บทที่ 42 : การเคลื่อนไหวครั้งใหม่ หลังจากที่หนิงซีโย่วสั่งเรียกตัวหลีซานกลับเข้าว่าราชการตามเดิม ชิงอี้หรานก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงเรียกตัวซิวเอ๋อให้ไปแจ้งข่าวให้หลีซานในทันที"ซิวเอ๋อ เจ้าไปส่งข่าวให้ใต้เท้าหลียุติการเคลื่อนไหวออกไปก่อน และรอคำสั่งข้าภายหลัง เข้าใจไหม" ชิงอี้หรานกำชับซิวเอ๋ออย่างร้อนรน"เพคะ ฮองเฮา หม่อมฉันจะรีบจัดการให้เรียบร้อยเพคะ" ซิวเอ๋อรับคำก่อนจะก้าวออกไปตามคำสั่งอย่างไม่รอช้าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชิงอี้หรานก็เปลี่ยนท่าทีอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวเริ่มปรนนิบัติเอาใจหนิงซีโย่วไม่ขาดตกบกพร่อง ยามกลางวันนางจะไปหาชายหนุ่มถวายซุปตุ๋นบำรุงให้เขาอย่างสม่ำเสมอ"ฝ่าบาท ซุปถ้วยนี้หม่อมฉันเคี่ยวเองกับมือ หวังว่าจะช่วยบำรุงร่างกายพระองค์ให้สดชื่นขึ้นนะเพคะ" ชิงอี้หรานกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มประจบเอาใจหนิงซีโย่วรับซุปจากนางด้วยความปลื้มใจ "อี้หราน เหนื่อยเจ้าแล้ว"ยามกลางคืน ชิงอี้หรานก็ปรนนิบัติหนิงซีโย่วทั้งในเตียงนอกเตียงไม่ขาดตกบกพร่อง นางออดอ้อนเอาใจชายหนุ่มทุกวิถีทาง"ฝ่าบาท ทรงรังแกหม่อมฉันแล้ว" ชิงอี้หรานกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงหวานละมุน หญ
บทที่ 43 : ข่าวดีจากตำหนักฮองเฮาเวลาผ่านพ้นไปราวครึ่งปี ความสัมพันธ์ระหว่างชิงอี้หรานและหนิงซีโย่วก็เรียกได้ว่าหวานชื่นยิ่งนัก ความรักและความเสน่หาที่หนิงซีโย่วมีต่อชิงอี้หรานทำให้เขาลดความหวาดระแวงลงไปเป็นอันมาก อีกทั้งชายหนุ่มยังหลงใหลในตัวนางมากขึ้นทุกวัน ชิงอี้หรานเองก็ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปมาก หญิงสาวปฏิบัติต่อหนิงซีโย่วด้วยความอ่อนโยน แม้ภายในใจนางจะมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่ก็ตามวันหนึ่ง ขณะที่หนิงซีโย่วกำลังทรงอักษรอยู่ในตำหนัก บรรยากาศภายในห้องสงบและเงียบงัน มีเพียงเสียงขีดเขียนของพู่กันบนกระดาษ เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างเบาๆ แต่แล้วเสียงฝีเท้ารวดเร็วของขันทีก็ดังขึ้นทำลายความสงบลง "ฝ่าบาท" ขันทีกล่าวด้วยเสียงสั่น "ฮองเฮาทรงประชวร ขณะนี้หมอหลวงกำลังตรวจอาการที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกใจหายวาบ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและรีบรุดไปยังตำหนักฮองเฮาทันที หัวใจของเขาเต้นระรัวด้วยความกังวล เมื่อไปถึงห้องบรรทม เขาเห็นหมอหลวงกำลังตรวจอาการของชิงอี้หราน ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เตียงของนางและนั่งลงข้างเตียงอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้านวลด้วยความเบามือ สายตา
บทที่ 44 : เสียงสะอื้นไห้ ทำใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก หลังจากชิงอี้หรานตั้งครรภ์ หนิงซีโย่วก็รู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขมาก เมื่อคิดถึงชีวิตน้อย ๆกำลังจะมาเติมเต็มชีวิตของเขากับนาง พลันทำให้หัวใจของชายหนุ่มเบิกบานยิ่งนัก แต่ทว่าร่างกายของชิงอี้หรานที่เดิมอ่อนแอจากโรคทางใจอยู่แล้ว ประกอบกับอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้หมอหลวงต่างพากันเคร่งเครียดและเป็นห่วงครรภ์ของนางเป็นอันมาก หมอหลวงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอักษรอย่างเคร่งเครียด เขาคำนับหนิงซีโย่วก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ทูลฝ่าบาท อาการฮองเฮามิสู้จะดีนัก อาการแพ้ท้องที่เป็นอย่างหนัก ทั้งอาหารและยาบำรุงที่ถวายล้วนถูกขับออกจนสิ้น ส่งผลให้ร่างกายของฮองเฮาอ่อนแอลงไปกว่าเดิม หม่อมฉันเป็นกังวลเกี่ยวกับครรภ์ของพระองค์ หากไม่อาจแก้ไขอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้พ่ะย่ะค่ะ” หนิงซีโย่วมองหน้าหมอหลวงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “แล้วต้องทำอย่างไรเล่า หมอหลวงเจ้ามียาอะไรที่จะช่วยให้อี้หรานดีขึ้นบ้างหรือไม่”หมอหลวงถอนหายใจเบา ๆ “ฝ่าบาท ยาบำรุงที่หม่อมฉันจัดให้ล้วนเป็นของที่ดีที่สุดใ
บทที่ 45 : ครอบครัวที่ข้าเฝ้าคิดถึงหลังจากที่ราชโองการถูกประกาศ หลีซานเร่งรุดตระเตรียมการเดินทางของครอบครัวสกุลชิงทันที เขาจัดการส่งคนสนิทเฝ้าอารักขาอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้น บรรยากาศในเรือนหลีซานเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกังวลใจเมื่อคนสกุลชิงเดินทางถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ชิงอี้หรานรีบให้ซิวเอ๋อพาครอบครัวเข้าพบในวังหลวงทันที ท้องฟ้ายามบ่ายที่สดใสเพิ่มความสว่างให้กับสวนดอกไม้ที่อยู่ล้อมรอบตำหนัก กลิ่นหอมของดอกไม้เบ่งบานลอยมาตามสายลมทำให้บรรยากาศอบอุ่นและสงบเงียบทันทีที่ชิงอี้หรานเห็นบิดาตรงหน้า หญิงสาวเข้าไปสวมกอดบิดาของตนด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ น้ำตาหลั่งรินด้วยความตื้นตัน “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว” เสียงสั่นเครือของนางสะท้อนความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ จากนั้นนางเข้าสวมกอดพี่ชายทั้งสามคนด้วยความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานานชิงหยวนเปาดูเหมือนจะชราลงไปมากโข แม้เวลาเพียงปีเศษที่ผ่านไปจะไม่มากนัก ใบหน้าที่เคยสง่ามีราศีบัดนี้กลับมีริ้วรอยลึกและสีหน้าหม่นหมอง ส่วนชิงหยางที่เดิมดูหุนหันเอาแต่ใจ กลับมีแววตาที่ดูโหดเหี้ยมมากขึ้น ชิงเฟยที่เคยสุขุมอยู่แล้ว บัดนี้กล
บทที่ 46 : เสี้ยนหนามตำใจยามตะวันเริ่มโพล้เพล้ แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ลับขอบฟ้าทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนระเรื่อ ขณะที่ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามเตรียมตัวลากลับจากวังหลวง หลีซานได้จัดเตรียมรถม้าที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามรอรับครอบครัวสกุลชิงอยู่“ใต้เท้าชิง เชิญขอรับ” หลีซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ ชายหนุ่มมีใบหน้าที่สงบนิ่ง ท่าทีของเขานอบน้อมถ่อมตนชิงหยวนเปาพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจอยู่หลายส่วน “ใต้เท้าหลีกล่าวหนักไปแล้ว ข้าอยากเชิญใต้เท้าเยือนเรือนข้าสักหน เพื่อจะได้ตอบแทนด้วยอาหารสักมื้อ” ชายชรายิ้มอย่างจริงใจ ขณะที่บุตรชายทั้งสามของเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “ยินดีขอรับ” หลีซานตอบรับด้วยความนอบน้อมเมื่อทั้งหมดมาถึงจวนสกุลชิง ชิงหยวนเปาสั่งให้สาวใช้จัดสำรับอย่างดีเพื่อต้อนรับหลีซาน บรรยากาศในจวนเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคึกคัก สาวใช้เดินเข้ามาออกจากห้องครัวอย่างต่อเนื่องเพื่อนำอาหารและเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะอาหารที่ประดับด้วยดอกไม้อย่างประณีตที่โต๊ะอาหาร ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามยกจอกคำนับขอบคุณหลีซานครั้งแล้วครั้งเล่า “พวกเข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่เจ้ามีใจช่วยเหล
บทที่ 47 : ไม่มีวันที่ข้าจะล้มเลิก ยามตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนระเรื่อ แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า สายลมเย็นพัดผ่านสวนดอกไม้ในจวนสกุลชิง กลิ่นหอมของดอกไม้ประจำฤดูกาลอบอวลอยู่ในอากาศทำให้บรรยากาศรอบจวนสกุลชิงดูอบอุ่น แต่ภายในห้องโถงใหญ่ของจวน บรรยากาศกลับตึงเครียดคลุมเครือ ชิงหยวนเปานั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่ มองบุตรชายทั้งสามที่นั่งล้อมรอบหน้าเขา โต๊ะอาหารที่ยังคงเหลือซากอาหารอยู่บ้าง ชายทั้งสี่มีสีหน้าเคร่งเครียด ชิงหยวนเปามองบุตรชายของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกังวล ชิงหยาง ชิงหลง และชิงเฟยต่างมองหน้าบิดาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ“พวกเจ้าจงฟังข้า” ชิงหยวนเปาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าคิดเรื่องการฟื้นฟูอำนาจของสกุลชิงอีกต่อไป” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เขารู้ดีว่าหนิงซีโย่วนั้นไม่มีวันยอมให้สกุลชิงฟื้นฟูอำนาจอีกเป็นแน่ เพียงแค่วันนี้พวกเรายังคงปลอดภัยดีอยู่นั้น ก็นับว่าเขาเมตตาคนสกุลชิงมากแล้วชิงหยางขมวดคิ้วแน่น “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้ พวกเรามีสิ่งใดที่มิอาจฟื้นฟูอำนาจของสกุลชิงได้อีกเล่า”ชิงหลงท
บทที่ 48 : เริ่มวางหมาก คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในตำหนักฮองเฮา ขณะที่หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานกำลังหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบ ทันใดนั้นชิงอี้หรานพลันสะดุ้งเฮือก พร้อมทั้งตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง "อย่า อย่าทำลูกข้า" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหนิงซีโย่วพลันลุกขึ้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตกใจ "อี้หราน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่ลูบไปตามหลังของนางอย่างปลอบขวัญชิงอี้หรานมองหนิงซีโย่วด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางโผเข้ากอดร่างของเขาแน่น "ฝ่าบาท หม่อมฉันฝันร้าย ฝันร้ายมากเพคะ ในฝัน...ในฝันมีคนต้องการเอาชีวิตลูกของเรา" น้ำเสียงของหญิงสาวสะอึกสะอื้นจนหนิงซีโย่วรู้สึกถึงความหวาดกลัวของนางหนิงซีโย่วลูบไล้ไปตามลำแขนของชิงอี้หราน "เจ้าแค่เพียงฝันร้าย เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ข้าไม่มีวันให้ใครทำร้ายลูกของเราได้เป็นแน่" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง พยายามปลอบโยนนางให้รู้สึกผ่อนคลายลงชิงอี้หรานยังคงส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่สบายใจ หม่อมฉันกลัวเหลือเกินเพคะ"
บทที่ 49 : ความปั่นป่วนในราชสำนัก ยามเช้าในราชสำนัก พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่ประดับประดาตำหนัก แสงแดดอ่อนๆ ทอแสงลงบนพื้นหินอ่อนเงาวับ ที่ท้องพระโรง ขุนนางทั้งหลายต่างประชุมกันอย่างคร่ำเคร่ง เสียงพูดคุยสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องราวสำคัญของแคว้นโย่วดังอื้ออึงทั่วบริเวณหนิงซีโย่วนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ เขามองดูบรรยากาศรอบๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวและความไม่พอใจ ดวงตาคมของเขามองไปยังขุนนางทั้งหลายอย่างสำรวจและพิจารณาทันใดนั้น ฎีกาจำนวนมากถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าหนิงซีโย่ว ขุนนางที่นำฎีกามาด้วยตนเองก้มตัวลงคารวะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพิจารณา ฎีกานี้เกี่ยวกับการขอให้ชิงหยวนเปาและบุตรชายทั้งสามกลับเข้ารับใช้ราชสำนักตามเดิมพ่ะย่ะค่ะ"เสียงฮือฮาดังขึ้นในท้องพระโรง ขุนนางหลายคนต่างพยักหน้าสนับสนุน "สกุลชิงมีความชอบมากมายต่อแคว้นโย่ว อีกทั้งบุตรชายทั้งสามของใต้เท้าชิงต่างก็ล้วนมีความสามารถ หากได้รับใช้ราชสำนัก ย่อมเป็นประโยชน์โดยแท้พ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางอีกคนกล่าวเสริมหนิงซีโย่วฟังคำกล่าวนั้นด้วยความโกรธกริ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประ
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา