การหารือจบลงง่ายดายสินสอดไม่ได้สำคัญทว่าฟู่อ๋องก็ตั้งใจมอบสินสอดเสียมากมายเพราะแต่งถึงสองชายาในคราวเดียว
อาหารกลางวันยกมาขึ้นโต๊ะ ไม่ได้มีของที่จิงเชียวโปรดปรานแม้แต่อย่างเดียวถึงกระนั้นจิงเชียวก็ยัง รู้ว่าท้องของตัวนางเองร้องโครกคราก
ฟู่อ๋อง ท่านฉิน ฮูหยินฉินและจิงเชียว จิงชินนั่งร่วมโต๊ะ
ท่านฉินกับฮูหยินฉินใช้ตะเกียบคีบหมูชิ้นเล็กในผัดผักแปดอย่างให้กับจิงเชียวเสียพร้อมกัน
“ขอบคุณท่านพ่อกับท่านแม่”
อ๋องฟู๋กลับคีบเอาผักวางในถ้วยข้าวให้กับจิงเชียว
“ขอบคุณพี่อ๋องฟู่”
ฝืนใจ คีบผักใส่ปากเคี้ยวราวกับว่าเอร็ดอร่อย ฟู่อ๋องหันไปคีบหมูส่งให้จิงชินบ้าง
“เจ้าผอมเกินไป”จิงชินก้มหน้าเขินอาย
“ขอบคุณท่านอ๋อง”เสียงหวานราวกับน้ำผึ้งสด พร้อมกับรอยยิ้มตรึงใจ
อาหารมื้อนั้นผ่านไปราวกับว่าเวลามันผ่านไปช้าเหลือเกิน จิงเชียวหิวจนตาลายแต่กินได้เพียงน้อยนิด
สามวันผ่านไป
อาภรณ์แดงที่ห่อหุ้มร่างกาย อวบอ้วนนั้นมองไปราวกับโคมไฟสีแดงที่ประดับอยู่หน้าจวนและบริเวณทั่วไปในจวน
“คุณหนูเจ้าขาของอร่อยมาแล้วเจ้าค่ะ”
อี้เหลียวยกอาหารเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
“วันนี้มีงานมงคลของกินมากมาย อีกสักพักจะถึงเวลาเข้าหอแล้ว คุณหนูจะต้องนั่งรอท่านอ๋องในนี้”
จิงเชียวยิ้มเจื่อนๆ
“ข้า ข้าต้องอยู่ด้วยหรือ อี้เหลียวเจ้าอยู่กับข้าหรือไม่ก็ให้ข้าไปกับเจ้าได้ไหม”
“คุณหนูเจ้าขาคืนนี้คืนเข้าหอของคุณหนูกับท่านอ๋อง สามีภรรยาจะต้องอยู่ด้วยกันสองคนเจ้าค่ะ อี้เหลียวเป็นคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้”
“ขะขะข้า จะต้องทำอะไรบ้าง”บิดมือไปมา
อี้เหลียวถอนหายใจเวทนายิ่งนัก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีภรรยาจะต้องปฏิบัติต่อกันอย่างไรในคืนเข้าหอ เพราะโลกของจิงเชียว มีเพียงเรื่องขาวสะอาดที่ทุกคนล้วนเห็นว่าจิงเชียวเหมาะกับมัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าสามีมาหรือไม่มาในคืนเข้าหอ ภรรยาจะรู้สึกอย่างไรสิ่งที่อี้เหลียวกลัวที่สุดคือท่านอ๋องไม่มาหาคุณหนูใหญ่จิงเชียวเอาแต่คลุกอยู่กับชายารองที่งดงามอ่อนหวานน่าทะนุถนอมมากกว่าคนนั้นทั้งคืน ดีแต่ว่าคุณหนูใหญ่ของอี้เหลียว ไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนี้เพราะไม่มีใครถามนางในเช้าวันต่อมาแน่ๆ
“ถึงเวลาท่านอ๋องจะบอกคุณหนูเองเจ้าค่ะ”
“แค่กอดกันใช่ไหม กอดเหมือนที่ข้าเคยกอดเจ้ากับท่านแม่ใช่ไหมอี้เหลียว”อี้เหลียวยิ้มเศร้าๆ
“นั่งรอที่นี่เจ้าค่ะกินเสร็จแล้วอี้เหลียวจะเก็บจานชามแล้วออกไป คุณหนูนั่งรอท่านอ๋องในนี้นะเจ้าคะพรุ่งนี้อี้เหลียวจึงจะมา”
จิงเชียวเช็ดปากที่เต็มไปด้วยคราบอาหาร ดื่มน้ำชาอุ่นๆ
“เอาล่ะ ข้าจะตั้งตารอท่านพี่อ๋องฟู่ อย่างตั้งใจ”อี้เหลียวยิ้มแล้วจากห้องไป
ครึ่งชั่วยามผ่านไปจิงเชียวปิดปากหาวแก้มยุ้ยดวงตากำลังจะปิดลงด้วยอาหารที่กินเข้าไปจำนวนมากส่งผลให้ร่างกายอยากจะพักผ่อน เอนกายลงนอนบนแท่นนอนที่สั่งทำเป็นพิเศษ กำลังจะเข้าสู่นิทรารมณ์
เสียงฝีเท้าดังอยู่ด้านนอก บานประตูที่ประดับด้วยริ้วผ้าสีแดง เปิดอ้าออกช้าๆ พร้อมกับลมหนาวพัดลอดเข้ามา ร่างสูงชะลูดก้าวขาเข้ามาในห้อง
หยุดยืนที่ข้างแท่นนอน
“จิงเชียวน้อย”
เอื้อมมือเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงที่คลุมใบหน้าอ้วนออกช้าๆ
“พี่อ๋องฟู่”ฟู่อ๋องไม่มีแม้รอยยิ้ม
จิงเชียวพยุงกายลุกขึ้นจากท่านอนตะแคงที่ไม่อยากนักหากนอนหงายจึงยากต่อการลุกจากแท่นนอนจำต้องใช้คนพยุงและอี้เหลียวจะมาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นเหมือนครั้งที่จิงเชียวล้มลงไปในวันที่ร่ายรำวันนั้นจึงเรียนรู้ที่จะนอนตะแคง
ขยับตัวนั่งห้อยขา
“เจ้าพักผ่อนเถิด”
“ท่านพี่อ๋องฟู่เป็นห่วงข้าด้วย”
ยิ้มแก้มปริ ยกแขนขึ้นโอบกอดรอบลำตัวของอ๋องฟู่ใบหน้าอ้วนอยู่ที่หน้าท้องของอีกคนพอดี
“หือออ เจ้ากำลังทำข้าหายใจไม่ออกปะปล่อยข้าก่อนดีไหม”จิงเชียวรีบคลายอ้อมกอด
“ได้ๆๆ อี้เหลียวบอกข้าว่า ท่านพี่อ๋องฟู่จะบอกข้าเองว่าต่อไปจะต้องทำอย่างไรในคืนเข้าหอ ก่อนอื่นข้าต้องปล่อยท่านใช่ไหม ข้าน่ะสงสัยมานานแล้วว่าคืนเข้าหอเขาจะต้องทำอะไรกันบ้าง ข้าเห็นว่าพวกสาวใช้มักหัวเราะกันคิกคักเมื่อพูดถึงคืนเข้าหอแล้วสาวใช้ของน้องรองจิงชินนางก็พูดเสียน่าขันว่า ท่านพี่อ๋องฟู่จะทำอะไรข้าได้ ในคืนเข้าหอนางหัวเราะขบขัน ข้ายังขำไปกับนางไม่เข้าใจที่พวกนางพูดแม้แต่น้อย แต่เห็นไหมข้ากอดท่านพี่อ๋องฟู่ได้ แล้วท่านพี่อ๋องฟู่ก็…..”
ฟู่อ๋องฉวีช่าย สวมกอดร่างอ้วนตุ๊ต๊ะไว้แนบแน่น
จิงเชียวเสียอาการพูดรัวเร็วเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตื่นเต้นและใจที่สั่นรัวซึ่งจิงเชียวไม่รู้ว่าใจทำไมถึงสั่นรัวราวกับมีคนตีกลองในนั้น
"พี่อ๋องฟู่กอดข้าลำบากใช่ไหม เอาแบบนี้ต่อไปข้าจะกินให้น้อยลง"ยิ้มตาหยี
“ข้าแค่จะมาบอกเจ้าว่า…ข้าจะต้องไปที่ห้องของจิงชินแล้วเจ้าพักผ่อนเสีย”จิงชินยิ้มดวงตาสุกใส
“ท่านพี่อ๋องฟู่ดีกับข้าจริงๆ ความจริงไม่ต้องมาบอกข้าก็ได้ น้องรองก็เหมือนกับข้าที่ย้ายที่นอนใหม่นางอ่อนแอกว่าข้า นางจะต้องหวาดกลัวแน่ เมื่อก่อนตอนนางยังเด็กข้ามักจะปลอบนางเพราะนางกลัวเวลากลางคืน นางมักจะสะดุ้งตื่นแล้วร้องไห้ถามถึงแม่ของนาง ข้ามักจะปลอบน้อง ตอนนี้นางเองก็คงกลัวเพราะแปลกที่ พี่อ๋องฟู่ไปอยู่เป็นเพื่อนนางเถิดส่วนข้ากำลังจะนอนไม่ต้องห่วงข้าหรอก”
อี้เหลียวมือไม้สั่นคุณหนูจิงเชียวอยู่ในโลกงดงามของนางอย่างมีความสุข แต่คุณหนูรองที่ทำเหมือนทองเนื้อดีกลับมาทำให้คุณหนูจิงเชียวของอี้เหลียวรู้สึกเจ็บปวดและยังต้องเอ่ยปากยกโทษให้คุณหนูรองผู้นี้อีกหรือ“หืมมม ทำไมต้องมีชายาเอกชายารอง แล้วเจ้าจะเก็บท่านพี่อ๋องฟู่ไว้ทำไมข้าไม่ได้หวงเจ้าเสียหน่อย ท่านพี่อ๋องฟู่เป็นสามีของเราทั้งสองคนเท่าๆ กัน ข้าให้เจ้าไปเลยก็ได้ แต่ไม่ได้สิท่านพ่อจะดุเอา แต่จิงชินเจ้ารู้ไหมเขาก็ดีกับข้าแม้ข้าจะอ้วนจนเขากอดไม่มิดเขาก็ยังกอดข้า น้องรองเจ้าอย่าคิดมากไปเลย ข้าเสียอีกเมื่อคืนเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะกลัวเพราะแปลกที่เลยคะยั้นคะยอให้ท่านพี่อ๋องฟู่ไปนอนกับเจ้าคอยปลอบเจ้าให้หายกลัว ดีใจจังท่านพี่อ๋องฟู่เชื่อข้า ยอมไปค้างกับเจ้าดังที่ข้าบอก ข้าละนึกกลัวว่าท่านพี่อ๋องฟู่จะปล่อยให้เจ้านอนคนเดียวยามดึกแอบออกมาเสียอีก”น้ำเสียงไม่ได้แสดงว่าอยากจะโอ้อวดอะไรเหมือนกำลังเล่าเรื่องทั่วไปเสียมากกว่า อี้เหลียวเบือนหน้ากลั้นขำนี่สิถึงจะเรียกว่าทองแท้ตกน้ำก็ไม่ไหลตกไฟก็ไม่ไหม้จิงชินตาลุกวาวเพราะเมื่อคืนได้ยินชัดเรื่องที่อ๋องฟู๋พูดว่า..พี่สาวเจ้าบอกว่าเจ้ากลัวความมืด…“เช่นนั้นข้าก็
"อี้เหลียวแล้วเจ้าว่าท่านพี่อ๋องฟู่จะดีใจไหมที่ข้ายอมทำเพื่อเขาโดยการอดอาหาร”อี้เหลียว นิ่งงันด้วยไม่อาจเดาใจได้ว่าฟู่อ๋องจะรู้สึกเช่นไรเมื่อเห็นว่าหญิงอ้วนที่เป็นชายาเอก ยอมลำบากเพื่อเขาหรืออาจจะแค่นึกขำที่อีกคนพยายามในสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้“ก็ ก็คงดีใจเจ้าคะหรือไม่ก็อาจแค่ รู้ว่าคุณหนูตั้งใจทำเพื่อท่านอ๋องแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูจริงจังแค่ไหน”“จริงจังสิข้าจริงจังแน่นอน”เช่นนั้นคุณหนูจะต้องออกไปเดินเสียหน่อย กินน้อยขยับตัวบ้างจึงจะได้ผอมลง”จิงเชียวพยักหน้าขึ้นลง“จริงด้วยข้ากำลังจะตายแล้วปวดหลังและตะคลิวกำลังจะกินแขนขาข้า”อี้เหลียวมาพยุงจิงเชียวให้เดินออกไปจากห้องที่ภายนอกเป็นสวนสวย ที่ตกแต่งอย่างดงาม เข้ากับตัวเรือนพักของจิงเชียวที่อยู่ตรงกลาง ทางเดินถูกปูด้วยหินกวาดสีขาวตัดกับตัวเรือนสีหน้าตาลปนแดงดอกไม้หลากหลายสีสัน เบ่งบานแข่งกัน“ท่านพี่อ๋องฟู่กลับจากวังหลวงหรือยัง”“คุณหนูอยากจะพบท่านอ๋องหรือเจ้าค่ะ”"ข้า…ข้าแค่รู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้านเดียวกันกับท่านพี่อ๋องฟู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่บ้านเดียวกัน"อี้เหลียวถอนหายใจ"ไปรับท่านอ๋องกันเถิดค่ะป่านนี้คงใกล้จะถึงจวนอ๋องแล้ว"พยุงร่างอ้วนไปที่
กลัวว่าจิงเชียวจะคิดมากจึงหาทางโน้มน้าวจิตใจ“จริงของเจ้านะอี้เหลียว แสดงว่าอี้เหลียวเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ใช่ไหมจึงยอมช่วยข้าอย่างไม่ลังเล ไม่กลัวว่าข้าจะล้มทับเหมือนที่น้องรองพูด”อี้เหลียวถอนหายใจคุณหนูจิงเชียวไม่ใช่คนโง่ค่ำคืนมืดมิดอี้เหลียวดับไฟห้องทั้งๆที่จิงเชียวยังนอนลืมตาโพลง“อี้เหลียว ข้านอนไม่หลับ ข้าอยากจะไปถามท่านพี่อ๋องฟู่เสียตอนนี้เลยว่าหากข้าผอมกว่านี้แล้วข้าจะล้มเขาจะรับข้าไหม”อี้เหลียวถอนหายใจในเมื่อเรื่องนี้คงฝังใจจิงเชียวไม่น้อยครั้งแรกในงานแซยิดท่านฉินนั้นพอจะอภัยได้ แต่ครั้งที่สองนี้ สองครั้งแล้วนะนางยังจะอภัยก็นับว่าโง่งม“นอนเถิดเจ้าค่ะเมื่อเย็นกินเข้าไปน้อยเกรงว่าจะ ทำให้หิวตอนดึกรีบนอนเสียจะได้ไม่หิว”จิงเชียวเม้มปากอ้วน“ข้าจะไปที่ห้องท่านพี่อ๋องฟู่”ลุกขึ้นนั่งห้อยข้ากับแท่นนอน“คุณหนูจะไปทำไมเจ้าค่ะไปถามก็น่าจะรู้คำตอบ ท่านอ๋องก็คงบอกว่าจะรับหากคุณหนูตัวผอมกว่านี้ เมื่อบ่ายท่านอ๋องก็พูดไว้ชัดเจนแล้วว่าอยากช่วยก็ไม่อาจช่วย”จิงเชียวหยิบเสื้อคลุมกันหนาวยื่นส่งอี้เหลียวมาสวมให้“คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าค่ะ”“ข้า อยากฟังจากปากท่านพี่อ๋องฟู่ในตอนที่อยู่กันเพียงลำพังสอ
“ดีข้าจะถามแบบไม่เกรงใจแล้วนะ บอกไว้ก่อนข้าไม่ใช่คนโกหกข้าเห็นนางจริงๆ แล้วก็ข้าแค่มานี่เพราะอยากถามคำถามหนึ่งจริงๆ ไม่ได้อยากจะ มาเพราะว่าท่านไม่ไปหาข้า หรือเพราะว่าข้า….คิดถึงหรือว่าอะไรทั้งนั้น แต่ข้าแค่อยากจะถามว่า ถามว่า…..ถ้าข้าไม่อ้วนท่านอ๋องท่านจะทำแบบนี้……กับข้าไหม”จิงเชียวสะอื้นไปพูดไปน้ำเสียงขาดห้วง ฟู่อ๋องชะงักงันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที“พี่สาวเรื่องนี้เอาไว้พูดกันอีกที ท่านอย่าคิดมากไปหน่อยเลยเสียสุขภาพเปล่าๆ ข้าพาท่านส่งห้องดีไหม”จิงชินรีบเข้ามาพยุงจิงเชียว ที่สะบัดตัวอ้วนๆ จนพุงกระเพื่อม“ถอดหน้ากากของเจ้าออกมาซะจิงชิน ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ ข้าไม่ดีกับเจ้าหรือไร คิดอย่างไรกับข้าก็บอกมาเลยทั้งสองคน ข้าพร้อมแล้วที่จะฟัง เลิกเสแสร้งได้แล้ว”“พี่สาวท่านจงใจกดดันท่านอ๋องกับข้า ท่านใช้นิสัยเดิมเมื่ออยู่ที่บ้านฉินไม่ได้ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือจวนอ๋อง ท่านควรจะพูดให้ดีกว่านี้ มิใช่ทำท่าทีขึงขังโกรธเคือง สามีก็คือสามีเปรียบดังฮ่องเต้ แล้วท่านอ๋องเองเลือกอะไรได้จะบอกว่าแต่งหรือไม่แต่งกับท่านได้ด้วยหรือในเมื่อเป็นบัญชาฝ่าบาท และเป็นท่านพ่อที่…ยัดเยียดท่านให้กับท่านอ๋อง ข้า อ
สะอื้นดังๆ หูตาที่อวบอ้วนยิ่งบวมเป่งเพราะเอาแต่ปาดน้ำตาที่ไหลมาราวกับเขื่อนแตกก้าวขาตรงไปยังหุบเหวแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล สะอื้นอย่างหนักพวกเจ้าอย่าตัดสินปัญหาคนอื่นว่าเป็นเรื่องเล็ก หากจิงเชียวคิดได้ว่าต้องรักตัวเองรักพ่อแม่ไม่ยอมตาย แล้วเรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจดำเนินต่อไปได้สถานที่ต้องห้าม แม้จะอยู่ไม่ไกลจากเขตวังหลวงเท่าใดนักหากแต่เป็นสถานที่ต้องห้ามบ้างว่ามีวิญญาณที่คอยดูดกลืนพลังชีวิตของผู้คน บ้างว่ามีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่เคยมาที่นี่“ท่านพ่อ ท่านแม่ อี้เหลียว ข้าลาก่อนข้าจะลองกระโดดลงไปดูว่าร่างอ้วนๆ ของข้าจะแหลกเหลวหรือไม่ ชีวิตอ้วนๆ ของข้าไม่มีความหมายใดแล้ว ท่านพี่อ๋องฟู่ที่ข้ารักและศรัทธา กลับมองข้าไร้ค่าน่ารังเกียจ”หลับตาลงช้าๆ ไม่กล้ามองไปยังหุบเหวลึกที่มืดมนเบื้องล่าง“ฮึกๆๆๆๆ ท่าน อย่างไรก็คงไม่มาห้ามข้า หากชาติหน้ามีจริงข้าหวังจะได้พบท่านอีกเช่นเคยหวังจะได้รักท่านอีกเช่นเคย แต่หวังว่าข้าจะไม่อ้วนเหมือนในชาตินี้”ขยับเท้าไปยืนหน้าผา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ“ชาติหน้าข้าจะต้องผอมกว่านี้ใช่ไหมฮึบๆๆๆๆๆๆ”หลับตาปี้ก่อนจะกระโดดลงไปสู่เวิ้งอากาศที่ไม่อาจแบกรับร่างอ้วนเกินขีดจำ
“ข้าอ้วน ข้าคือหญิงอ้วน ข้าไม่อยากเป็นหญิงอ้วน ข้าอยากตาย ให้ข้าตายเถอะ”“เจ้าจะอยากตายทำไม ไหนเล่าให้ข้าฟังว่าเจ้ามีเรื่องคับแค้นแน่นใจอะไร จึงอยากจะตายเพียงนี้”จิงเชียวจ้องใบหน้าหล่อเหลาชั่งใจว่าควรจะเล่าทุกอย่างที่ประสบมาให้ใครไม่รู้ฟังไหม“ข้าลากเจ้าที่หนักราวกับภูเขามาถึงนี่ด้วยความยากลำบาก ข้าช่วยชีวิตเจ้า เท่ากับให้ชีวิต เช่นนั้นหากข้าไม่ให้ตายเจ้าก็ไม่ควรตาย ชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว ข้าอยู่นี่แล้ว หากเป็นข้าข้าจะไม่ลังเลที่จะเล่า”จิงเชียวพรั่งพรูความอัดอั้นและเจ็บปวดออกมาจนสิ้น กัวหลงหลงเพียงพยักหน้าขมวดคิ้วและจุ๊ปากด้วยความหงุดหงิดกับความดีเกินไปของจิงเชียว คนอย่างนางต้องผ่านการขัดเกลาจากเขา“เขาไม่ได้รักเจ้าหรอก เขาพูดแบบนี้เพราะอยากให้เจ้าออกจากชีวิตเขาเสีย อยากให้เจ้าหย่ากับเขาเสีย ว่าแต่ว่า…...เจ้ายังไม่โดนเขากินเต้าหู้เสียเปล่าๆ ใช่ไหม” เดินวนรอบร่างอ้วน“อืมมม เจ้าอ้วนเพียงนี้ใครกันจะกินเต้าหู้ลงได้”“พี่ชายข้าเจ็บปวดใจกับคำว่าอ้วนมากเลยท่านได้โปรดเมตตาอย่าตอกย้ำมัน ละละแล้วข้าก็ไม่มีเต้าหู้ท่านพี่อ๋องฟู่จะกินเต้าหู้ข้าได้ตรงไหน”“เต้าหู้ข้าเปรียบเปรยหมายถึงเจ้ากับเขาเ
"เจ้าก็ตายไปแล้ว หากอยากจะขึ้นไปก็ คงไม่ใช่ฉินจิงเชียวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว รอจนข้าอนุญาตเจ้าจึงจะขึ้นไปได้"ข้างบนนั่นฮูหยินฉินจิงหรานกับท่านฉินเกอร่ำไห้กอดอาภรณ์ของจิงเชียวราวกับน้ำตาจะเป็นสายเลือดอี้เหลียวร้องจนดวงตาแดงก่ำฟู่ชวีฉ่ายอ๋องยืนนิ่งหลุบตามองพื้น"ส่งคนค้นหานางให้ทั่ว ค้นจนกว่าจะพบชายาข้า" จิงชินก้มหน้าทว่าซ่อนยิ้ม"หุบเหวปราบเซียน ไม่มีใครลงไปด้านล่างนั่นแล้วมีชีวิตรอดกลับมา ท่านอ๋องเท่ากับส่งคนไปตาย"เสี่ยวฝาน ออกความเห็น"ตายไปกี่คนก็ส่งลงไปเท่านั้น หรืออยากจะให้ข้าลงไปค้นหาชายาข้าด้วยตัวข้าเอง"เค้นเสียงพูดดวงตาแดงก่ำเสี่ยวฝานก้มหน้า แต่ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ว่าฟู่อ๋องทำไมถึงมีท่าทีโศกเศร้าราวกับ ว่าจิงเชียวคือคนสำคัญบ้านฉิน"ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดี""เป็นความผิดข้าเองที่ผลักไส จิงเชียวให้ต้องไปเผชิญเคราะห์กรรม เป็นข้าที่ทำให้ลูกต้องตาย”“ท่านพี่จะอย่าโศกเศร้าไปให้มากกว่านี้เลย เราสองคนทำดีที่สุดแล้วหากลูกอยู่ที่นี่คงรู้ว่าเราลำบากเพียงใด ที่ต้องทำเพื่อนางมาถึงบัดนี้สามารถแก้ไขอะไรได้”“จิงเชียวลูกต้องทนทุกข์เพียงใดเจ็บปวดเพียงใดถึงกับยอมตายอ๋องฟู่เป็นข้าที่มองเขาผิด
อี้เหลียวเถียงอยู่ในใจว่าที่ทำไปเพื่อให้แน่ใจว่าคุณหนูตายแล้วพวกท่านจึงจะได้วางใจโธ่คุณหนูของอี้เหลียว ดีแล้วที่ไม่ต้องมาทนฟังคำเสแสร้งของคนพวกนี้อีกต่อไปเบื้องล่างหุบเหวปราบเซียน“อะอะจารย์ ข้าตักน้ำใช้เสร็จแล้วจึงจะได้กินข้าวใช่ไหม”“หืมมม กินข้าวหรือที่นี่เราไม่กินข้าวกันข้าปลูกเผือกมัน ไว้กินแทนข้าวความจริงก็อยากจะปลูกข้าวนะแต่ไม่มีเมล็ดพันธุ์”จิงเชียวพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ“อาจารย์ว่าแต่เผือกมันอร่อยดีใช่ไหม”“ถามมากจริง ข้ามีฝีมือด้านการปรุงอร่อยหรือไม่เจ้าลองชิม ข้าไม่เคยขึ้นไปข้างบนมานับสิบปีแล้วอาศัยที่นี่เพียงลำพัง เช่นนั้นการกินอยู่จึงเป็นในแบบง่ายๆ”หากจิงเชียวสังเกตให้ดีจะเห็นว่าอาภรณ์ที่กัวหลงหลงสวมใส่นั้นเป็นผ้าเนื้อดีราคาแพง และตัดเย็บอย่างปรานีต แต่จิงเชียวก็ยอมเชื่อโดยง่าย“จะง่ายหรือยาก แต่ตอนนี้ข้าหิวแล้ว”กัวหลงหลงยิ้ม“มาสิข้าเตรียมของกินไว้ให้เจ้าแล้ว”จิงเชียวยิ้มกว้าง ใบหน้าอ้วนป้อมเริ่มซูบผอมลงด้วยอาการบาดเจ็บและ ไม่มีใครคอยยกอาหารมาให้ตลอดเวลาเหมือนอยู่บนนั้น แล้วยังต้องออกกำลังโดยการยกน้ำ สำหรับใช้กินดื่ม จากลำธารที่ห่างออกไปราวอึดใจใหญ่ๆ ต้องเดินขึ้นลงจาก
อู้ตี้ปากไวเท่าความคิด ทำเอาเหล่าหญิงงามต่างหัวเราะขบขัน จิงเชียวกัดเม้มริมฝีปากแน่นฟู่อ๋องอมยิ้มกับดอกท้อสีแดงสดตรงกลางผ้าสีขาวสะอาดดอกท้อสีแดงโดดเด่นบนนั้นเหมือน จิงเชียวในตอนนี้ยิ่งแน่ใจว่านี่คือจิงเชียวน้อยของเขาที่กี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยนนางปักได้เพียงดอกท้อสีแดงตั้งแต่เก้าขวบกัวหลงหลงดึงเอาผ้าขาวจากมือฟู่อ๋อง"งดงาม งดงามจริงๆ ช่างเป็นดอกท้อที่แตกต่างแต่มีมนต์ขลังพวกท่านเห็นไหม ไม่ใช่ใครจะปักลวดลายแบบนี้ได้ง่ายๆ งดงามแต่เรียบง่าย ธรรมดาแต่น่าจดจำ"หญิงงามที่กำลังซุบซิบต่างเงียบเสียงมองไปที่ดอกท้อสีแดงสดเพียงดอกเดียวนั้น"ท่านองครักษ์ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ เช่นไรจึงได้กล่าวชื่นขมเพียงแค่คนที่ทำอะไรง่ายๆอย่างนี้ นางไร้ความสามรถท่านยังเอ่ยชมเห็นว่านางมีใบหน้างดงามเป็นต่อพวกเราหรือไร"บุตรีของขุนนางใหญ่แซ่จือกล่าวติเตือนกัวหลงหลง"หืม. ..พวกเจ้าล้วนคิดว่าลวดลายงดงาม เท่านั้นที่จะผ่านการคัดเลือก จริงๆแล้วการที่ใครสักคนใส่ใจงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น รู้จักพลิกแพงนั่นนับว่าหลักแหลมยิ่งแล้ว เขาสั่งให้ปักจึงปัก ลวดลายสะท้อนความเป็นตัวตนนางเป็นง่ายๆ ทว่าก็ทำตามกฎ"อู้หลงฮ่องเต้ก้าวเข
“เสด็จพ่อแค่นี้ก็ยากจะตัดสินใจแล้วยังจะให้เขามาช่วยสังเกตการณ์เรื่องใดกันเล่า”ออกอาการเพราะเรียกรับผลประโยชน์จากบรรดาพ่อๆที่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปแล้วว่าจะให้บุตรีของขุนนางกังฉินทั้งหลายผ่านการคัดตัวนางในปีนี้“ฝ่าบาท หลายคนเหมาะแล้วพ่ะย่ะค่ะไท่จือก็ยังอ่อนประสบการณ์ท่านอ๋องเองก็เก่งแต่เรื่องรบรา ท่านองครักษ์กัวหน่วยก้านไม่เลวบางทีหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”ใต้เท้าเหวินที่เป็นขุนนางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดรีบสนองกัวหลงหลงยิ้มเปลี่ยนเรื่องราวตึงเครียดให้กลายเป็นเรื่องการคัดตัวนางในเสียทุกคนต่างลืมเลือนเรื่องการลอบสังหารไปเสียสิ้น แต่คนผู้หนึ่งที่ไม่ลืม นั่นก็คืออู้หลงฮ่องเต้ตำหนักกุ้ยฮวาสำหรับคัดตัวนางใน ลานกว้างที่ปูด้วยหินสีขาวสะอาดเหล่านางกำนัลสวมใส่อาภรณ์ของนางกำนัลฝึกหัด อวดรูปร่างอ้อนแอ้นของแต่ละนางไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจิงเชียวงดงามทั้งรูปร่างและใบหน้าที่หาใครเทียบเคียงได้พวกนางต่างกำลัง นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยของแต่ละนางบรรจงปักลวดลายลงบนผ้าขาวด้วยด้ายหลากสีเพื่อให้อวดฝีมือด้านหารเย็บปักคราวนี้เองไม่บอกก็รู้ว่า งานเย็บปักของจิงเชียวไม่ได้เรื่องแค่ไหน“หมดเวลาาาาาา”เวลาหนึ่งชั่วยามที
“พ่ะย่ะค่ะ เอ่อเรื่องมีอยู่ว่า กงฉือพำนักที่บ้านท่านป้าฉินตั้งใจจะเข้ามาสอบจอหงวน และบังเอิญได้พบท่านอ๋องและก็บังเอิญอีกเช่นกันที่ท่านลุงฉินมีหลานสาวที่กำลังจะเข้ามาคัดตัวนางในนามว่าอิงเอ่อร์งดงามที่สุดในสามแคว้น และเราสองคนข้าหมายถึงท่านอ๋องกับข้าเราจึงไม่ต้องชะตากัน เพราะหญิงงามแล้วบังเอิญอีกครั้งที่ข้า เป็นคนที่นอนไม่หลับอยากจะรู้ว่าวังหลวงของแคว้นเป่ยฉียิ่งใหญ่เพียงใด และอยู่ที่ไกลจากบ้านท่านป้าแค่ไหนจึงออกเดินลัดเลาะตั้งแต่พลบค่ำ และบังเอิญ ข้าเดินเฉี่ยวจวนอ๋อง ท่านอ๋องที่ไม่กินเส้นกันเห็นว่าเป็นข้า ด้วยความที่เราไม่ถูกกันอยู่แล้วท่านอ๋องจึง ตั้งใจหาเรื่องข้าข้าก็เลยหาทางเลี่ยงโดยการหนีไปเสีย และท่านอ๋องก็ตามไม่เลิกจนกระทั่งเราทั้งสองเข้ามาในวังหลวงและข้าช่วยฝ่าบาทจากมือสังหารไว้ได้” เงยหน้ามองไปยังฟู่อ๋องที่กำลังมองอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน“อืมมมม แบบนี้นี่เองมิน่าเล่า ฟู่อ๋องจะพูดว่าตามท่านองครักษ์มาก็เกรงว่าจะทำให้คนอื่นมองว่าแค่เรื่องหญิงงามก็ถึงกับต้องห่ำหั่นกันข้าเข้าใจแล้ว ข้าชักอยากจะเห็นหน้า หลานสาวใต้เท้าฉินอิงเอ่อร์เสียแล้วสิ”อู้หลงพูดไปยิ้มไป อู้ตี้กัดฟันจนเป็นสันนูนเจ้า
“ฝ่าบาทป่านนี้ยังจับมือสังหารไม่ได้คงต้องเพิ่มกำลังอารักขา อย่างแข็งขัน”ใต้เท้าเหวิน ที่คุมกองกำลังองครักษ์ก้าวออกมาตรงหน้าอู้หลงฮ่องเต้ นั่งบนบัลลังก์มังกร ข้างๆเป็นกัวหลงหลงที่ยืนทำท่าทีแข็งขัน“มือสังหารเข้านอกออกในได้ง่ายดายราวกับคุ้นเคยกับวังหลวงเป็นอย่างดีไม่แน่ว่าอาจจะมีคนในหนุนหลัง” ใต้เท้าฉินเอ่ยปากดังๆ“ถึงกับลอบสังหารฝ่าบาทช่างอาจหาญยิ่งนัก มุ่งหวังในบัลลังก์อย่างไม่ต้องสงสัย”ไท่จืออู้ตี้ใช้คำพูดยุยง“บังอาจ กล้าเอ่ยคำว่ามุ่งหวังในบัลลังก์ เจ้าตั้งใจหมายถึงใครอู้ตี้”อู้หลงฮ่องเต้เต็มไปด้วยโทสะ“เสด็จพ่ออู้ตี้พูดความจริง บัลลังก์มังกรใครบ้างไม่มุ่งหวังนอกจากลูกที่เป็นถึงไท่จือใครๆก็ล้วนแต่ต้องการบัลลังก์ โดยเฉพาะคนที่พลาดหวังในบัลลังก์”ฟู่ฉวีช่ายยิ้มเย็น“ไท่จือท่านพูดแบบนี้ เหมือนจงใจใส่ร้ายท่านอ๋องฟู่ที่เป็นอนุชาของฝ่าบาท”อู้หลงตบโต๊ะเบื้องหน้าดังลั่น“จริงอย่างที่ใต้เท้าฉินกล่าวหรือไม่ อู้ตี้อย่ากล่าวหาลอยๆ”ฟู่อ๋องยังมีท่าทีเฉยชา กัวหลงหลงเหลือบตามองท่าทีของฟู่อ๋อง“จะมีสักกี่คนที่ ….ยามจื่อแต่ทว่ากลับเดินเล่นรับลมจนมาถึงวังหลวงทั้งที่จวนอ๋องห่างออกไปเกือบครึ่งลี้”
โน้มตัวลงใกล้สุดใกล้“ได้หรือ เจ้ายินดีแต่งกับข้าเลยไหมเล่าหากเจ้ายินดีข้าก็พร้อมที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลขออนุญาตแต่งเจ้า”น้ำเสียงราวกับผู้ชนะจิงเชียวย่นจมูก“ไม่มีทาง ชายาเอกท่านหายไปนอกจากไม่ติดตามถามข่าวท่านยัง…คิดแต่งชายาใหม่ข้าไม่มีทางยอม”คราวนี้ฟู่อ๋องรู้ทันทีว่าตัวเขาคือผู้ชนะอย่างแท้จริง“จะติดตามทำไมในเมื่อข้าพบนางแล้ว หรือเจ้าว่าข้าโง่ถึงกับมองไม่ออก”กระซิบข้างหูให้ได้ยินเพียงแค่สองคน“อย่ามาพูดแบบนี้นะ ท่านก็แค่ก็แค่……เห็นหญิงงามไม่ได้ก็เท่านั้นท่านมันคน …คนไม่ซื่อตรงต่อชายาของท่านคนใจโลเล”ฟู่อ๋องถอนหายใจยาว“ยอม ข้ายอมให้เจ้า จะว่าอย่างไรก็เชิญเจ้าตามสะดวก”“ท่านอาฟู่อ๋อง วันนี้ว่างจากราชกิจมายุ่ง อุ๊ยข้าใช้คำผิด ให้เกียรติมาดูแลความเรียบร้อยของการรับตัวผู้เข้าคัดตัวนางในด้วยตัวเองกลัวว่าอู้ตี้จะไร้สามารถทำการโดยลำพังหรือไร”“ข้ามาเพื่อนาง ข้ามาเพื่อคนของข้า”อู้ตี้ยิ้มหยัน“คุณหนู แซ่กัว มาคัดตัวนางในตอนนี้มีรายชื่ออยู่ในระเบียนผู้เข้าคัดตัวแล้วเท่ากับคุณหนูกัวเป็นคนของวังหลวงท่านอาจะอุปโลกน์ว่านางเป็นคนของท่านอาโดยอาศัยอำนาจอ๋องฟู่เช่นนั้นข้าในฐานะผู้ดูแลการคัดตัวนางใน
กัวหลงหลงพยักหน้าขึ้นลงยิ้มมุมปาก"ท่านยินดี ช่วยไท่จือหรือไม่”“จะให้ข้าช่วยอย่างไร”กัวหลงหลงแสร้งโง่“ท่านก็แค่พูดเหมือนที่ข้าสงสัย และช่วยชี้ให้เห็นว่าจะมีกี่คนกันที่เข้ามาพอดีกับที่ฝ่าบาทกำลังถูกลอบสังหาร”“ได้ๆๆๆ แต่ข้าหวังว่าสิ่งที่ข้าทำครั้งนี้จะช่วยไท่จือผู้บริสุทธิ์ให้พ้นมลทินได้”ขันทีเจ้าเล่ห์ยิ้ม“ครั้งนี้ถือว่าเป็นบุญคุณ ไท่จือรับปากว่าหากท่านช่วยแก้ต่างให้กับไท่จือ ต่อไปหากท่านมีสิ่งใดที่รับมือไม่ไหวหรืออยากจะได้ ไท่จือยินดีให้ท่านตามที่ขอ”“ข้าจะจำใส่ใจ ข้าก็แค่คนบ้านป่า ได้รับใช้ไท่จือนับว่าเป็นบุญของข้ายิ่งแล้ว”จวนอ๋อง“ท่านอ๋องไม่เคยเหลียวแลข้าทั้งที่ ข้าไม่ได้อัปลักษณ์หรือน่ารังเกียจตรงไหนเจ้าช่วยข้าหาเหตุผลว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงไม่สนใจไยดีข้าเหมือนที่ควรจะเป็นเมื่อคืนข้าเปลือยกายตรงหน้าเขากลับเลือกที่จะวิ่งตามงูที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทางไหน”สาวใช้ข้างกายเสี่ยวฟางก้มหน้าถอนหายใจพูดอ้อมแอ้ม“พระชายา บางทีท่านอ๋องอาจมีบางอย่างในใจ หรือไม่อาจจะสืบรู้ว่าเอ่อ เอ่อพระชายาเป็นคนของไท่จือมาก่อนแล้ว”จิงชินขมวดคิ้ว“เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้เป็นความลับอย่างที่สุด มีแค่ข้ากับเจ้าเท่
ลู่เยว่ยืนรีรอหน้าห้องพักของจิงเชียว“คุณหนูขอรับ”จิงเชียวยิ้ม สาวเท้ามาหยุดตรงหน้าลู่เยว่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าดีใจอย่างที่สุด“อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง”ลู่เยว่เพียงแค่ยิ้ม กัวหลงหลงเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่บำเพ็ญเพียรและมีคุณธรรมมาตลอด การบำเพ็ญเพียงสู่จุดสูงสุดแล้ว อาวุธไม่อาจทำร้ายได้ จึงไม่มีอะไรน่าห่วง เขาไปถึงกัวหลงหลงก็ฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วที่ที่สำคัญนั้นเป็นเพราะฝ่าบาทที่ให้คนคอยดูแลจนกัวหลงหลงไม่อาจขยับตัวและหนีออกจากวังหลวงมาได้สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือ อยู่เฉยๆเสียในวังหลวงมีม่านอาคมที่ไม่อาจแปลงกายได้ตามใจ อีกทั้งป้ายหยกที่ฝ่าบาทแขวนไว้ยังทำให้กัวหลงหลงอ่อนแรง“คุณชายเอ่อท่านอาจารย์ของคุณหนูปลอดภัยแล้ว บอกให้ลู่เยว่ส่งข่าวคุณหนู ว่าอีกไม่นานจะหาทางออกมาพบคุณหนูไม่ให้เป็นห่วง”“เฮ้อ โล่งใจที่สุด ดีจังอาจารย์ปลอดภัยแล้วพรุ่งนี้ข้าจะต้องเข้าวังก็คงได้พบกันที่นั่น ลู่เย่วแจ้งข่าวบอกท่านแม่เสียจะได้ไม่สงสัยว่าอาจารย์หายไปไหน”“ลู่เยว่กับอาจารย์ปรึกษากันแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาททรงห่วงใยคุณชายกัวมากจึงไม่ให้ไปไหน บางทีคุณหนูควรจะพูดกับท่านแม่คุณหนูแทนคุณชาย"จิงเชียวยิ้มเจื่อนๆ ก็ฟู่อ๋อ
“แต่นี่ข้าทำให้ท่านกงฉือโดยเฉพาะ ท่านอ๋องไม่ควรจะกินมันในเมื่อท่านกงฉือเองก็บาดเจ็บและไม่มีโอกาสได้กิน” ฟู่อ๋องยิ้มเศร้าๆ“อิจฉาจริง กงฉือผู้นั้น มาไม่ทันไรใครต่อใครต่างรุมเอาใจเขาแม้กระทั่งฝ่าบาทที่วิ่งวุ่นหาหมอหายา แล้วยังบัญชาให้ข้าคอยดูแลเขา ไหนจะคุณหนูอิงเอ่อร์ที่ใส่ใจแม้กระทั่งอาหารการกิน”จิงเชียวยิ้มแห้งๆ เหมือนจะนึกขึ้นได้“เอาแบบนี้ดีไหมข้าไปทำอาหารง่ายๆ ให้ท่านอ๋องสักสองสามอย่าง ท่านอ๋องชอบกินอะไรเป็นพิเศษ”จิงเชียวก็คือจิงเชียวนางไม่เคยโกรธใครนางไม่เคยไม่ดีกับใคร“ข้าครั้งหนึ่งเคยทำ กุ้งผัดซอสเฉฉวนให้คนที่ข้าคิดว่านางคือหญิงหนึ่งในใจ นางกินมันด้วยความเอร็ดอร่อย และตั้งแต่นั้นมาเมื่อพบกันในทุกๆ ครั้งนางมักจะให้ข้าทำกุ้งผัดซอสเฉฉวนให้เป็นประจำและนางจะชวนข้ากินทุกครั้งนางบอกว่ามันรสดีที่สุดแต่ข้ามักจะโกหกนางว่า ข้าไม่ชอบกินกุ้งทั้งๆ…ที่ ข้าไม่อยากจะแย่งนางเห็นนางกินก็มีความสุขแล้วได้นั่งมองนางกินของที่ข้าตั้งใจทำให้ก็มีความสุขแล้ว จนกระทั่งข้าต้องไปรบสามปีจึงไม่เคยได้นั่งมองนางกินกุ้งผัดซอสเฉฉวนฝีมือข้าอีกเลย”จิงเชียวน้ำตารื้นขอบตา ก็เรื่องที่ฟู่อ๋องพูดมาเป็นเรื่องราวระหว่างฟ
“เขาไปไหนของเขากันนะ”จิงเชียวเดินรอบๆ ห้องพักลู่เย่วประสานมือตรงหน้า“คุณหนู เออองค์ เอ่อคุณชายออกไปตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้ยังไม่กลับมา”สีหน้าเป็นกังวลไม่น้อย“แล้วทำไมท่านไม่ติดตามท่านอาจารย์ไปเล่า”จิงเชียวพูดตามความจริง“เอ่อคุณชายไม่ให้ลู่เยว่ตามไป”จิงเชียวถอนหายใจ“พวกท่านทั้งสองคนมีอะไรที่จะบอกข้าไหม เรื่องราวที่ผ่านมายังไม่ได้รับความกระจ่าง”ลู่เย่วรีบหลบตา“บอกมาอย่าปิดบังข้า”ลู่เยว่ ก้มหน้านิ่งกำลังจะหาทางออกว่าควรจะแก้ตัวว่าอย่างไรไม่ได้ซักซ้อมไว้กับกัวหลงหลง“คุณหนูอิงเอ่อร์ที่เป็นแขกของบ้านฉิน มีน้ำใจยิ่งนักยกอาหารเช้าให้กับแขกของบ้านฉิน”ร่างสูงชะลูดของฟู่อ๋องเอามือไพล่หลังเดินมาจากด้านหน้าบ้านฉิน“ขอบคุณท่านอ๋องที่เอ่ยชม ความจริงจิง..อิงเอ่อร์ก็ดีกับทุกคนไม่เว้นใครท่านอ๋องลองมาเป็นแขกที่บ้านฉินดูจะดีไหม”ยิ้มสดใสแววตาใสซื่อฟู่อ๋องถอนหายใจยาว“ข้ามาส่งข่าวเรื่องหลานของฮูหยินฉินกงฉือ ที่บัดนี้พักรักษาตัวที่วังหลวงด้วยอาการบาดเจ็บ”จิงเชียวหน้าซีดเผือดยกมือขึ้นกุมที่อก“อะอะอุ๊ป”ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ฟู่อ๋องสังเกตท่าทีตื่นตกใจนั้นตลอดเวลา“อี้เหลียว ข้าจะเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้