิอาจมิต้องการข้า ในยามดึก ท้องฟ้าคลุ้มคลั่งด้วยเมฆหมอกไร้แสงจันทร์และดารา สายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย นำความเย็นมาสู่ตำหนักที่เงียบสงบ แสงเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับชิงอี้หราน หญิงสาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำลังใช้แปรงไม้แปรงผมยาวสลวยอย่างแผ่วเบา เส้นผมเงางามร่วงโรยผ่านไหล่ผอมบางของนางเส้นแล้วเส้นเล่า สายตาของชิงอี้หรานมองเงาที่สะท้อนในกระจก ใบหน้าที่เคยงดงามสดใสบัดนี้กลับดูซูบผอมและหม่นหมองลงไปหลายส่วนทันใดนั้นเสียงประตูเปิดออกเบา ๆ หนิงซีโย่วเดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีแจ่มใส รอยยิ้มแย้มปรากฏบนใบหน้าอย่างชื่นบาน ชายหนุ่มมองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความโหยหา หนิงซีโย่วไม่รอช้า เขาเดินตรงเข้าไปหานาง พลางสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง ไออุ่นจากร่างแกร่งของเขาส่งผ่านมาถึงร่างบางของหญิงสาว แต่ทว่ากลับมิได้ทำให้หัวใจอบอุ่นเช่นเคย ชิงอี้หรานรับรู้เพียงความรู้สึกเย็นเยียบในใจ"อี้หราน เจ้าคงหายดีแล้วใช่หรือไม่" หนิงซีโย่วกระซิบถามข้างหู พลางก้มหน้าซุกไซร้ไปตามลำคอของชิงอี้หรานอย่าง
บทที่ 41 : ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป หลังเหตุการณ์ในสวนอุทยาน หลีซานก็ได้แต่กลัดกลุ้ม ด้วยตัวเขาไม่อาจพบชิงอี้หรานได้ เขาได้แต่รอฟังข่าวคราวของหญิงสาว ซิวเอ๋อแอบให้คนสนิทส่งข่าวมาให้ว่านางยังคงปลอดภัยดี หลีซานจึงค่อยวางใจในขณะเดียวกันนับตั้งแต่วันนั้นมา ชิงอี้หรานก็มีท่าทีหมางเมินกับหนิงซีโย่ว แม้เขาจะพยายามเอาใจนาง ทั้งสิ่งของ อาหาร แต่ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงท่าทีใดๆ ทุกครั้งที่หนิงซีโย่วไปพบชิงอี้หราน หากนางไม่ทำท่าทีเมินเฉยไม่พูดไม่จา ก็เพียงกล่าววาจาถากถางให้เจ็บช้ำ หนิงซีโย่วได้แต่จนใจไม่อาจทำอะไรนางได้ชายหนุ่มได้แต่นึกแค้นเคืองหลีซานที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ในท้องพระโรง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขุนนางทั้งหลายต่างยืนเรียงรายในตำแหน่งของตน หนิงซีโย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ ท่ามกลางความเงียบงันที่หนักอึ้ง หลีซานก็รู้สึกไม่สบายใจนักกับการที่ต้องเผชิญหน้ากับหนิงซีโย่ว เขายังคงรู้สึกถึงสายตาขุ่นเคืองของหนิงซีโย่วที่มองมายังตนอยู่เป็นระยะขณะที่ขุนนางต่างถกเถียงกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ หนิงซีโย่วก็นั่งฟังด้วยความหงุดหงิด ในใจเขายังคงมีภาพของหลีซานกับชิงอี้หรานที่วนเวียนอย
บทที่ 42 : การเคลื่อนไหวครั้งใหม่ หลังจากที่หนิงซีโย่วสั่งเรียกตัวหลีซานกลับเข้าว่าราชการตามเดิม ชิงอี้หรานก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงเรียกตัวซิวเอ๋อให้ไปแจ้งข่าวให้หลีซานในทันที"ซิวเอ๋อ เจ้าไปส่งข่าวให้ใต้เท้าหลียุติการเคลื่อนไหวออกไปก่อน และรอคำสั่งข้าภายหลัง เข้าใจไหม" ชิงอี้หรานกำชับซิวเอ๋ออย่างร้อนรน"เพคะ ฮองเฮา หม่อมฉันจะรีบจัดการให้เรียบร้อยเพคะ" ซิวเอ๋อรับคำก่อนจะก้าวออกไปตามคำสั่งอย่างไม่รอช้าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชิงอี้หรานก็เปลี่ยนท่าทีอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวเริ่มปรนนิบัติเอาใจหนิงซีโย่วไม่ขาดตกบกพร่อง ยามกลางวันนางจะไปหาชายหนุ่มถวายซุปตุ๋นบำรุงให้เขาอย่างสม่ำเสมอ"ฝ่าบาท ซุปถ้วยนี้หม่อมฉันเคี่ยวเองกับมือ หวังว่าจะช่วยบำรุงร่างกายพระองค์ให้สดชื่นขึ้นนะเพคะ" ชิงอี้หรานกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มประจบเอาใจหนิงซีโย่วรับซุปจากนางด้วยความปลื้มใจ "อี้หราน เหนื่อยเจ้าแล้ว"ยามกลางคืน ชิงอี้หรานก็ปรนนิบัติหนิงซีโย่วทั้งในเตียงนอกเตียงไม่ขาดตกบกพร่อง นางออดอ้อนเอาใจชายหนุ่มทุกวิถีทาง"ฝ่าบาท ทรงรังแกหม่อมฉันแล้ว" ชิงอี้หรานกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงหวานละมุน หญ
บทที่ 43 : ข่าวดีจากตำหนักฮองเฮาเวลาผ่านพ้นไปราวครึ่งปี ความสัมพันธ์ระหว่างชิงอี้หรานและหนิงซีโย่วก็เรียกได้ว่าหวานชื่นยิ่งนัก ความรักและความเสน่หาที่หนิงซีโย่วมีต่อชิงอี้หรานทำให้เขาลดความหวาดระแวงลงไปเป็นอันมาก อีกทั้งชายหนุ่มยังหลงใหลในตัวนางมากขึ้นทุกวัน ชิงอี้หรานเองก็ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปมาก หญิงสาวปฏิบัติต่อหนิงซีโย่วด้วยความอ่อนโยน แม้ภายในใจนางจะมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่ก็ตามวันหนึ่ง ขณะที่หนิงซีโย่วกำลังทรงอักษรอยู่ในตำหนัก บรรยากาศภายในห้องสงบและเงียบงัน มีเพียงเสียงขีดเขียนของพู่กันบนกระดาษ เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างเบาๆ แต่แล้วเสียงฝีเท้ารวดเร็วของขันทีก็ดังขึ้นทำลายความสงบลง "ฝ่าบาท" ขันทีกล่าวด้วยเสียงสั่น "ฮองเฮาทรงประชวร ขณะนี้หมอหลวงกำลังตรวจอาการที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกใจหายวาบ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและรีบรุดไปยังตำหนักฮองเฮาทันที หัวใจของเขาเต้นระรัวด้วยความกังวล เมื่อไปถึงห้องบรรทม เขาเห็นหมอหลวงกำลังตรวจอาการของชิงอี้หราน ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เตียงของนางและนั่งลงข้างเตียงอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้านวลด้วยความเบามือ สายตา
บทที่ 44 : เสียงสะอื้นไห้ ทำใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก หลังจากชิงอี้หรานตั้งครรภ์ หนิงซีโย่วก็รู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขมาก เมื่อคิดถึงชีวิตน้อย ๆกำลังจะมาเติมเต็มชีวิตของเขากับนาง พลันทำให้หัวใจของชายหนุ่มเบิกบานยิ่งนัก แต่ทว่าร่างกายของชิงอี้หรานที่เดิมอ่อนแอจากโรคทางใจอยู่แล้ว ประกอบกับอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้หมอหลวงต่างพากันเคร่งเครียดและเป็นห่วงครรภ์ของนางเป็นอันมาก หมอหลวงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอักษรอย่างเคร่งเครียด เขาคำนับหนิงซีโย่วก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ทูลฝ่าบาท อาการฮองเฮามิสู้จะดีนัก อาการแพ้ท้องที่เป็นอย่างหนัก ทั้งอาหารและยาบำรุงที่ถวายล้วนถูกขับออกจนสิ้น ส่งผลให้ร่างกายของฮองเฮาอ่อนแอลงไปกว่าเดิม หม่อมฉันเป็นกังวลเกี่ยวกับครรภ์ของพระองค์ หากไม่อาจแก้ไขอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้พ่ะย่ะค่ะ” หนิงซีโย่วมองหน้าหมอหลวงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “แล้วต้องทำอย่างไรเล่า หมอหลวงเจ้ามียาอะไรที่จะช่วยให้อี้หรานดีขึ้นบ้างหรือไม่”หมอหลวงถอนหายใจเบา ๆ “ฝ่าบาท ยาบำรุงที่หม่อมฉันจัดให้ล้วนเป็นของที่ดีที่สุดใ
บทที่ 45 : ครอบครัวที่ข้าเฝ้าคิดถึงหลังจากที่ราชโองการถูกประกาศ หลีซานเร่งรุดตระเตรียมการเดินทางของครอบครัวสกุลชิงทันที เขาจัดการส่งคนสนิทเฝ้าอารักขาอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้น บรรยากาศในเรือนหลีซานเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกังวลใจเมื่อคนสกุลชิงเดินทางถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ชิงอี้หรานรีบให้ซิวเอ๋อพาครอบครัวเข้าพบในวังหลวงทันที ท้องฟ้ายามบ่ายที่สดใสเพิ่มความสว่างให้กับสวนดอกไม้ที่อยู่ล้อมรอบตำหนัก กลิ่นหอมของดอกไม้เบ่งบานลอยมาตามสายลมทำให้บรรยากาศอบอุ่นและสงบเงียบทันทีที่ชิงอี้หรานเห็นบิดาตรงหน้า หญิงสาวเข้าไปสวมกอดบิดาของตนด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ น้ำตาหลั่งรินด้วยความตื้นตัน “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” เสียงสั่นเครือของนางสะท้อนความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ จากนั้นนางเข้าสวมกอดพี่ชายทั้งสามคนด้วยความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานานชิงหยวนเปาดูเหมือนจะชราลงไปมากโข แม้เวลาเพียงปีเศษที่ผ่านไปจะไม่มากนัก ใบหน้าที่เคยสง่ามีราศีบัดนี้กลับมีริ้วรอยลึกและสีหน้าหม่นหมอง ส่วนชิงหยางที่เดิมดูหุนหันเอาแต่ใจ กลับมีแววตาที่ดูโหดเหี้ยมมากขึ้น ชิงเฟยที่เคยสุขุมอยู่แล้ว บัดนี้กล
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา