บทที่ 45 : ครอบครัวที่ข้าเฝ้าคิดถึงหลังจากที่ราชโองการถูกประกาศ หลีซานเร่งรุดตระเตรียมการเดินทางของครอบครัวสกุลชิงทันที เขาจัดการส่งคนสนิทเฝ้าอารักขาอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้น บรรยากาศในเรือนหลีซานเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกังวลใจเมื่อคนสกุลชิงเดินทางถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ชิงอี้หรานรีบให้ซิวเอ๋อพาครอบครัวเข้าพบในวังหลวงทันที ท้องฟ้ายามบ่ายที่สดใสเพิ่มความสว่างให้กับสวนดอกไม้ที่อยู่ล้อมรอบตำหนัก กลิ่นหอมของดอกไม้เบ่งบานลอยมาตามสายลมทำให้บรรยากาศอบอุ่นและสงบเงียบทันทีที่ชิงอี้หรานเห็นบิดาตรงหน้า หญิงสาวเข้าไปสวมกอดบิดาของตนด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ น้ำตาหลั่งรินด้วยความตื้นตัน “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” เสียงสั่นเครือของนางสะท้อนความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ จากนั้นนางเข้าสวมกอดพี่ชายทั้งสามคนด้วยความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานานชิงหยวนเปาดูเหมือนจะชราลงไปมากโข แม้เวลาเพียงปีเศษที่ผ่านไปจะไม่มากนัก ใบหน้าที่เคยสง่ามีราศีบัดนี้กลับมีริ้วรอยลึกและสีหน้าหม่นหมอง ส่วนชิงหยางที่เดิมดูหุนหันเอาแต่ใจ กลับมีแววตาที่ดูโหดเหี้ยมมากขึ้น ชิงเฟยที่เคยสุขุมอยู่แล้ว บัดนี้กล
บทที่ 46 : เสี้ยนหนามตำใจยามตะวันเริ่มโพล้เพล้ แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ลับขอบฟ้าทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนระเรื่อ ขณะที่ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามเตรียมตัวลากลับจากวังหลวง หลีซานได้จัดเตรียมรถม้าที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามรอรับครอบครัวสกุลชิงอยู่“ใต้เท้าชิง เชิญขอรับ” หลีซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ ชายหนุ่มมีใบหน้าที่สงบนิ่ง ท่าทีของเขานอบน้อมถ่อมตนชิงหยวนเปาพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจอยู่หลายส่วน “ใต้เท้าหลีกล่าวหนักไปแล้ว ข้าอยากเชิญใต้เท้าเยือนเรือนข้าสักหน เพื่อจะได้ตอบแทนด้วยอาหารสักมื้อ” ชายชรายิ้มอย่างจริงใจ ขณะที่บุตรชายทั้งสามของเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “ยินดีขอรับ” หลีซานตอบรับด้วยความนอบน้อมเมื่อทั้งหมดมาถึงจวนสกุลชิง ชิงหยวนเปาสั่งให้สาวใช้จัดสำรับอย่างดีเพื่อต้อนรับหลีซาน บรรยากาศในจวนเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคึกคัก สาวใช้เดินเข้ามาออกจากห้องครัวอย่างต่อเนื่องเพื่อนำอาหารและเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะอาหารที่ประดับด้วยดอกไม้อย่างประณีตที่โต๊ะอาหาร ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามยกจอกคำนับขอบคุณหลีซานครั้งแล้วครั้งเล่า “พวกเข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่เจ้ามีใจช่วยเหล
บทที่ 47 : ไม่มีวันที่ข้าจะล้มเลิก ยามตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนระเรื่อ แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า สายลมเย็นพัดผ่านสวนดอกไม้ในจวนสกุลชิง กลิ่นหอมของดอกไม้ประจำฤดูกาลอบอวลอยู่ในอากาศทำให้บรรยากาศรอบจวนสกุลชิงดูอบอุ่น แต่ภายในห้องโถงใหญ่ของจวน บรรยากาศกลับตึงเครียดคลุมเครือ ชิงหยวนเปานั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่ มองบุตรชายทั้งสามที่นั่งล้อมรอบหน้าเขา โต๊ะอาหารที่ยังคงเหลือซากอาหารอยู่บ้าง ชายทั้งสี่มีสีหน้าเคร่งเครียด ชิงหยวนเปามองบุตรชายของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกังวล ชิงหยาง ชิงหลง และชิงเฟยต่างมองหน้าบิดาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ“พวกเจ้าจงฟังข้า” ชิงหยวนเปาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าคิดเรื่องการฟื้นฟูอำนาจของสกุลชิงอีกต่อไป” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เขารู้ดีว่าหนิงซีโย่วนั้นไม่มีวันยอมให้สกุลชิงฟื้นฟูอำนาจอีกเป็นแน่ เพียงแค่วันนี้พวกเรายังคงปลอดภัยดีอยู่นั้น ก็นับว่าเขาเมตตาคนสกุลชิงมากแล้วชิงหยางขมวดคิ้วแน่น “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้ พวกเรามีสิ่งใดที่มิอาจฟื้นฟูอำนาจของสกุลชิงได้อีกเล่า”ชิงหลงท
บทที่ 48 : เริ่มวางหมาก คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในตำหนักฮองเฮา ขณะที่หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานกำลังหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบ ทันใดนั้นชิงอี้หรานพลันสะดุ้งเฮือก พร้อมทั้งตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง "อย่า อย่าทำลูกข้า" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหนิงซีโย่วพลันลุกขึ้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตกใจ "อี้หราน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่ลูบไปตามหลังของนางอย่างปลอบขวัญชิงอี้หรานมองหนิงซีโย่วด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางโผเข้ากอดร่างของเขาแน่น "ฝ่าบาท หม่อมฉันฝันร้าย ฝันร้ายมากเพคะ ในฝัน...ในฝันมีคนต้องการเอาชีวิตลูกของเรา" น้ำเสียงของหญิงสาวสะอึกสะอื้นจนหนิงซีโย่วรู้สึกถึงความหวาดกลัวของนางหนิงซีโย่วลูบไล้ไปตามลำแขนของชิงอี้หราน "เจ้าแค่เพียงฝันร้าย เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ข้าไม่มีวันให้ใครทำร้ายลูกของเราได้เป็นแน่" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง พยายามปลอบโยนนางให้รู้สึกผ่อนคลายลงชิงอี้หรานยังคงส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่สบายใจ หม่อมฉันกลัวเหลือเกินเพคะ"
บทที่ 49 : ความปั่นป่วนในราชสำนัก ยามเช้าในราชสำนัก พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่ประดับประดาตำหนัก แสงแดดอ่อนๆ ทอแสงลงบนพื้นหินอ่อนเงาวับ ที่ท้องพระโรง ขุนนางทั้งหลายต่างประชุมกันอย่างคร่ำเคร่ง เสียงพูดคุยสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องราวสำคัญของแคว้นโย่วดังอื้ออึงทั่วบริเวณหนิงซีโย่วนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ เขามองดูบรรยากาศรอบๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวและความไม่พอใจ ดวงตาคมของเขามองไปยังขุนนางทั้งหลายอย่างสำรวจและพิจารณาทันใดนั้น ฎีกาจำนวนมากถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าหนิงซีโย่ว ขุนนางที่นำฎีกามาด้วยตนเองก้มตัวลงคารวะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพิจารณา ฎีกานี้เกี่ยวกับการขอให้ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามกลับเข้ารับใช้ราชสำนักตามเดิมพ่ะย่ะค่ะ"เสียงฮือฮาดังขึ้นในท้องพระโรง ขุนนางหลายคนต่างพยักหน้าสนับสนุน "สกุลชิงมีความชอบมากมายต่อแคว้นโย่ว อีกทั้งบุตรชายทั้งสามของใต้เท้าชิงต่างก็ล้วนมีความสามารถ หากได้รับใช้ราชสำนัก ย่อมเป็นประโยชน์โดยแท้พ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางอีกคนกล่าวเสริมหนิงซีโย่วฟังคำกล่าวนั้นด้วยความโกรธกริ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประ
บทที่ 50 : เหตุใดท่านจึงดื้อรั้นเช่นนี้ ณ พระราชวังหลวงยามบ่าย รัศมีสีส้มของอาทิตย์อัสดงแผ่กระจายทั่วท้องฟ้า ตำหนักใหญ่โตประดับประดาด้วยโคมไฟสะท้อนแสงระยิบระยับ ชิงอี้หรานซึ่งสวมชุดฮองเฮาสีครามเดินอย่างเงียบเชียบภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสงลง แผนการที่ชิงอี้หรานและพี่น้องของนางวางไว้เริ่มส่งผลเป็นอย่างดี หญิงสาวหันไปพูดคุยกับซิวเอ๋อสาวใช้ข้างกาย“ซิวเอ๋อ ข้าคิดว่าอีกไม่นานแผนการของพวกเราจะเริ่มส่งผลแล้ว” ชิงอี้หรานพูดเบา ๆ แต่สายตาแน่วแน่“ยินดีด้วยเพคะ ฮองเฮา หม่อมฉันได้ยินมาว่า บัดนี้ราชสำนักต่างพยายามกดดันฮ่องเต้อย่างหนัก หม่อมฉันคิดว่าอีกไม่นานฮองเฮาจะต้องสมหวังเป็นแน่เพคะ”ชิงอี้หรานยิ้มบาง ๆ “ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นกัน” แม้ภายในเธอจะรู้สึกหวาดหวั่นเพราะหญิงสาวรู้ดีว่าการท้าทายอำนาจฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เดิมพันครั้งนี้ชิงอี้หรานก็ไม่อาจจะยอมถอยได้อีกเช้าวันถัดมาเมื่อเริ่มประชุมราชสำนัก ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันรุมเร้าหนิงซีโย่ว ข้อกังขาและคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายดังไปทั่วท้องพระโรง “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ของแว่นแคว้น เหตุใดพระองค์จึงยังไม่ตัดสินใจพ่
บทที่ 51 : หากข้าร้องขอรักของเจ้าดังเดิม ข้ายังคงมีสิทธิ์อีกหรือไม่ หนิงซีโย่วยังคงนั่งอยู่ในห้องอักษรเพียงลำพัง ความเจ็บปวดในใจของเขาไม่อาจบรรยายได้ ภาพของชิงอี้หราน หญิงสาวผู้เคยอ่อนโยนและไร้เดียงสา หญิงสาวที่คอยพร่ำบอกแต่คำว่ารักที่มีให้กับเขา ตอนนี้กลายเป็นเพียงภาพลวงตา สิ่งเหล่านั้นได้หายไปสิ้น ชายหนุ่มถอนหายใจลึก ก่อนจะก้าวออกจากห้องตรงไปยังตำหนักของชิงอี้หราน ชายหนุ่มพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ขณะที่หัวใจของเขากำลังถูกเผาไหม้ด้วยความสงสัยและเจ็บปวดตำหนักของชิงอี้หรานตั้งอยู่ในสวนหลวงที่งดงาม ดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งตลอดทางเดิน น้ำพุที่ประดับด้วยรูปปั้นหินอ่อนส่งเสียงน้ำไหลเบาๆ เมื่อเดินเข้ามาถึงภายในตำหนัก เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ที่อบอวลอยู่ในอากาศ สภาพภายในตำหนักถูกจัดไว้อย่างประณีตและเรียบร้อย ชวนให้ระลึกถึงความเป็นระเบียบและสง่างามของชิงอี้หรานเมื่อหนิงซีโย่วเข้ามาถึงห้องนอนของชิงอี้หราน เขาเห็นหญิงสาวนอนหลับอยู่บนเตียง ผิวขาวเนียนละเอียดดุจหยก ริมฝีปากสีแดงสดสวยงาม ท่าทางการนอนของนางดูสงบและเป็นธรรมชาติ หนิงซีโย่วเข้าไปนั่งข้างเ
บทที่ 52 : เจ้าอย่าได้โทษว่าข้าใจร้ายเลย หนิงซีโย่วเข้ามาภายในตำหนักอักษรด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ความเครียดและความระแวงที่ก่อตัวอยู่ในใจทำให้เขาไม่อาจห้ามตัวเองจากความโกรธได้ สายตาของเขาดุดัน ฉายแววรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านไปทั่วห้อง ภายในตำหนักอักษรที่เคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ไม่เคยมีมาก่อนตำหนักอักษรตกแต่งด้วยภาพวาดโบราณและชั้นหนังสือสูงจนถึงเพดาน แสงเทียนที่ส่องสว่างอยู่บนโต๊ะทำงานให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่บัดนี้กลับถูกบดบังด้วยบรรยากาศเคร่งเครียดจากฮ่องเต้ที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางห้องหนิงซีโย่วเรียกหยางเจ้าซินเข้าพบ น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและเย็นชา “หยางเจ้าซิน เจ้าจงนำกำลังคนกลุ่มหนึ่งเข้าล้อมสำนักบัณฑิต พร้อมจับกุมแกนนำและหลักฐานทั้งหมดเพื่อเอาผิดพวกเขา”หยางเจ้าซินพยักหน้าเข้าใจ เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจทำให้ฮ่องเต้พอใจได้โดยง่าย “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าจะรีบทำตามทันที” เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงเคารพ“และอีกอย่าง” หนิงซีโย่วกล่าวต่อ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “ให้คนอีกกลุ่มหนึ่งล้อมจวนชิงหยวนเปาและจวนหลีซาน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกจวนเป็นอันขาด”“พ่ะย
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา