บทที่ 1 : ชิงอี้หราน
ในเมืองหลวงแคว้นโย่ว หากกล่าวถึงตระกูลชิง ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ตระกูลชิงนำโดยอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุด เป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีอำนาจบารมีหยั่งรากฝังลึก ผู้ที่อยู่ใต้คนเดียวแต่เหนือคนนับหมื่น แม้แต่ฮ่องเต้เองยังพูดสามฟังสี่ด้วยซ้ำ ความเหี้ยมโหดของชิงหยวนเปาเป็นที่เล่าลือ หากผู้ใดกล้าขัดแย้งผู้นั้นย่อมไม่อาจมีชีวิตรอด
ชิงหยวนเปามีบุตรชายสาม บุตรหญิงหนึ่ง ได้แก่ ชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟย และชิงอี้หราน โดยชิงอี้หราน บุตรสาวคนสุดท้องและลูกสาวคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปา ชิงอี้หรานเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของครอบครัว เนื่องจากหลังจากที่หญิงสาวเกิดไม่นาน สุขภาพของฮูหยินชิงก็เริ่มย่ำแย่ และเมื่อชิงอี้หรานอายุเพียงห้าปี ฮูหยินชิงก็ล้มป่วยและจากไป ชิงหยวนเปาจึงต้องรับหน้าที่เป็นทั้งบิดาและมารดาให้แก่หญิงสาว อีกทั้งพี่ชายทั้งสามของชิงอี้หราน ต่างก็รักและเอาใจใส่หญิงสาวดุจดังเป็นบิดา ชายทั้งสี่คนในบ้านต่างก็ช่วยกันเฝ้าเลี้ยงดูและทะนุถนอมชิงอี้หรานอย่างยิ่ง หญิงสาวจึงเติบโตมาด้วยความรักและความอบอุ่นอย่างมาก ไม่เคยต้องประสบพบเจอกับความโหดร้ายหรือผิดหวัง ทำให้ชิงอี้หรานเติบใหญ่เป็นหญิงสาวอ่อนโยน มีจิตใจดีและมองโลกในแง่ดีเสมอ
ในเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมของดอกเหมยหอมอบอวลไปทั่วบริเวณสวนหลังจวนของอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปา ใบไม้สีเขียวสดและดอกไม้หลากสีประดับประดาเสริมให้สวนดูงดงามดั่งภาพวาดโบราณ ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กหญิงดังขึ้นจากด้านในเรือน
"พี่ชายใหญ่ ข้าจะเก็บดอกเหมยนี้ให้เจ้าค่ะ!" ชิงอี้หราน เด็กสาววัยแปดขวบ ร้องเรียกพลางยิ้มสดใส มือเล็ก ๆ ของเด็กสาวจับดอกเหมยสีชมพูเข้มที่เพิ่งเด็ดได้ เด็กสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ ตัดขอบด้วยด้ายสีทอง เส้นผมยาวสลวยของเด็กสาวถูกถักเป็นเปียยาวสองเส้น ติดโบว์สีชมพูดูอ่อนหวานเหมือนดอกเหมยที่ถืออยู่
ชิงหยวนเปา บิดาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดี เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน "อี้หราน ลูกสาวข้า เจ้าช่างงดงามดั่งเทพธิดา หากมารดาเจ้าเห็นคงดีใจมาก"
ชิงอี้หรานยิ้มเขินอาย วิ่งเข้าหาบิดา "ท่านบิดา ข้าคิดถึงท่านแม่ ท่านแม่จะอยู่บนสวรรค์และมองลงมาดูข้าใช่หรือไม่"
ชิงหยวนเปาหยุดก้าว และนั่งลงพยุงตัวลูกสาวขึ้นมา "แน่นอน อี้หราน มารดาของเจ้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด แม่เจ้าคงจะยิ้มอยู่ทุกครั้งที่เห็นเจ้ามีความสุข"
ขณะที่พวกสองพ่อลูกกำลังสนทนา พี่ชายทั้งสามของชิงอี้หรานก็ก้าวเข้ามาในสวน พี่ชายคนโต ชิงหยาง ผู้เป็นทหารฝีมือดี สวมชุดเครื่องแบบของทหารประจำตำแหน่งอันสง่างาม ชายหนุ่มมองน้องสาวด้วยความรักและห่วงใย "อี้หราน เจ้าระวังอย่าไปเล่นไกลนักนะล่ะ"
พี่ชายคนที่สอง ชิงหลง ผู้เป็นอาจารย์หนุ่มในสำนักศึกษา ก้าวเข้ามาแตะหัวน้องสาวอย่างอ่อนโยน "ใช่แล้ว อี้หราน หากเจ้าอยากเรียนหนังสือ ข้าจะสอนเจ้าเอง"
พี่ชายคนที่สาม ชิงเฟย ผู้ยังเรียนอยู่ในสำนักศึกษา กอดน้องสาวอย่างอบอุ่น "และหากเจ้ามีปัญหาใด ข้าจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่"
ชิงอี้หรานมองพี่ชายทั้งสามและบิดาของนางด้วยความรู้สึกอุ่นใจ "ข้ารู้ ข้ารักท่านบิดาและพี่ชายทุกคนมาก ข้าจะเป็นเด็กดีและไม่ทำให้ท่านต้องกังวล"
ในครอบครัวชิงอี้หราน ไม่มีใครเลยที่ไม่รักและเอาใจใส่หญิงสาว ตั้งแต่บิดาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีผู้เก่งกล้าและโหดเหี้ยมในสายตาผู้อื่น แต่กับนางแล้วเขาเป็นบิดาผู้รักใคร่และอบอุ่น เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอย่างใกล้ชิด พวกเขาต่างเป็นดั่งเงาอยู่ข้างนางเสมอ
ชิงอี้หรานเติบโตขึ้นในบรรยากาศแห่งความรักและความอบอุ่น ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายหรือความผิดหวัง ทำให้ชิงอี้หรานกลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน จิตใจดีและมองโลกในแง่ดีเสมอ จนบางครั้งอาจดูอ่อนต่อโลกเกินไป แต่ในสายตาของคนในครอบครัว นางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจที่ทุกคนอยากปกป้องให้ดีที่สุด
"ไปเถิด อี้หราน พวกเราจะเดินเล่นในสวนด้วยกัน" ชิงหยางเอ่ยชวน น้องสาวยิ้มกว้างและจับมือพี่ชายไว้แน่น ทั้งหมดเดินเล่นในสวนด้วยความสุขใจเต็มเปี่ยม
เวลาในสวนดอกเหมยนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ในหัวใจของชิงอี้หรานแล้ว ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่หญิงสาวจะจดจำและทะนุถนอมไปชั่วชีวิต
บทที่ 2 : งามล่มเมืองฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนสวนหลังจวนของอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปาให้กลายเป็นสีทอง แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านใบไม้ร่วงที่ปลิวไปตามสายลมอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบยิ่งเพิ่มความงามให้กับบรรยากาศชิงอี้หรานในวัยสิบแปดปี ยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนลายปักดอกไม้สีขาว เส้นผมดำขลับถักเป็นเกล้าแนบเนียน ใบหน้างดงามดั่งเทพธิดา ดวงตาคมหวาน ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อน ชิงอี้หรานเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ผิวขาวเนียนราวกับหยก และดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวยามค่ำคืน ชิงอี้หรานเป็นดั่งหญิงงามล่มเมืองที่ทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างหลงใหล พวกเขาต่างพากันหมายปองและฝันอยากได้เป็นภรรยา อีกทั้งอำนาจบารมีของบิดานาง อัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปา ยิ่งเพิ่มความปรารถนาในใจของพวกเขา"อี้หราน ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ในจวน อย่าไปไหนไกลนะ" ชิงหยาง พี่ชายคนโต เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง ขณะที่พวกชายหนุ่มนั่งอยู่ในเรือนรับรองชิงอี้หรานยิ้มหวาน "ทำไมกันเจ้าคะ พี่หยาง ข้าอยากเดินเล่นในสวนไปถึงหน้าประตูจวนเท่านั้นเอง"ชิงหลง พี่ชายคนที่สอง เดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ "อี้ห
บทที่ 3 : หัวใจที่พบรักชิงอี้หรานที่ถูกเลี้ยงดูดั่งหญิงสาวหลังม่าน นานวันเข้าชิงอี้หรานเริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวภายนอก แคว้นโย่วเป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรือง มีเสียงเล่าขานถึงความสวยงามและความครึกครื้นของตลาดนัด ทำให้หญิงสาวอดใจไม่ไหวที่จะออกไปเห็นด้วยตาตนเอง“ซิวเอ๋อ ข้าอยากไปเที่ยวตลาดในเมืองหลวง เราจะทำอย่างไรดี” ชิงอี้หรานถามสาวใช้คนสนิทซิวเอ๋อคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “คุณหนู ถ้าเราจะไป ต้องแอบออกไปตอนเช้า แล้วกลับมาก่อนฟ้ามืด”ชิงอี้หรานพยักหน้า “ตกลง พรุ่งนี้ตอนเช้าเราจะออกไป”วันรุ่งขึ้น ชิงอี้หรานและซิวเอ๋อแอบออกจากบ้านแต่เช้า เดินทางไปยังตลาดนัดในเมืองหลวง เมื่อถึงที่นั่น ชิงอี้หรานรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความครึกครื้น หญิงสาวเดินชมสินค้าต่างๆ ด้วยความประทับใจเสียงคึกคักของตลาดดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนหลากหลายสัญจรไปมาอย่างหนาแน่น ทั้งพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนเชิญชวนให้ลูกค้าซื้อสินค้าของตน และผู้คนที่เดินชมตลาดอย่างสนุกสนานชิงอี้หราน ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้ม มีผ้าคลุมศีรษะสีขาวปิดบังใบหน้างดงาม เดินเคียงข้างสาวใช้ที่หญิงสาวไว้ใจที่สุด
บทที่ 4 : การพบพานอีกครั้งในอารามหลังเหตุการณ์ในตลาด ชิงอี้หรานได้แต่เฝ้าคิดถึงหนิงซีโย่ว ทุกคืนวันหญิงสาวรำลึกถึงสายตาคมกริบและเสียงห่วงใยของชายหนุ่ม ด้วยความรักที่เกิดขึ้นในใจหญิงสาวตั้งแต่แรกพบวันหนึ่งชิงอี้หรานตัดสินใจเดินทางไปไหว้พระยังอารามบนเขาเพื่อหาความสงบในใจ อารามนี้ตั้งอยู่ในป่าลึก ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่งดงามและสงบเงียบ หญิงสาวรู้สึกสงบใจและหวังว่าการมาไหว้พระในครั้งนี้จะทำให้ลืมความฟุ้งซ่านในหัวออกไปได้บ้างขณะที่ชิงอี้หรานพักอยู่ในอาราม หญิงสาวได้ยินเสียงครางเบาๆ มาจากที่ไกลๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงเดินเข้าไปใกล้ ชิงอี้หรานพบชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้ในสภาพที่บาดเจ็บ หญิงสาวรีบเข้าไปดูใกล้ ๆ และพบว่าชายหนุ่มดังกล่าวคือหนิงซีโย่ว ชิงอี้หรานรู้สึกตกใจและห่วงใยในทันทีเมื่อพามาถึงห้อง ชิงอี้หรานเห็นว่าบาดแผลของหนิงซีโย่วค่อนข้างลึก หญิงสาวรู้ว่าต้องรีบรักษา ด้วยบ้านชิงอี้หรานมีแต่ผู้ชายที่ประดาบฟาดฟันจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเสมอ ทำให้นางค่อนข้างเชี่ยวชาญในการรักษาแผล“ซิวเอ๋อ ไปเอาน้ำร้อนมาให้ข้าเร็ว” ชิงอี้หรานสั่งสาวใช้หญิงสาวหยิบขวดยาที่พกอยู่ออกมาและหันไปหา
บทที่ 5 : ความรักเบ่งบานความใกล้ชิดระหว่างชิงอี้หรานและหนิงซีโย่วยิ่งทำให้ทั้งสองผูกสมัครรักใคร่กันมากขึ้น ชิงอี้หรานยังคงปิดบังฐานะของตนเองเพราะกลัวว่าเหล่าพี่ชายทั้งหลายจะทำให้ชายหนุ่มขวัญหนีดีฝ่อ ขณะที่หนิงซีโย่วเองก็ไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริงของเขา นอกจากชื่อแซ่ หนิงซีโย่วเองก็ไม่ต้องการให้ชิงอี้หรานรู้ถึงความยุ่งยากในชีวิตของชายหนุ่มในอารามที่เงียบสงบและมีบรรยากาศที่อบอุ่น ชิงอี้หรานดูแลอาการบาดเจ็บของหนิงซีโย่วอย่างดี หญิงสาวนำยาสมุนไพรมาใช้ในการรักษาแผล หนิงซีโย่วนอนพักฟื้นอยู่ในห้องที่ห้อมล้อมด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและการดูแลเอาใจใส่ของชิงอี้หราน"ท่านหนิงซีโย่ว ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง" ชิงอี้หรานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่หญิงสาวนั่งข้างเตียงชายหนุ่มหนิงซีโย่วมองหญิงสาวด้วยสายตาอบอุ่น "ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ขอบคุณเจ้ามาก หยวนเอ๋อ"ชิงอี้หรานยิ้มเบา ๆ "ข้าช่วยท่านเพียงเล็กน้อย ท่านอย่าได้เกรงใจ"หนิงซีโย่วพยักหน้า แต่ในใจของหนิงซีโย่วกลับรู้สึกไม่สบายใจ ชายหนุ่มมีความลับมากมายที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ ขณะที่ชิงอี้หรานกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผล หนิงซีโย่วจึงเอ่ยถามขึ
บทที่ 6 : ความหลังของหนิงซีโย่วหนิงซีโย่ว องค์ชายห้าแห่งแคว้นโย่ว กำเนิดโดยสนมอวี๋หนิว สนมอวี๋หนิวนั้นเป็นเพียงหญิงสามัญชนที่ฮ่องเต้ทรงพบระหว่างการเสด็จเยี่ยมราษฎรแบบไม่เปิดเผยตน ฮ่องเต้รักใคร่สนมอวี๋หนิวเป็นอันมาก เนื่องจากอวี๋หนิวเป็นเพียงหญิงสามัญ มิได้ข้องเกี่ยวกับราชกิจ ทั้งยังไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้หญิงสาวเป็นดั่งหยาดทิพย์ที่ชโลมจิตใจยามพระองค์อ่อนล้าเมื่อครั้งแรกที่ฮ่องเต้ได้พบสนมอวี๋หนิว นางกำลังช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านที่ยากจน ความงดงามและจิตใจที่บริสุทธิ์ของหญิงสาวทำให้พระองค์หลงใหล ฮ่องเต้จึงตัดสินใจพาอวี๋หนิวกลับวังหลวง แม้จะมีเสียงทัดทานมากมายจากราชสำนัก แต่พระองค์ก็ยังเลื่อนตำแหน่งให้นางเป็นสนมชั้นเอกสนมอวี๋หนิวนำความสุขมาให้แก่ฮ่องเต้ ช่วงเวลาที่อยู่กับหญิงสาว พระองค์เสมือนได้ถอดหัวโขนเป็นดั่งคนรักทั่วไป ไม่ต้องกังวลเรื่องการเมืองหรืออำนาจ เมื่อสนมอวี๋หนิวคลอดหนิงซีโย่ว ฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกผูกพันและโปรดปรานหญิงสาวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความโปรดปรานที่มากย่อมนำมาซึ่งเภทภัยใหญ่หลวงเช่นกันหนึ่งปีหลังจากการคลอดหนิงซีโย่ว สนมอวี๋หนิวก็หมดสติและสิ้นลมหายใจอย่างปริศนา ความเศร้าโ
บทที่ 7 : ความลับอันน่าตกใจหลังจากที่ชิงอี้หรานและหนิงซีโย่วแยกย้ายกันจากอารามชิงอี้หรานกลับมายังบ้านของตน หญิงสาวยังคงคิดถึงหนิงซีโย่วและความรู้สึกที่นางมีต่อเขา“ท่านหนิงซีโย่ว ข้าหวังว่าท่านจะปลอดภัย ข้าจะรอวันที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง” ชิงอี้หรานเหม่อมองท้องฟ้าพร้อมพูดกับตนเองในขณะที่หนิงซีโย่วเดินทางกลับไปยังพระตำหนักของเขาหนิงซีโย่วนั่งอยู่ในห้องอักษร ชายหนุ่มเริ่มพิจารณาข้อมูลที่เขาได้รับมา พลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเบาะแสสำคัญที่เขาได้ค้นพบ จากเบาะแสนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าความตายของมารดาไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นแผนการที่ถูกวางไว้ล่วงหน้า ขณะที่หนิงซีโย่วเคร่งเครียดกับเบาะแสอยู่นั้น พลันความคิดของหนิงซีโย่วกลับนึกถึงชิงอี้หราน ความอ่อนโยนและงดงามที่ชายหนุ่มได้สัมผัสในช่วงเวลาสั้น ๆ กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ เมื่อย้อนคิดเช่นนี้ หนิงซีโย่วก็พลันยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวคืนหนึ่ง หนิงซีโย่วได้แอบเข้าไปในหอสมุดหลวงเพื่อค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับการตายของมารดา ชายหนุ่มพบหนังสือบันทึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในห้องลับของหอสมุด ในบันทึกนั้นมีการกล่าวถึงการวางแผนลอบสังหารสนมอวี๋หนิว โดยม
บทที่ 8 : ใกล้ชิดในสวนหลวงในค่ำคืนฉลองวันประสูติขององค์ฮองเฮา งานเลี้ยงภายในวังหลวงถูกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริก ทั้งราชสำนักและขุนนางชั้นสูงต่างมาร่วมงานเฉลิมฉลองกันอย่างคับคั่ง ทุกคนในวังหลวงต่างสวมใส่เสื้อผ้าอันหรูหราและประดับประดาเครื่องประดับอย่างงดงาม ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างไสวและเสียงดนตรีที่ก้องกังวาน งานเลี้ยงในครั้งนี้จะขาดบุคคลสำคัญอย่างครอบครัวตระกูลชิงไปไม่ได้ พวกเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าวเช่นกันพระราชวังยามค่ำคืนถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใสที่แขวนเรียงรายตามทางเดินและเสาต่าง ๆ แสงโคมไฟสะท้อนแสงเงางามบนพื้นหินอ่อน ทำให้บรรยากาศทั้งงานดูอบอุ่นและหรูหรา กลิ่นหอมของดอกไม้สดที่ประดับตามโต๊ะและประตูใหญ่แผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ทุกคนรู้สึกสดชื่นในลานกว้างกลางพระราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง วันประสูติของฮองเฮา ตกแต่งด้วยธงสีทองและผ้าลายดอกไม้สวยงาม แขกผู้มีเกียรติและขุนนางน้อยใหญ่ต่างเดินเข้ามาในงานด้วยชุดคลุมหรูหราประดับด้วยผ้าไหมและลายปักอย่างละเอียด ทุกคนต่างพากันมอบของขวัญและกล่าวคำอวยพรต่อฮองเฮาโต๊ะอาหารยาวถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะมีอาหารเลิศ
บทที่ 9 : ตัวตนเปิดเผยหลังจากใช้เวลาสักพักในสวนสวยที่สงบเงียบ ชิงอี้หรานก็ขอตัวกลับเข้าไปในงานเลี้ยงในวังหลวงอีกครั้ง หญิงสาวกลับเข้าสู่ตำหนัก“อี้หราน เจ้าหายไปไหนมา พวกเข้าร้อนใจจนเกือบจะออกตามหาเจ้า” ชิงหลงพี่ชายคนรองกระซิบถามอย่างห่วงใย“ข้าเพียงออกไปเดินเล่นเท่านั้น ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ” ชิงอี้หรานกล่าวตอบพร้อมคีบอาหารเข้าปาก ทำท่าทางประหนึ่งมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นสักพักหนึ่ง พลันเสียงขันทีที่ประกาศขึ้นอย่างก้องกังวานดึงความสนใจของทุกคนในงาน"องค์ชายห้าเสด็จ!"เสียงขันทีทำให้ทุกสายตาหันไปยังประตูตำหนัก ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แสดงสีหน้าดีใจ เมื่อเห็นบุตรชายของสนมอันเป็นที่รักเสด็จมา หนิงซีโย่วเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาของชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ และประสานเข้ากับชิงหยวนเปา อัครเสนาบดีผู้ทรงอำนาจ สายตานั้นล้ำลึก มิอาจคาดเดาได้ แต่ก็หาได้มีความเป็นมิตรแต่อย่างใดทันใดนั้น หนิงซีโย่วเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายชิงหยวนเปา ใจของชายหนุ่มพลันตกตะลึงอย่างยิ่งยวด "หยานเอ๋อ!" หนิงซีโย่วร้องเรียกในใจ หญิงสาวที่เขารู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งกำลังยืนเคียงข้างชายชั่วที่ช
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา