วันต่อมาจวนราชครูที่พลั้งพร้อมไปด้วยโคมหลากสีสำหรับงานมงคลยังไม่ทันจะยามเซินด้วยซ้ำผู้คนต่างทยอยลงจากเกี้ยวหน้าจวน พร้อมของฝากและของขวัญสำหรับงานแซยิดของราชครูฉินผู้ซึ่งฮ่องเต้ให้การนับถือ
สุราอาหารถูกยกมาวางตรงหน้าแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน อย่างเนืองแน่น
จิงเชียวนั่งหน้ากระจกบานใหญ่อี้เหลียวและสาวใช้ช่วยกันจัด เครื่องประดับและผมเผ้าให้ดูดี ใบหน้าอวบในกระจกยิ้มบางๆ คางสามชั้นยังอยู่ตรงนั้น แต่สิ่งที่สะดุดตาคือดวงตากลมโตสดใสไร้ความทุกข์ ผิวขาวอมชมพูราวกับลูกท้อสุก
“เร็วๆ เข้าอี้เหลียว ข้าหิวแล้วไม่สิข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว”
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะคุณหนู แค่ใช้ปิ่นเกล้าผมเสียนิดหน่อยก็ได้แล้ว”
“เร็วเข้า ข้าอึดอัดกับอาภรณ์ชุดนี้”
“ชุดนี้ คุณหนูรองตัดเย็บให้เองกับมือเพื่อคุณหนูนะเจ้าค่ะ”
ก็รู้อยู่แล้วอาภรณ์ทั่วไปไม่อาจสวมใส่จำต้องตัดเย็บแบบพิเศษ
ลุกขึ้นยืนอาภรณ์สีชมพูที่ไม่อาจดึงสายรัดเอวได้เหมือนคนอื่นด้วยสายรัดเอวกลายเป็นสั้นไปในทันทีเมื่อจิงเชียวสวมมัน ต้องปล่อยสายรัดเอวให้ห้อยร่องแร่งลงข้างลำตัว ส่วนพุงที่ยื่นออกมาส่งผลให้หน้าอกอวบอูมเล็กกว่าพุงที่ยื่นนำหน้า ชายกระโปรงที่เป็นผ้าบางเบาทำให้มองไม่เห็นขาอวบใหญ่ ราวกับท่อนซุง
“คุณหนูเจ้าขา เบาหน่อยเจ้าค่ะ พื้นห้องจะทะลุลงไปด้วยแรงของคุณหนูที่เอาแต่ย้ำโครมๆ”
จิงเชียวนั่งลงกับเก้าอี้ ที่ทำเป็นพิเศษมองตัวเองในกระจก
“ข้าอ้วนมากใช่ไหมอี้เหลียว”
อี้เหลียวยิ้มเจื่อนๆ โกหกสีขาวเพื่อให้อีกคนสบายใจก็จะโกหกได้อย่างไรในเมื่อความจริงก็เห็นๆ กันอยู่ว่าจิงเชียวอ้วนไม่ต้องให้ใครบอกนางตัวนางเองก็เห็นอยู่
“อยู่ๆ ทำไมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าคะ”
“ข้ากลัวว่าพี่อ๋องฟู่จะ จะไม่อยากมองข้ารังเกียจข้าที่อ้วนแบบนี้”
อี้เหลียวเสียบปิ่นปักผมบนเรือนผมนุ่ม
“คุณหนูเจ้าขาท่านอ๋องไม่กล้าปฏิเสธบัญชาฝ่าบาทได้หรอกไม่ต้องกังวลแล้วที่สำคัญคุณหนูก็อ้วนมานานแล้ว จะมาแก้ไขอะไรตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วควรจะยืดอกออกไปร่วมงานให้แล้วเสร็จเสีย”
จริงเชียวยิ้ม จะว่าไปอี้เหลียวก็พูดถูกนางมักจะพูดตรงๆ แบบนี้เสมอ
“แต่ตามบัญชาบอกแค่ว่าบุตรีบ้านฉินไม่ได้บอกว่าข้าหรือว่า จิงชิน”
“ก็หากว่าท่านอ๋องฟู่เลือกคุณหนูรองนั่นก็เป็นเรื่องปกติ แต่หากเลือกคุณหนูนี่สิเท่ากับแปลกใครบ้างไม่ชอบหญิงงามที่อรชรอ้อนแอ้นและอ่อนหวานเช่นคุณหนูรอง”
ร่างอ้วนหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่วายพุงกระเพื่อม
“จริงด้วย เช่นนั้นก็แค่ได้พบพี่อ๋องฟูก็ดีแล้วใช่ไหม อี้เหลียวแค่ได้พบแค่ได้พูดคุยทักทายสมกับที่ไม่ได้พบเจอกันมานานก็พอแล้วจริงไหม”
อี้เหลียวพยักหน้าขึ้นลงรัวเร็ว
“คุณหนูของอี้เหลียวเก่งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
จิงเชียวยิ้มหวาน
“ไปกันเถอะของกินรออยู่”อี้เหลียวถอนหายใจส่ายหน้า
“ข้าแค่พูดผิดไป ท่านพี่อ๋องฟู่รอยู่”
ภายในงาน ผู้คนล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยมงดงามราวกับงานใหญ่ในวังหลวง
บรรดาองค์ชายองค์หญิงส่งของขวัญวันเกิดมาให้ถึงจวนบางคนก็มาร่วมงาน นั่งกินดื่ม ของขวัญวันเกิดจากฮ่องเต้เป็นป้ายหยกเนื้อดีขลิบทองและฝังด้วยพลอยสีแดง วางโชว์อยู่กลางลานกว้างให้ผู้คนได้ชื่นชมโสมนัสไปด้วย
ราชครูฉินยืนรับแขกกับฮูหยินจิงหรานมารดาของจิงเชียว
“โอ้ ดีเลยเชิญนั่งก่อน บุตรีของข้าทั้งสองเตรียมการร่ายรำและบรรเลงเพลงกู่เจิ้งให้ได้ดูได้ฟังกัน พวกท่านกินดื่มเสียให้หนำใจข้าแทบจะอดใจรอชมการร่ายรำของเชียวเอ่อร์ไม่ได้แล้วตอนนี้”
บิดาที่รักลูกที่สุดคงไม่มีใครเกินใต้เท้าฉินเกอผู้นี้
“บุตรี ของท่าน…นะหรือนางยังร่ายรำได้อีกหรือ ….(กำลังจะพูดว่าในเมื่อนางอ้วนขนาดนั้นแต่เหมือนเพิ่งจะคิดได้ว่าไม่ควรพูดคำว่าอ้วนออกไปจึงเปลี่ยนท่าทีเสีย) ฮ่าาาาๆๆๆ คิดไม่ถึงว่านางช่างมุ่งมั่นฝึกฝนการร่ายรำ”
“เชียวเอ่อร์เป็นคนที่มุ่งมั่นมาตั้งแต่เล็กๆ ทำอะไรทำจริงมาตลอด”
คนฟังอยากจะพูดว่ามุ่งมั่นในการกินนะสิถึงได้อ้วนเพียงนี้
“มิน่าเล่าท่านราชครูจึงรักดังดวงใจ”
ยิ้มเชิดหน้าใครจะว่าอย่างไรก็ช่างจิงเชียวคือความสุขจิงเชียวคือรอยยิ้มของบิดาเสมอ
“ลูกคนนี้ข้าหวังอยากให้นางมีความสุขตลอดไปข้าจึงตั้งใจพูดกับท่านอ๋องฟู่ให้รับนางในฐานะชายาไม่ต้องมาดูตัวหรือเลือกสรรอีกแล้วควรเป็นเชียวเอ่อร์ที่ควรได้โอกาสนี้ไป”
คนฟังยิ้มแห้งๆ เสียวสันหลังแทนอ๋องฟู่ที่ต้องถูกมัดมือชกจากคนที่เป็นที่ไว้วางใจของฮ่องเต้ที่ชี้ไม้เป็นนกชี้นกเป็นไม้ได้
“ฟู๋อ๋องฉวีช่าย มาแล้วววววววว”
ผู้คนในงานต่างเงยหน้ามองอ๋องฟู่ที่เพิ่งจะปรากฎตัวในงานแซยิดครั้งนี้เป็นครั้งแรกในอาภรณ์สี เหลืองทองเกล้าผมครึ่งศรีษะอีกครึ่งปล่อยลงมาสยายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดของจิตกรเอกที่รังสรร เทพบนสรรค์ไว้บนผ้าใบ“ฟู่อ๋องคารวะท่านราชครูฉิน และฮูหยินฉิน”ฮูหยินจิงหราน ยิ้มดวงตาเป็นประกายชื่นชมฮ่องฟู่ที่เคยมีโอกาสพบตั้งแต่อายุสิบสามปี“เรียกท่านลุงเหมือนเคยท่านอ๋อง ไม่ต้องเกรงใจเชิญๆ เข้าไปในงานฉินเกอเตรียมจัดโต๊ะที่ดีที่สุดสำหรับท่านอ๋องแล้ว”คนก่อนหน้ากลืนน้ำลายลงคอยากเย็น อยากจะสะกิดบอกท่านอ๋องว่า…. หนีไปฟู่อ๋องพาร่างสูงสง่า ยังที่นั่งกิตติมศักดิ์ที่ถูกเชิญผู้คนล้วนซุบซิบถึงรูปโฉมที่หล่อเหลาและท่าทีองอาจทว่าแววตากลับนิ่งเฉยเย็นชาราวกับเกล็ดหิมะใต้เท้าฉินกลับไปนั่งยังโต๊ะที่ตั้งตรงกลางเสียงบรรเลงกู่เจิ้ง ดังแว่วมาจากด้านใน จิงชินในอาภรณ์สีขาวถูกหย่อนลงจากด้านบนพร้อมกับ บรรเลงเพลงกู่เจิ้งในมือสายตาหลายคู่ต่างจับจ้องใบหน้าที่งดงามราวกับเทพีสวรรค์แหงนคอตั้งบ่ามองความงามทั้งหน้าผมและอาภรณ์ที่พลิ้วไหว แต่ละคนราวกับหลุดเข้าไปยังโลกหนึ่งที่มีเพียงจิงชินและเสียงกู่เจิ้ง
อี้เหลียวถอนหายใจ จิงเชียวรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หรือนางแค่ปลอบใจตัวเอง“แต่คุณหนูรองไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อยท่านเองก็ล้มไม่โดนนาง เป็นคุณหนูใหญ่เองที่ลุกไม่ขึ้นดิ้นกระแด๋วๆ แต่ท่านอ๋องกลับเลือกที่จะช่วยคุณหนูรอง”อยากจะต่อคำว่าเพราะเห็นว่าฝั่งนั้นสวยกว่าแต่หยุดคำพูดไว้แค่นั้นจิงเชียวยิ้มทั้งๆ ที่กำลังเคี้ยวอาหารเต็มปาก“เขาทำถูกแล้วหากเป็นข้าก็จะช่วยจิงชินเหมือนกัน หากนางถูกข้าทับไปนางจะต้องเจ็บหนักแน่ ไม่พิการก็ตาย”อี้เหลียวยังไม่ยอม“ก็สมควรแล้วอาภรณ์ของคุณหนู นางตัดเย็บแบบไหนกันถึงจะปริขาดได้ให้อับอายคนอื่นเขา”อี้เหลียวพูดในเรื่องที่สงสัยแต่หาหลักฐานไม่ได้“เวลามีน้อยเจ้าอย่าโทษจิงชินเลยอี้เหลียว นางตัดเย็บอาภรณ์ให้ข้าทุกครั้งไม่มีปัญหาอะไรครั้งนี้อาจจะเพราะเวลาที่น้อยไป”“คุณหนู เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนแบบนี้เสียที่เห็นๆ กันอยู่ว่าท่านอ๋องตั้งใจเอาใจคุณหนูรองเห็นว่านางสวยกว่า ไม่ชายตามองท่านสักนิด”“แต่เขาก็ช่วยดันข้าให้ลุกขึ้นนะ พี่อ๋องฟู่ก็ดีกับข้าเหมือนกัน อย่าว่าเขาเลยใครเห็นจิงชินก็ต้องชอบนาง”อี้เหลียวทรุดกายลงบนเก้าอี้ โลกสดใสของจิงเชียวไม่มีใครทำลายลงได้จริงๆ เขาผลักนางยังมองใ
"ฟู่ฉวีช่ายอ๋องรับราชโองการรรร"ขันทีชรานำราชโองการวางบนถาดสีทองคลี่ออกช้าๆ อ่านดังๆใบหน้าเรียบเฉยของอ๋องฟู่ไม่ได้มีท่าทีอะไร เพียงแค่คุกเข่าลงรับร่างโองการจากมือขันทีชรา"ท่านอ๋องยินดีด้วย ยินดีด้วยข้าน้อยไม่คิดจริงๆ ว่าท่านจะได้ชายาเอกกับชายารองเสียพร้อมกันในคราวเดียว แล้วยังเป็นพี่น้องร่วมบิดาเรื่องบาดหมางคงไม่มี และพวกนางก็คงปรนนิบัติท่านอ๋องอย่างดี หากไม่ติดที่ ไม่ติดที่ชายาเอกจะ… อวบอั๋นไปหน่อย…ไม่สิอย่าเรียกว่าอวบอั๋นข้าน้อยกำลังสรรหาคำพูดที่จะไม่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคือง และหากใต้เท้าฉินมาได้ยินก็จะยิ่งขุ่นเคือง เอาเป็นว่าชายาเอก…ร่างหนาไม่สิ ไม่พูดดีกว่า"ฟู่อ๋องหลุบตามองพื้น"เสร็จธุระท่านหรือยังกงกง""อ่า เรียบร้อยแล้วขอรับ ข้าน้อยทูลลา"ประสานมือตรงหน้าเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันกับกิริยาของอ๋องฟู่ที่มักจะเย็นชากับผู้อื่นราวกับคนคนนั้นไร้ตัวตน"ท่านอ๋อง สมใจไหมขอรับในที่สุดก็ได้แต่งกับคุณหนูรองจิงชินผู้งดงาม"เสี่ยวฝานพูดขึ้นเบาๆ ร่างสูงก้าวขายาวๆ หันหลังกลับเข้าไปในจวนอ๋องบ้านฉินอี้เหลียวยกถาดขนมเข้ามาวางตรงหน้าจิงเชียวที่กำลังเคี้ยวบางอย่างแก้มตุ๋ย"เอามาเลยเอามาใกล้ๆ ข้า”"คุณหน
"หากคุณหนูผอมลงคุณหนูของอี้เหลียวจะสวยที่สุดและท่านอ๋องก็จะรักคุณหนูใส่ใจคุณหนูเหมือนที่ทำกับคุณหนูรองคุณหนูไม่อยากเป็นภรรยาที่ท่านอ๋องรักใคร่ยืนเคียงข้างท่านอ๋องอย่างสบายใจให้คนคอยแซ่ซ้องว่าเป็นคู่แท้จากสวรรค์หรือเจ้าคะ"อี้เหลียวอธิบายเสียยืดยาวหวังเปลี่ยนใจจิงเชียวได้"ข้าสัญญาต่อไปข้าจะกินน้อยลง แต่ ตอนนี้ขอแค่ได้เห็นพี่อ๋องฟู่ทุกวันได้ใกล้ชิดเขาไม่ขอให้เขามารักหรือสนใจข้า ก็ข้าอ้วนออกอย่างนั้น และมันคือเรื่องจริงที่ตอนนี้ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ให้เขามีความสุขกับน้องรองไปก็ดีแล้วฮ่าๆๆๆๆ ลูกของพวกเขาจะต้องน่ารักที่สุดจริงไหมอี้เหลียวพ่อองอาจหล่อเหลาที่สุดส่วนจิงชินนางก็งดงามเกินใคร”บำเพ็ญเพียรถึงสามภพสามชาติหรือไรคุณหนูใหญ่ของอี้เหลียวจึงเป็นคนดีเพียงนี้ จิงชินงดงามก็จริงทว่านางเป็นคนที่อ่านยากไม่น้อย ต่างจากจิงเชียวที่เปิดเผยจริงใจ"เจ้าคะ"อี้เหลียวไม่อยากจะพูดมากกว่านี้"อี้เหลียวมานี่"อี้เหลียวขยับตัวมาใกล้ จิงเชียวยกท่อนแขนมหึมาขึ้นสวมกอดอี้เหลียว"โอะๆๆ คุณหนูระวังเจ้าคะ อี้เหลียวจะหายใจไม่ออก"มืออ้วนคลายอ้อมแขนออกกอดไว้หลวมๆ"ขอบใจเจ้านะอี้เหลียวที่หวังดีกับข้า แค่นี้ข
การหารือจบลงง่ายดายสินสอดไม่ได้สำคัญทว่าฟู่อ๋องก็ตั้งใจมอบสินสอดเสียมากมายเพราะแต่งถึงสองชายาในคราวเดียวอาหารกลางวันยกมาขึ้นโต๊ะ ไม่ได้มีของที่จิงเชียวโปรดปรานแม้แต่อย่างเดียวถึงกระนั้นจิงเชียวก็ยัง รู้ว่าท้องของตัวนางเองร้องโครกครากฟู่อ๋อง ท่านฉิน ฮูหยินฉินและจิงเชียว จิงชินนั่งร่วมโต๊ะท่านฉินกับฮูหยินฉินใช้ตะเกียบคีบหมูชิ้นเล็กในผัดผักแปดอย่างให้กับจิงเชียวเสียพร้อมกัน“ขอบคุณท่านพ่อกับท่านแม่”อ๋องฟู๋กลับคีบเอาผักวางในถ้วยข้าวให้กับจิงเชียว“ขอบคุณพี่อ๋องฟู่”ฝืนใจ คีบผักใส่ปากเคี้ยวราวกับว่าเอร็ดอร่อย ฟู่อ๋องหันไปคีบหมูส่งให้จิงชินบ้าง“เจ้าผอมเกินไป”จิงชินก้มหน้าเขินอาย“ขอบคุณท่านอ๋อง”เสียงหวานราวกับน้ำผึ้งสด พร้อมกับรอยยิ้มตรึงใจอาหารมื้อนั้นผ่านไปราวกับว่าเวลามันผ่านไปช้าเหลือเกิน จิงเชียวหิวจนตาลายแต่กินได้เพียงน้อยนิดสามวันผ่านไปอาภรณ์แดงที่ห่อหุ้มร่างกาย อวบอ้วนนั้นมองไปราวกับโคมไฟสีแดงที่ประดับอยู่หน้าจวนและบริเวณทั่วไปในจวน“คุณหนูเจ้าขาของอร่อยมาแล้วเจ้าค่ะ”อี้เหลียวยกอาหารเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม“วันนี้มีงานมงคลของกินมากมาย อีกสักพักจะถึงเวลาเข้าหอแล้ว คุณหนูจะต้อง
การหารือจบลงง่ายดายสินสอดไม่ได้สำคัญทว่าฟู่อ๋องก็ตั้งใจมอบสินสอดเสียมากมายเพราะแต่งถึงสองชายาในคราวเดียวอาหารกลางวันยกมาขึ้นโต๊ะ ไม่ได้มีของที่จิงเชียวโปรดปรานแม้แต่อย่างเดียวถึงกระนั้นจิงเชียวก็ยัง รู้ว่าท้องของตัวนางเองร้องโครกครากฟู่อ๋อง ท่านฉิน ฮูหยินฉินและจิงเชียว จิงชินนั่งร่วมโต๊ะท่านฉินกับฮูหยินฉินใช้ตะเกียบคีบหมูชิ้นเล็กในผัดผักแปดอย่างให้กับจิงเชียวเสียพร้อมกัน“ขอบคุณท่านพ่อกับท่านแม่”อ๋องฟู๋กลับคีบเอาผักวางในถ้วยข้าวให้กับจิงเชียว“ขอบคุณพี่อ๋องฟู่”ฝืนใจ คีบผักใส่ปากเคี้ยวราวกับว่าเอร็ดอร่อย ฟู่อ๋องหันไปคีบหมูส่งให้จิงชินบ้าง“เจ้าผอมเกินไป”จิงชินก้มหน้าเขินอาย“ขอบคุณท่านอ๋อง”เสียงหวานราวกับน้ำผึ้งสด พร้อมกับรอยยิ้มตรึงใจอาหารมื้อนั้นผ่านไปราวกับว่าเวลามันผ่านไปช้าเหลือเกิน จิงเชียวหิวจนตาลายแต่กินได้เพียงน้อยนิดสามวันผ่านไปอาภรณ์แดงที่ห่อหุ้มร่างกาย อวบอ้วนนั้นมองไปราวกับโคมไฟสีแดงที่ประดับอยู่หน้าจวนและบริเวณทั่วไปในจวน“คุณหนูเจ้าขาของอร่อยมาแล้วเจ้าค่ะ”อี้เหลียวยกอาหารเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม“วันนี้มีงานมงคลของกินมากมาย อีกสักพักจะถึงเวลาเข้าหอแล้ว คุณหนูจะต้อง
การหารือจบลงง่ายดายสินสอดไม่ได้สำคัญทว่าฟู่อ๋องก็ตั้งใจมอบสินสอดเสียมากมายเพราะแต่งถึงสองชายาในคราวเดียวอาหารกลางวันยกมาขึ้นโต๊ะ ไม่ได้มีของที่จิงเชียวโปรดปรานแม้แต่อย่างเดียวถึงกระนั้นจิงเชียวก็ยัง รู้ว่าท้องของตัวนางเองร้องโครกครากฟู่อ๋อง ท่านฉิน ฮูหยินฉินและจิงเชียว จิงชินนั่งร่วมโต๊ะท่านฉินกับฮูหยินฉินใช้ตะเกียบคีบหมูชิ้นเล็กในผัดผักแปดอย่างให้กับจิงเชียวเสียพร้อมกัน“ขอบคุณท่านพ่อกับท่านแม่”อ๋องฟู๋กลับคีบเอาผักวางในถ้วยข้าวให้กับจิงเชียว“ขอบคุณพี่อ๋องฟู่”ฝืนใจ คีบผักใส่ปากเคี้ยวราวกับว่าเอร็ดอร่อย ฟู่อ๋องหันไปคีบหมูส่งให้จิงชินบ้าง“เจ้าผอมเกินไป”จิงชินก้มหน้าเขินอาย“ขอบคุณท่านอ๋อง”เสียงหวานราวกับน้ำผึ้งสด พร้อมกับรอยยิ้มตรึงใจอาหารมื้อนั้นผ่านไปราวกับว่าเวลามันผ่านไปช้าเหลือเกิน จิงเชียวหิวจนตาลายแต่กินได้เพียงน้อยนิดสามวันผ่านไปอาภรณ์แดงที่ห่อหุ้มร่างกาย อวบอ้วนนั้นมองไปราวกับโคมไฟสีแดงที่ประดับอยู่หน้าจวนและบริเวณทั่วไปในจวน“คุณหนูเจ้าขาของอร่อยมาแล้วเจ้าค่ะ”อี้เหลียวยกอาหารเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม“วันนี้มีงานมงคลของกินมากมาย อีกสักพักจะถึงเวลาเข้าหอแล้ว คุณหนูจะต้อง
อี้เหลียวมือไม้สั่นคุณหนูจิงเชียวอยู่ในโลกงดงามของนางอย่างมีความสุข แต่คุณหนูรองที่ทำเหมือนทองเนื้อดีกลับมาทำให้คุณหนูจิงเชียวของอี้เหลียวรู้สึกเจ็บปวดและยังต้องเอ่ยปากยกโทษให้คุณหนูรองผู้นี้อีกหรือ“หืมมม ทำไมต้องมีชายาเอกชายารอง แล้วเจ้าจะเก็บท่านพี่อ๋องฟู่ไว้ทำไมข้าไม่ได้หวงเจ้าเสียหน่อย ท่านพี่อ๋องฟู่เป็นสามีของเราทั้งสองคนเท่าๆ กัน ข้าให้เจ้าไปเลยก็ได้ แต่ไม่ได้สิท่านพ่อจะดุเอา แต่จิงชินเจ้ารู้ไหมเขาก็ดีกับข้าแม้ข้าจะอ้วนจนเขากอดไม่มิดเขาก็ยังกอดข้า น้องรองเจ้าอย่าคิดมากไปเลย ข้าเสียอีกเมื่อคืนเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะกลัวเพราะแปลกที่เลยคะยั้นคะยอให้ท่านพี่อ๋องฟู่ไปนอนกับเจ้าคอยปลอบเจ้าให้หายกลัว ดีใจจังท่านพี่อ๋องฟู่เชื่อข้า ยอมไปค้างกับเจ้าดังที่ข้าบอก ข้าละนึกกลัวว่าท่านพี่อ๋องฟู่จะปล่อยให้เจ้านอนคนเดียวยามดึกแอบออกมาเสียอีก”น้ำเสียงไม่ได้แสดงว่าอยากจะโอ้อวดอะไรเหมือนกำลังเล่าเรื่องทั่วไปเสียมากกว่า อี้เหลียวเบือนหน้ากลั้นขำนี่สิถึงจะเรียกว่าทองแท้ตกน้ำก็ไม่ไหลตกไฟก็ไม่ไหม้จิงชินตาลุกวาวเพราะเมื่อคืนได้ยินชัดเรื่องที่อ๋องฟู๋พูดว่า..พี่สาวเจ้าบอกว่าเจ้ากลัวความมืด…“เช่นนั้นข้าก็
อู้ตี้ปากไวเท่าความคิด ทำเอาเหล่าหญิงงามต่างหัวเราะขบขัน จิงเชียวกัดเม้มริมฝีปากแน่นฟู่อ๋องอมยิ้มกับดอกท้อสีแดงสดตรงกลางผ้าสีขาวสะอาดดอกท้อสีแดงโดดเด่นบนนั้นเหมือน จิงเชียวในตอนนี้ยิ่งแน่ใจว่านี่คือจิงเชียวน้อยของเขาที่กี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยนนางปักได้เพียงดอกท้อสีแดงตั้งแต่เก้าขวบกัวหลงหลงดึงเอาผ้าขาวจากมือฟู่อ๋อง"งดงาม งดงามจริงๆ ช่างเป็นดอกท้อที่แตกต่างแต่มีมนต์ขลังพวกท่านเห็นไหม ไม่ใช่ใครจะปักลวดลายแบบนี้ได้ง่ายๆ งดงามแต่เรียบง่าย ธรรมดาแต่น่าจดจำ"หญิงงามที่กำลังซุบซิบต่างเงียบเสียงมองไปที่ดอกท้อสีแดงสดเพียงดอกเดียวนั้น"ท่านองครักษ์ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ เช่นไรจึงได้กล่าวชื่นขมเพียงแค่คนที่ทำอะไรง่ายๆอย่างนี้ นางไร้ความสามรถท่านยังเอ่ยชมเห็นว่านางมีใบหน้างดงามเป็นต่อพวกเราหรือไร"บุตรีของขุนนางใหญ่แซ่จือกล่าวติเตือนกัวหลงหลง"หืม. ..พวกเจ้าล้วนคิดว่าลวดลายงดงาม เท่านั้นที่จะผ่านการคัดเลือก จริงๆแล้วการที่ใครสักคนใส่ใจงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น รู้จักพลิกแพงนั่นนับว่าหลักแหลมยิ่งแล้ว เขาสั่งให้ปักจึงปัก ลวดลายสะท้อนความเป็นตัวตนนางเป็นง่ายๆ ทว่าก็ทำตามกฎ"อู้หลงฮ่องเต้ก้าวเข
“เสด็จพ่อแค่นี้ก็ยากจะตัดสินใจแล้วยังจะให้เขามาช่วยสังเกตการณ์เรื่องใดกันเล่า”ออกอาการเพราะเรียกรับผลประโยชน์จากบรรดาพ่อๆที่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปแล้วว่าจะให้บุตรีของขุนนางกังฉินทั้งหลายผ่านการคัดตัวนางในปีนี้“ฝ่าบาท หลายคนเหมาะแล้วพ่ะย่ะค่ะไท่จือก็ยังอ่อนประสบการณ์ท่านอ๋องเองก็เก่งแต่เรื่องรบรา ท่านองครักษ์กัวหน่วยก้านไม่เลวบางทีหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”ใต้เท้าเหวินที่เป็นขุนนางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดรีบสนองกัวหลงหลงยิ้มเปลี่ยนเรื่องราวตึงเครียดให้กลายเป็นเรื่องการคัดตัวนางในเสียทุกคนต่างลืมเลือนเรื่องการลอบสังหารไปเสียสิ้น แต่คนผู้หนึ่งที่ไม่ลืม นั่นก็คืออู้หลงฮ่องเต้ตำหนักกุ้ยฮวาสำหรับคัดตัวนางใน ลานกว้างที่ปูด้วยหินสีขาวสะอาดเหล่านางกำนัลสวมใส่อาภรณ์ของนางกำนัลฝึกหัด อวดรูปร่างอ้อนแอ้นของแต่ละนางไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจิงเชียวงดงามทั้งรูปร่างและใบหน้าที่หาใครเทียบเคียงได้พวกนางต่างกำลัง นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยของแต่ละนางบรรจงปักลวดลายลงบนผ้าขาวด้วยด้ายหลากสีเพื่อให้อวดฝีมือด้านหารเย็บปักคราวนี้เองไม่บอกก็รู้ว่า งานเย็บปักของจิงเชียวไม่ได้เรื่องแค่ไหน“หมดเวลาาาาาา”เวลาหนึ่งชั่วยามที
“พ่ะย่ะค่ะ เอ่อเรื่องมีอยู่ว่า กงฉือพำนักที่บ้านท่านป้าฉินตั้งใจจะเข้ามาสอบจอหงวน และบังเอิญได้พบท่านอ๋องและก็บังเอิญอีกเช่นกันที่ท่านลุงฉินมีหลานสาวที่กำลังจะเข้ามาคัดตัวนางในนามว่าอิงเอ่อร์งดงามที่สุดในสามแคว้น และเราสองคนข้าหมายถึงท่านอ๋องกับข้าเราจึงไม่ต้องชะตากัน เพราะหญิงงามแล้วบังเอิญอีกครั้งที่ข้า เป็นคนที่นอนไม่หลับอยากจะรู้ว่าวังหลวงของแคว้นเป่ยฉียิ่งใหญ่เพียงใด และอยู่ที่ไกลจากบ้านท่านป้าแค่ไหนจึงออกเดินลัดเลาะตั้งแต่พลบค่ำ และบังเอิญ ข้าเดินเฉี่ยวจวนอ๋อง ท่านอ๋องที่ไม่กินเส้นกันเห็นว่าเป็นข้า ด้วยความที่เราไม่ถูกกันอยู่แล้วท่านอ๋องจึง ตั้งใจหาเรื่องข้าข้าก็เลยหาทางเลี่ยงโดยการหนีไปเสีย และท่านอ๋องก็ตามไม่เลิกจนกระทั่งเราทั้งสองเข้ามาในวังหลวงและข้าช่วยฝ่าบาทจากมือสังหารไว้ได้” เงยหน้ามองไปยังฟู่อ๋องที่กำลังมองอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน“อืมมมม แบบนี้นี่เองมิน่าเล่า ฟู่อ๋องจะพูดว่าตามท่านองครักษ์มาก็เกรงว่าจะทำให้คนอื่นมองว่าแค่เรื่องหญิงงามก็ถึงกับต้องห่ำหั่นกันข้าเข้าใจแล้ว ข้าชักอยากจะเห็นหน้า หลานสาวใต้เท้าฉินอิงเอ่อร์เสียแล้วสิ”อู้หลงพูดไปยิ้มไป อู้ตี้กัดฟันจนเป็นสันนูนเจ้า
“ฝ่าบาทป่านนี้ยังจับมือสังหารไม่ได้คงต้องเพิ่มกำลังอารักขา อย่างแข็งขัน”ใต้เท้าเหวิน ที่คุมกองกำลังองครักษ์ก้าวออกมาตรงหน้าอู้หลงฮ่องเต้ นั่งบนบัลลังก์มังกร ข้างๆเป็นกัวหลงหลงที่ยืนทำท่าทีแข็งขัน“มือสังหารเข้านอกออกในได้ง่ายดายราวกับคุ้นเคยกับวังหลวงเป็นอย่างดีไม่แน่ว่าอาจจะมีคนในหนุนหลัง” ใต้เท้าฉินเอ่ยปากดังๆ“ถึงกับลอบสังหารฝ่าบาทช่างอาจหาญยิ่งนัก มุ่งหวังในบัลลังก์อย่างไม่ต้องสงสัย”ไท่จืออู้ตี้ใช้คำพูดยุยง“บังอาจ กล้าเอ่ยคำว่ามุ่งหวังในบัลลังก์ เจ้าตั้งใจหมายถึงใครอู้ตี้”อู้หลงฮ่องเต้เต็มไปด้วยโทสะ“เสด็จพ่ออู้ตี้พูดความจริง บัลลังก์มังกรใครบ้างไม่มุ่งหวังนอกจากลูกที่เป็นถึงไท่จือใครๆก็ล้วนแต่ต้องการบัลลังก์ โดยเฉพาะคนที่พลาดหวังในบัลลังก์”ฟู่ฉวีช่ายยิ้มเย็น“ไท่จือท่านพูดแบบนี้ เหมือนจงใจใส่ร้ายท่านอ๋องฟู่ที่เป็นอนุชาของฝ่าบาท”อู้หลงตบโต๊ะเบื้องหน้าดังลั่น“จริงอย่างที่ใต้เท้าฉินกล่าวหรือไม่ อู้ตี้อย่ากล่าวหาลอยๆ”ฟู่อ๋องยังมีท่าทีเฉยชา กัวหลงหลงเหลือบตามองท่าทีของฟู่อ๋อง“จะมีสักกี่คนที่ ….ยามจื่อแต่ทว่ากลับเดินเล่นรับลมจนมาถึงวังหลวงทั้งที่จวนอ๋องห่างออกไปเกือบครึ่งลี้”
โน้มตัวลงใกล้สุดใกล้“ได้หรือ เจ้ายินดีแต่งกับข้าเลยไหมเล่าหากเจ้ายินดีข้าก็พร้อมที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลขออนุญาตแต่งเจ้า”น้ำเสียงราวกับผู้ชนะจิงเชียวย่นจมูก“ไม่มีทาง ชายาเอกท่านหายไปนอกจากไม่ติดตามถามข่าวท่านยัง…คิดแต่งชายาใหม่ข้าไม่มีทางยอม”คราวนี้ฟู่อ๋องรู้ทันทีว่าตัวเขาคือผู้ชนะอย่างแท้จริง“จะติดตามทำไมในเมื่อข้าพบนางแล้ว หรือเจ้าว่าข้าโง่ถึงกับมองไม่ออก”กระซิบข้างหูให้ได้ยินเพียงแค่สองคน“อย่ามาพูดแบบนี้นะ ท่านก็แค่ก็แค่……เห็นหญิงงามไม่ได้ก็เท่านั้นท่านมันคน …คนไม่ซื่อตรงต่อชายาของท่านคนใจโลเล”ฟู่อ๋องถอนหายใจยาว“ยอม ข้ายอมให้เจ้า จะว่าอย่างไรก็เชิญเจ้าตามสะดวก”“ท่านอาฟู่อ๋อง วันนี้ว่างจากราชกิจมายุ่ง อุ๊ยข้าใช้คำผิด ให้เกียรติมาดูแลความเรียบร้อยของการรับตัวผู้เข้าคัดตัวนางในด้วยตัวเองกลัวว่าอู้ตี้จะไร้สามารถทำการโดยลำพังหรือไร”“ข้ามาเพื่อนาง ข้ามาเพื่อคนของข้า”อู้ตี้ยิ้มหยัน“คุณหนู แซ่กัว มาคัดตัวนางในตอนนี้มีรายชื่ออยู่ในระเบียนผู้เข้าคัดตัวแล้วเท่ากับคุณหนูกัวเป็นคนของวังหลวงท่านอาจะอุปโลกน์ว่านางเป็นคนของท่านอาโดยอาศัยอำนาจอ๋องฟู่เช่นนั้นข้าในฐานะผู้ดูแลการคัดตัวนางใน
กัวหลงหลงพยักหน้าขึ้นลงยิ้มมุมปาก"ท่านยินดี ช่วยไท่จือหรือไม่”“จะให้ข้าช่วยอย่างไร”กัวหลงหลงแสร้งโง่“ท่านก็แค่พูดเหมือนที่ข้าสงสัย และช่วยชี้ให้เห็นว่าจะมีกี่คนกันที่เข้ามาพอดีกับที่ฝ่าบาทกำลังถูกลอบสังหาร”“ได้ๆๆๆ แต่ข้าหวังว่าสิ่งที่ข้าทำครั้งนี้จะช่วยไท่จือผู้บริสุทธิ์ให้พ้นมลทินได้”ขันทีเจ้าเล่ห์ยิ้ม“ครั้งนี้ถือว่าเป็นบุญคุณ ไท่จือรับปากว่าหากท่านช่วยแก้ต่างให้กับไท่จือ ต่อไปหากท่านมีสิ่งใดที่รับมือไม่ไหวหรืออยากจะได้ ไท่จือยินดีให้ท่านตามที่ขอ”“ข้าจะจำใส่ใจ ข้าก็แค่คนบ้านป่า ได้รับใช้ไท่จือนับว่าเป็นบุญของข้ายิ่งแล้ว”จวนอ๋อง“ท่านอ๋องไม่เคยเหลียวแลข้าทั้งที่ ข้าไม่ได้อัปลักษณ์หรือน่ารังเกียจตรงไหนเจ้าช่วยข้าหาเหตุผลว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงไม่สนใจไยดีข้าเหมือนที่ควรจะเป็นเมื่อคืนข้าเปลือยกายตรงหน้าเขากลับเลือกที่จะวิ่งตามงูที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทางไหน”สาวใช้ข้างกายเสี่ยวฟางก้มหน้าถอนหายใจพูดอ้อมแอ้ม“พระชายา บางทีท่านอ๋องอาจมีบางอย่างในใจ หรือไม่อาจจะสืบรู้ว่าเอ่อ เอ่อพระชายาเป็นคนของไท่จือมาก่อนแล้ว”จิงชินขมวดคิ้ว“เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้เป็นความลับอย่างที่สุด มีแค่ข้ากับเจ้าเท่
ลู่เยว่ยืนรีรอหน้าห้องพักของจิงเชียว“คุณหนูขอรับ”จิงเชียวยิ้ม สาวเท้ามาหยุดตรงหน้าลู่เยว่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าดีใจอย่างที่สุด“อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง”ลู่เยว่เพียงแค่ยิ้ม กัวหลงหลงเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่บำเพ็ญเพียรและมีคุณธรรมมาตลอด การบำเพ็ญเพียงสู่จุดสูงสุดแล้ว อาวุธไม่อาจทำร้ายได้ จึงไม่มีอะไรน่าห่วง เขาไปถึงกัวหลงหลงก็ฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วที่ที่สำคัญนั้นเป็นเพราะฝ่าบาทที่ให้คนคอยดูแลจนกัวหลงหลงไม่อาจขยับตัวและหนีออกจากวังหลวงมาได้สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือ อยู่เฉยๆเสียในวังหลวงมีม่านอาคมที่ไม่อาจแปลงกายได้ตามใจ อีกทั้งป้ายหยกที่ฝ่าบาทแขวนไว้ยังทำให้กัวหลงหลงอ่อนแรง“คุณชายเอ่อท่านอาจารย์ของคุณหนูปลอดภัยแล้ว บอกให้ลู่เยว่ส่งข่าวคุณหนู ว่าอีกไม่นานจะหาทางออกมาพบคุณหนูไม่ให้เป็นห่วง”“เฮ้อ โล่งใจที่สุด ดีจังอาจารย์ปลอดภัยแล้วพรุ่งนี้ข้าจะต้องเข้าวังก็คงได้พบกันที่นั่น ลู่เย่วแจ้งข่าวบอกท่านแม่เสียจะได้ไม่สงสัยว่าอาจารย์หายไปไหน”“ลู่เยว่กับอาจารย์ปรึกษากันแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาททรงห่วงใยคุณชายกัวมากจึงไม่ให้ไปไหน บางทีคุณหนูควรจะพูดกับท่านแม่คุณหนูแทนคุณชาย"จิงเชียวยิ้มเจื่อนๆ ก็ฟู่อ๋อ
“แต่นี่ข้าทำให้ท่านกงฉือโดยเฉพาะ ท่านอ๋องไม่ควรจะกินมันในเมื่อท่านกงฉือเองก็บาดเจ็บและไม่มีโอกาสได้กิน” ฟู่อ๋องยิ้มเศร้าๆ“อิจฉาจริง กงฉือผู้นั้น มาไม่ทันไรใครต่อใครต่างรุมเอาใจเขาแม้กระทั่งฝ่าบาทที่วิ่งวุ่นหาหมอหายา แล้วยังบัญชาให้ข้าคอยดูแลเขา ไหนจะคุณหนูอิงเอ่อร์ที่ใส่ใจแม้กระทั่งอาหารการกิน”จิงเชียวยิ้มแห้งๆ เหมือนจะนึกขึ้นได้“เอาแบบนี้ดีไหมข้าไปทำอาหารง่ายๆ ให้ท่านอ๋องสักสองสามอย่าง ท่านอ๋องชอบกินอะไรเป็นพิเศษ”จิงเชียวก็คือจิงเชียวนางไม่เคยโกรธใครนางไม่เคยไม่ดีกับใคร“ข้าครั้งหนึ่งเคยทำ กุ้งผัดซอสเฉฉวนให้คนที่ข้าคิดว่านางคือหญิงหนึ่งในใจ นางกินมันด้วยความเอร็ดอร่อย และตั้งแต่นั้นมาเมื่อพบกันในทุกๆ ครั้งนางมักจะให้ข้าทำกุ้งผัดซอสเฉฉวนให้เป็นประจำและนางจะชวนข้ากินทุกครั้งนางบอกว่ามันรสดีที่สุดแต่ข้ามักจะโกหกนางว่า ข้าไม่ชอบกินกุ้งทั้งๆ…ที่ ข้าไม่อยากจะแย่งนางเห็นนางกินก็มีความสุขแล้วได้นั่งมองนางกินของที่ข้าตั้งใจทำให้ก็มีความสุขแล้ว จนกระทั่งข้าต้องไปรบสามปีจึงไม่เคยได้นั่งมองนางกินกุ้งผัดซอสเฉฉวนฝีมือข้าอีกเลย”จิงเชียวน้ำตารื้นขอบตา ก็เรื่องที่ฟู่อ๋องพูดมาเป็นเรื่องราวระหว่างฟ
“เขาไปไหนของเขากันนะ”จิงเชียวเดินรอบๆ ห้องพักลู่เย่วประสานมือตรงหน้า“คุณหนู เออองค์ เอ่อคุณชายออกไปตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้ยังไม่กลับมา”สีหน้าเป็นกังวลไม่น้อย“แล้วทำไมท่านไม่ติดตามท่านอาจารย์ไปเล่า”จิงเชียวพูดตามความจริง“เอ่อคุณชายไม่ให้ลู่เยว่ตามไป”จิงเชียวถอนหายใจ“พวกท่านทั้งสองคนมีอะไรที่จะบอกข้าไหม เรื่องราวที่ผ่านมายังไม่ได้รับความกระจ่าง”ลู่เย่วรีบหลบตา“บอกมาอย่าปิดบังข้า”ลู่เยว่ ก้มหน้านิ่งกำลังจะหาทางออกว่าควรจะแก้ตัวว่าอย่างไรไม่ได้ซักซ้อมไว้กับกัวหลงหลง“คุณหนูอิงเอ่อร์ที่เป็นแขกของบ้านฉิน มีน้ำใจยิ่งนักยกอาหารเช้าให้กับแขกของบ้านฉิน”ร่างสูงชะลูดของฟู่อ๋องเอามือไพล่หลังเดินมาจากด้านหน้าบ้านฉิน“ขอบคุณท่านอ๋องที่เอ่ยชม ความจริงจิง..อิงเอ่อร์ก็ดีกับทุกคนไม่เว้นใครท่านอ๋องลองมาเป็นแขกที่บ้านฉินดูจะดีไหม”ยิ้มสดใสแววตาใสซื่อฟู่อ๋องถอนหายใจยาว“ข้ามาส่งข่าวเรื่องหลานของฮูหยินฉินกงฉือ ที่บัดนี้พักรักษาตัวที่วังหลวงด้วยอาการบาดเจ็บ”จิงเชียวหน้าซีดเผือดยกมือขึ้นกุมที่อก“อะอะอุ๊ป”ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ฟู่อ๋องสังเกตท่าทีตื่นตกใจนั้นตลอดเวลา“อี้เหลียว ข้าจะเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้